ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มาไขข้อสงสัย กับ คำถามที่ว่า ฝึก “สมาธิบำบัด” แล้วได้อะไร.?  (อ่าน 835 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29345
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


มาไขข้อสงสัย กับ คำถามที่ว่า ฝึก “สมาธิบำบัด” แล้วได้อะไร.?

เป็นที่รู้กันดีว่าความคิดและจิตใจ ก็เป็นส่วนที่สำคัญในการทำให้ร่างกายเราสงบ ปลอดภัย และเป็นสุข จึงมีการนำสมาธิมาใช้ในกิจกรรมหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น การรักษาโรค การผ่อนคลายในสปา การฝึกโยคะแบบสมาธิ และอื่นๆ อีกมากมาย และเท่าที่รู้มาการฝึกสมาธินั้นก็มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการฝึกจิตให้เข้ากับธรรมชาติ การบริหารร่างกายแบบโยคะและพิลาติส ซึ่งการทำสมาธิพูดง่ายๆ ก็คือการตั้งใจมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างแน่วแน่ การมีใจจดจ่ออยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ฟุ้งซ่านนั่นเอง

การทำสมาธิ สามารถนำมาใช้ในรูปแบบขแงการบำบัดอาการป่วยได้ มีการทดลองจากนักวิจัยของหลายๆ ประเทศพบว่าการทำสมาธิสามารถช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความเครียด ทุกคนทำได้ เนื่องจากจะไม่ต้องไปยึดติดกับสิ่งใดๆ ช่วยทำให้คุณมีสติ มีสมาธิที่ยาวนานมั่นคงขึ้น ช่วยคุณเผชิญในเรื่องต่างๆ การทำสมาธิจึงเป็นการฝึกจิตใจและพัฒนาจิตใจให้มีความมั่นคง ตั้งมั่น และทำให้มีคุณภาพทางจิตใจที่ดีขึ้น บำบัดหมายถึงความพยายาม แก้ไข ปัญหาสุขภาพตามการวินิจฉัย ดังนั้น สมาธิบำบัดหมายถึงการใช้สมาธิเพื่อฝึกใจให้มีพลังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

สมาธิบำบัด (Meditation Healing) เป็นอีกหนึ่งการรักษาที่ในปัจจุบันเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงและเป็นที่นิยมกันในหมู่คนทำงานไปจนถึงผู้สูงอายุ สมาธิบำบัดจะยึดหลักการง่าย ๆ จากคำกล่าวที่ว่า “จิตใจที่ดีและใสสะอาด ย่อมตามมาด้วยร่างกายที่แข็งแรง” โดยพื้นฐานแล้วจะเป็นการนั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจปลอดโปร่งโดยยึดหลักการฝึกจิตใจตามแบบพุทธศาสนา ผสมผสานกับแนวคิดปัจจุบันเพื่อให้เกิดการบำบัดและรักษาเยียวยาสภาพทางจิตใจขึ้นนั่นเอง แน่นอนว่าการทำสมาธิบำบัดสามารถทำได้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยทางจิตเวชหรือแม้แต่คนปกติทั่วไป

@@@@@@

วิธีการทำสมาธิบำบัด

การทำสมาธิบำบัดไม่แตกต่างจากการนั่งสมาธิปกติของชาวพุทธเลย วิธีการหลักๆ ก็คือ ปล่อยวางจากความคิดและทำให้สมองปลอดโปร่งโดยการนั่งหลับตาและกำหนดลมหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอ โดยจุดสำคัญในการนั่งสมาธิเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดก็คือ

1 สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และปล่อยออกมาจนสุด อย่างสม่ำเสมอ
2 นั่งสมาธิในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกและเป็นพื้นที่ที่มีความสงบเงียบ
3 ทำจิตใจให้ปลอดโปร่งและปล่อยวางจากความคิดทั้งหมด
4 ทำอย่างสม่ำเสมอทุกวันอย่างน้อยวันละ 30 นาทีต่อครั้ง ซึ่งจุดนี้ผู้ปฏิบัติอาจจะทำกี่ครั้งต่อวันก็ได้ตามความสะดวกและเวลาว่างที่มี



ประโยชน์ที่ได้จากการทำสมาธิบำบัด

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าการกล่าวถึงสมาธิบำบัดในบทความนี้จะมุ่งเน้นในเรื่องสุขภาพเชิงวิทยาศาสตร์เท่านั้น ซึ่งประโยชน์หลัก ๆ ที่จะได้รับเมื่อทำสมาธิบำบัดจะมีดังนี้

1. มีพัฒนาการทางสมองและความคิดที่ดีขึ้น
การทำสมาธิบำบัดในขณะที่เราทำอยู่ทั้งจิตใจและสมองก็จะปลอดโปร่ง ซึ่งเป็นเหมือนกับการทำให้สมองของเราได้รับการพักผ่อนที่ดีเช่นเดียวกับการนอนหลับ แต่ผลที่ได้จะมีประสิทธิภาพดีกว่าการนอนหลับปกติเพราะสมองจะมีการจัดเรียงระบบทางความคิดที่ดีขึ้นจากการที่เรากำหนดลมหายใจและสูดเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ การสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จะทำให้มีจำนวนออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงสมองได้อย่างเพียงพอ (การนอนหลับปกติการหายใจจะสั้นกว่าประกอบกับช่วงกลางคืนจำนวนออกซิเจนจะน้อยกว่ากลางวัน) แน่นอนว่าหลังจากนั่งสมาธิเสร็จเมื่อสมองเริ่มกลับมาทำงานใหม่อีกครั้งก็จะสามารถคิดวิเคราะห์และมีพัฒนาการที่ดีขึ้น

2. การควบคุมอารมณ์ดีขึ้น
ในด้านของจิตใจและการแสดงอารมณ์ของคนที่ทำสมาธิเป็นประจำ จะมีรูปแบบที่แสดงออกมาแตกต่างจากคนปกติ โดยการแสดงออกด้านอารมณ์และจิตใจแต่ละครั้งจะมีการคิดและวิเคราะห์เกิดขึ้นก่อนเสมอ ซึ่งเป็นผลมาจากการกำหนดลมหายใจเข้าออก ทำให้เกิดรูปแบบของการแสดงออกและระบบความคิดที่เป็นระบบระเบียบมากกว่าเดิม

3. มีพื้นฐานด้านสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น
อีกหนึ่งประโยชน์ที่ได้จากการทำสมาธิบำบัดและถือว่าเป็นจุดประสงค์หลักก็คือ สุขภาพร่างกายจะแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งผลที่ได้รับจากการทำสมาธิบำบัดนั้นทำให้ร่างกายทุกส่วนได้รับการผ่อนคลาย ทั้งจากภายนอกและภายใน ประกอบกับจำนวนออกซิเจนที่สูดเข้าร่างกายมากขึ้นเพียงพอต่อการหล่อเลี้ยงระบบต่าง ๆ ของร่างกาย (การนั่งสมาธิร่างกายจะใช้พลังงานน้อยมากทำให้ออกซิเจนที่สูดเข้าไปเพียงพอต่อการนำไปใช้งานกับทุกส่วนของร่างกาย) สมองพักผ่อนเพียงพอ ระบบประสาททั่วร่างกายได้ผ่อนคลาย สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่ส่งผลให้เห็นได้อย่างชัดเจนหลังทำสมาธิ

4. ผ่อนคลายความเครียด
ความเครียด ถือว่าเป็นศัตรูตัวร้ายของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ เพราะความเครียดจะส่งผลทำให้ระบบฮอร์โมนของเราทำงานผิดปกติ นอกจากนั้นยังส่งผลทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) มากกว่าปกติและส่งผลทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดหลัง ปวดศีรษะและอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย นอกจากนั้นยังมีผลต่อสภาพจิตใจอีกหลายอย่างด้วย การทำสมาธิบำบัดจะช่วยในเรื่องของการผ่อนคลายความเครียดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการนำสมาธิบำบัดช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงเพื่อรักษาสภาพทางจิตใจให้ดีขึ้นและส่งผลต่อการรักษาทางด้านกายภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีความเครียดและสภาพทางด้านจิตใจที่ย่ำแย่ เป็นต้น



การทำสมาธิบำบัดถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการรักษาสุขภาพและส่งผลดีมากมาย แน่นอนว่าถ้าเราทำไปพร้อมกับการกินอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ รับประกันได้เลยว่าคุณจะมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงอายุยืนอย่างแน่นอน และที่สำคัญก็คือ สมาธิบำบัดยังส่งผลต่อระบบความคิดและวิเคราะห์ในการทำงานได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

สมาธิบำบัดอาจจะไม่สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ทุกโรค แต่อย่างน้อยหากจิตใจของเราได้รับการบำบัด สงบ มีสติอยู่ตลอดเวลา ก็ส่งผลให้ผู้ป่วยลดการหมกมุ่น ท้อแท้ กับโรคที่ต้องเผชิญอยู่ คุณภาพชีวิตก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ลองฝึกสมาธิดูสิคะ วันละเล็กละน้อย ทำบ่อยๆเป็นกิจวัตร ไม่ช้าไม่นานเราจะรู้ตัวว่าเรากลายเป็นคนละคนกับคนเลยล่ะค่ะ



ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/lifestyle/health-beauty/174943.html
By pant 20 September 2019
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 02, 2019, 07:24:00 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ