ทำไมพระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญทศบารมีชาวพุทธทราบกันดีว่า การที่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้นั้น พระโพธิสัตว์ต้อง บำเพ็ญทศบารมี หรือ บารมี 10 ประการ หลายคนอาจคุ้นเคยกับนิทานพระเจ้า 10 ชาติ หรือทศชาดก ซึ่งเป็นมหานิบาต หรือ ชาดกที่มีเนื้อเรื่องยากที่สุดจำนวน 10 เรื่อง แต่ละเรื่องก็จะมีบารมี 1 ใน 10 โดดเด่นออกมา เช่น เตมียชาดก เป็นเรื่องเนกขัมมบารมี มหาชนกชาดก เป็นเรื่องวิริยะบารมี หรืออย่างเรื่องเวสสันดรชาดกที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นเรื่องทานบารมี
@@@@@@
ทศชาติเรื่องหนึ่งไม่ได้เน้นบารมีเพียงบารมีเดียว
ตามจริงแล้วนิทานชาดกทั้งหมด รวมถึงพระเจ้า 500 ชาติ ล้วนมีบารมีปรากฏปะปนอยู่ในแต่ละนิทานแล้ว ส่วนพระเจ้า 10 ชาติ หากลองศึกษาสัก 1 เรื่อง จะพบว่ามีบารมีอื่นร่วมด้วย เช่น เนมิราชชาดก นอกจากเป็นเรื่องอธิษฐานบารมี คือพระเนมิราชทรงตั้งพระทัยอย่างมุ่งมั่นแล้วที่จะปฏิบัติภาวนาเพื่อเกิดในพรหมโลก ตามที่พระอินทร์ทรงสอนว่า อานิสงส์แห่งทานได้เพียงสวรรค์ แต่ภาวนาได้อานิสงส์สูงกว่าสวรรค์ สังเกตได้ว่า พระเนมิราชทรงบำเพ็ญทานบารมีด้วย ในนิทานชาดกเล่าว่าพระองค์ทรงสร้างโรงทาน และบริจาคทานอยู่เป็นประจำ แม้แต่เวสสันดรชาดก เห็นเด่นชัดว่าเป็นเรื่องของทานบารมี แต่พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมีด้วย เพราะทรงถือเพศเป็นดาบส
ภูริทัตตชาดก อดีตพระชาติที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญานาคนามว่า “ภูริทัตต์” ยึดบำเพ็ญศีลบารมีเพื่อได้เกิดเป็นเทวดาตามที่พระอินทร์ทรงสั่งสอน แต่ระหว่างที่ถูกอาลัมพายน์พราหมณ์จับไปแสดงกล ด้วยปัญญาของพระโพธิสัตว์ได้คิดตรองว่า พระองค์สามารถปล่อยพิษสังหารอาลัมพายน์พราหมณ์ก็ย่อมได้ แต่ทรงอดทน (ขันติบารมี) ยอมถูกกระทำต่าง ๆ นานา เพื่อไม่ให้ศีลบารมีด่างพร้อย ความคิดนี้จัดเป็นการบำเพ็ญปัญญาบารมีเช่นกัน
บารมีที่แท้จริงเป็นอย่างไร
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงอธิบายความหมายของบารมีไว้ในวิทยานิพนธ์เรื่อง ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาท ว่า
“ความหมายที่ใช้ในคัมภีร์นั้นพอจะแบ่งกว้าง ๆ คือ คัมภีร์ส่วนใหญ่เรียบเรียงขึ้นในสมัยแรกจะใช้คำว่า บารมี ในความหมายว่า ความเป็นเลิศ ผลสุดท้าย หรือความเต็มเปี่ยม ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับพุทธศาสนา บางคัมภีร์หมายถึงความเป็นเลิศในธรรมะบางหมวดธรรม และบางคัมภีร์หมายถึงผลสุดท้ายในพุทธศาสนา คือ พระอรหัตตผล บารมีในยุคนี้เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติธรรม
”ในคัมภีร์อปทาน พุทธวงศ์ จริยาปิฎก มีความหมายของคำว่า บารมี เปลี่ยนไปเป็น ธรรม 10 ประการ อันบุคคลปฏิบัติแล้วจะบรรลุพระโพธิญาณ และอรรถกถาของคัมภีร์เหล่านี้ ได้อธิบายขยายความธรรมะตามแนวทศบารมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอรรถกถาจริยาปิฎก ได้วิเคราะห์ขั้นตอนของการปฏิบัติบำเพ็ญบารมีโดยละเอียด ในชั้นนี้บารมีเปลี่ยนทางจาก เป้าหมาย มาเป็นวิธีการหรือแนวทางปฏิบัติ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนา”
ทำให้เห็นว่า พระโพธิสัตว์ (สัตว์ผู้ปรารถนาโพธิญาณ) บำเพ็ญทศบารมี เพื่อไปสู่เป้าหมายคือการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
บารมี 10 และ บารมี 30 ทัศ เขานับกันอย่างไร
ทราบกันดีว่า บารมี 10 หรือ ทศบารมี คือบารมี 10 ประการ ส่วน บารมี 30 ทัศ หรือ บารมี 30 ประการ (ทัศ แปลว่า ครบถ้วน ) เป็นการผนวกบารมี 3 ขั้นในแต่ละบารมีเข้าไปด้วย ตัวอย่างเช่น ทานบารมี แยกเป็น 3 ระดับ (ขั้นธรรมดา ขั้นกลาง และขั้นสูงสุด) ได้แก่ ทานบารมี ทานอุปบารมี และทานปรมัตถบารมี เมื่อ ในแต่ละบารมีทั้ง 10 ผนวก อุปบารมี และ ปรมัตถบารมีเข้าไปด้วย จึงกลายเป็น บารมี 30 ทัศ
ในอรรถกถากล่าวถึงเหตุการณ์พระพุทธเจ้าผจญพญามาร พระองค์ทรงรำลึกถึงบารมีที่บำเพ็ญมาครั้งอดีตชาติ พระแม่ธรณีได้บีบมวยผม น้ำที่พระองค์ทรงหลั่งทักษิโณทกมาหลายพระชาติ ได้กลายเป็นกระแสน้ำพัดพากองทัพพญามารออกไป และในราตรีนั้นพระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าที่มา : ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาท
ภาพ :
https://pixabay.comขอบคุณ :
https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/161078.htmlBy nintara1991 ,27 June 2019