ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระนางสัมพุลา ยอดภรรยาผู้เกื้อกูลสามี  (อ่าน 810 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
พระนางสัมพุลา ยอดภรรยาผู้เกื้อกูลสามี
« เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2019, 06:04:42 am »
0




พระนางสัมพุลา ยอดภรรยาผู้เกื้อกูลสามี

พระนางสัมพุลา ผู้มีรูปโฉมงดงามเปล่งปลั่งดุจเปลวเพลิงในที่สงัดลม เป็นพระชายาแห่งโสตถิเสนกุมาร โอรสของพระเจ้าพรหมทัต เมืองพาราณสี โสตถิเสนกุมารป่วยเป็นโรคเรื้อน แพทย์หลวงไม่อาจรักษาได้ เจ้าชายจึงทรงตัดสินพระทัยออกไปอยู่ป่า โดยมีพระนางสัมพุลาขอตามเสด็จไปด้วย ทั้งสองช่วยกันสร้างศาลามุงด้วยใบไม้ในบริเวณที่มีผลไม้อุดมสมบูรณ์ มีน้ำสะอาด พระนางปฏิบัติบำรุงพระสวามีอย่างดี มิได้ทรงเบื่อหน่ายหรือรังเกียจแต่ประการใด

ตื่นเช้าพระนางก็ปัดกวาดอาศรม ตักน้ำใช้ น้ำดื่ม เข้าไปตั้งไว้ นำไม้สีพระทนต์และน้ำบ้วนพระโอษฐ์เข้าไปถวาย แล้วจึงบดยาทาแผลให้ จากนั้นพระนางก็จะให้พระสวามีเสวยผลไม้อันมีรสอร่อย เมื่อเสร็จธุระทางอาศรมแล้ว ก็ถือกระเช้าเสียมขอสอยเข้าป่าเพื่อแสวงหาผลไม้ แล้วนำมาเก็บไว้ เอาหม้อตักน้ำมาให้เจ้าชายสรง ถวายผลไม้อีกครั้ง เตรียมจัดที่บรรทมให้ จากนั้นเมื่อนวดพระบาทและพระกายเสร็จแล้ว จึงเข้าบรรทมข้างพระสวามี พระนางปรนนิบัติพระสวามีอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน

วันหนึ่งพระนางไปหาผลไม้อย่างเคย เมื่อได้พอสมควรแล้วบังเอิญไปเจอลำธารที่มีน้ำใสสะอาด พระนางจึงลงสรงสนานจนร่างกายสะอาด เสร็จแล้วจึงขึ้นจากน้ำจะกลับอาศรม

ขณะนั้นยักษ์ตนหนึ่งเห็นนางผู้งดงามผุดผ่องเหมือนมีรัศมี เกิดจิตปฏิพัทธ์ จึงจับนางไว้ไต่ถามชื่อเสียง นางบอกตามจริง ยักษ์จึงบอกว่า จะมัวปฏิบัติพยาบาลคนโรคเรื้อนอยู่ทำไม ไปเป็นภรรยาของเราไม่ประเสริฐกว่าหรือ  แม้พระนางสัมพุลาจะขอร้องวิงวอนสักเพียงใด ยักษ์ก็ไม่ฟัง แถมยังขู่ว่า ถ้าไม่ยอมก็จะกินเสียเลย แล้วฉุดกระชากนางไปยังที่อยู่ของมัน

@@@@@@

พระนางสัมพุลารำพันว่า เมื่อไม่มีนางเสียแล้ว พระสวามีจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร พระนางต่อว่าเทพเจ้าทั้งหลายว่า เทพเจ้าเห็นทีจะไม่มีจริง ท้าวโลกบาลผู้มีหน้าที่คุ้มครองโลกก็คงจะไม่มีจริง จึงปล่อยให้ยักษ์หยาบช้ามาจับหญิงผู้ปรนนิบัติสามีไปได้ ไม่เห็นมีใครเหลียวแลเลย

ด้วยอานุภาพความดีของพระนาง ทำให้พระอินทร์รุ่มร้อน เมื่อส่องตาทิพย์ดูก็รู้เรื่องราวตลอด จึงเสด็จลงมายังที่นั้น และตรัสกับยักษ์ว่า

“หญิงนี้ประเสริฐกว่าหญิงทั้งหลาย เป็นคนสงบ ฉลาด เพียบพร้อมด้วยความรู้ เรียบร้อย ปราศจากมลทินทั้งปวง ถ้าแกกินหญิงคนนี้ หัวแกจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง เราจะตีแกให้ตาย จงปล่อยนางเสีย”

ยักษ์กลัวจึงรีบปล่อยนาง พระอินทร์ยังจองจำยักษ์ไว้ด้วยตรวนทิพย์ แล้วทรงสอนพระนางสัมพุลาให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท พระนางสัมพุลา เดินเซซังภายใต้แสงจันทร์มาสู่อาศรมด้วยความเหนื่อยอ่อนเหลือประมาณ

ฝ่ายโสตถิเสนกุมารทรงระแวงตามประสาคนมีปมด้อย คิดว่านางมัวไปเพลินอยู่กับชายอื่นในป่า แล้วจะพากันมาทำร้ายพระองค์ จึงลงจากอาศรมไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้

@@@@@@

พระนางสัมพุลากลับมาอาศรม ไม่เห็นพระสวามีก็ร้อนใจ คร่ำครวญรำพันวิ่งพล่านไปมาอยู่ในป่า อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์และฤษีผู้บำเพ็ญพรตว่า หากผู้ใดทราบว่าพระสวามีของนางอยู่ที่ไหน ได้โปรดบอกด้วย

โสตถิเสนกุมารเห็นพระนางมีอาการเช่นนั้น ก็เริ่มใจอ่อนกลัวนางจะหัวใจวายลงเสียก่อน แต่กระนั้นก็ยังต้องการทดสอบ จึงเสด็จไปใกล้ศาลา พระนางเห็นเข้าก็คร่ำครวญขอโทษที่กลับมาช้า แต่โสตถิเสนกุมารก็ทำเมิน ตรัสว่า เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยกลับค่ำอย่างนี้ ในราวไพรมีวิทยาธร คนธรรพ์ และเทพยดามากมาย เจ้าคงหลงอภิรมย์ชมชื่นจนลืมเรา

พระนางจึงเล่าความจริงที่เกิดขึ้นทุกประการ ถึงกระนั้น โสตถิเสนกุมารก็ยังแกล้งตรัสต่อไปว่า “หัวใจของผู้หญิงหาความสัตย์ไม่ได้ หญิงมีเล่ห์เหลี่ยมมาก ใครจะรู้ได้”

พระนางน้อยใจในคำตรัส แต่ต้องการพิสูจน์ความสัตย์ของตนเอง จึงเอ่ยว่า
“หม่อมฉันจะอ้างเอาคำสัตย์มาเป็นยารักษาท่านให้หายจากโรค”

แล้วตักน้ำมารดลงเหนือพระเศียรของพระสวามีพลางเอ่ยสัจจวาจาว่า
“หม่อมฉันมิได้เคยรักบุรุษอื่นใดยิ่งกว่าทูลกระหม่อม ด้วยอำนาจสัจจวาจานี้ ขอโรคร้ายของทูลกระหม่อมจงหายไป”
สิ้นเสียงของพระนาง โรคเรื้อนของโสตถิเสนกุมารก็พลันหายไปทันที


@@@@@@

ทั้งสองเสด็จกลับเมืองพาราณสี พระราชาผู้เป็นบิดาทรงปลื้มพระทัย เสด็จมาต้อนรับถึงพระราชอุทยาน ยิ่งเห็นโสตถิเสนหายจากโรคเรื้อนก็ยิ่งดีพระทัยมากยิ่งขึ้น ทรงสละราชสมบัติให้โสตถิเสนและทรงอภิเษกพระนางสัมพุลาให้เป็นอัครมเหสี ส่วนพระราชาเองทรงออกผนวชเป็นฤษี ประทับอยู่ ณ พระราชอุทยานนั้นเอง แต่ก็ยังเสด็จเข้าไปในพระราชวังเป็นเนืองนิตย์

ฝ่ายพระเจ้าโสตถิเสน เมื่อพระราชทานตำแหน่งอัครมเหสีให้พระนางสัมพุลาแล้ว ก็มิได้ทรงเอาพระทัยใส่เหลียวแล ทรงเพิกเฉย และทรงหมกมุ่นมัวเมาอยู่กับสตรีอื่นๆ ที่สาวกว่าและใหม่กว่า พระนางสัมพุลาทรงเสียพระทัยจนซูบซีดเศร้าหมอง

วันหนึ่ง พระราชบิดาซึ่งบัดนี้เป็นสัสสุระดาบสได้เสด็จมาเสวยในพระราชวัง พระนางสัมพุลาเสด็จไปเฝ้าฯ พระดาบสมองเห็นพระนางมีร่างกายซูบซีดจึงตรัสถาม เมื่อทราบความแล้ว ทรงตำหนิพระราชโอรส และรับสั่งให้โสตถิเสนมาเข้าเฝ้าโดยทรงเตือนว่า

“เมื่อเจ้าเป็นโรคเรื้อนไปอยู่ในป่า มีสัมพุลาผู้เดียวเท่านั้นไปอยู่ดูแลเจ้าจนโรคหายด้วยอานุภาพแห่งสัจจะ แต่ครั้นเจ้าได้ราชสมบัติแล้ว กลับลืมเสียสิ้น มัวลุ่มหลงอิสตรี ทำดังนี้ชื่อว่าเป็นผู้ทำร้ายมิตร เป็นบาป”

@@@@@@

แล้วตรัสต่อว่า
“ภรรยาผู้เกื้อกูลสามีหาได้ยากนัก สามีผู้เกื้อกูลภรรยาก็หาได้ยาก ภรรยาของเจ้าเป็นผู้เกื้อกูลด้วย เป็นผู้มีศีลด้วย เพราะฉะนั้น เจ้าควรต้องประพฤติธรรมในภรรยาของเจ้า รู้คุณความดีที่นางทำแล้วแก่เจ้า จงมีจิตอ่อนโยนต่อนาง ทำจิตของนางให้ชื่นบาน

“ดูก่อนโสตถิเสน สัมพุลากล่าวกับเราว่า หญิงที่มีเครื่องประดับอันแพรวพราวงดงาม มีข้าวน้ำสมบูรณ์ อยู่ในเรือนที่โอ่อ่า แต่ไม่เป็นที่รักของสามี หญิงเช่นนั้นตายเสียดีกว่า ส่วนหญิงใดแม้ยากจน กำพร้า ไม่มีเครื่องประดับ นอนบนเสื่อ แต่เป็นที่รักใคร่ของสามี ย่อมดีกว่า

“โสตถิเสน เจ้าจงดูสรีระของภรรยาผู้ร่วมทุกข์ว่าเป็นประการใด เมื่อมาจากป่า สรีระของเธอผ่องใส บัดนี้เศร้าหมองเหลือเกิน”

พระเจ้าโสตถิเสนได้ฟังดังนั้น ทรงรู้สึกพระองค์และทรงขอร้องให้พระนางสัมพุลายกโทษให้ ตั้งแต่นั้นมาทั้งสองพระองค์ก็ทรงรักใคร่สนิทสนมกันด้วยดีดังที่เคยเป็นมา

 

ที่มา :  นิตยสาร Secret
เรื่อง : เก็บมาเล่าโดย ขวัญ เพียงหทัย
ภาพ : dec053
Secret Magazine (Thailand) ,IG @Secretmagazine
ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/135266.html
By ying ,20 January 2019
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ