เจ้าคณะมณทลอีสาน VS พระจรจัด ผู้ด้อยปริยัติธรรมทุกวันนี้น้อยคนจะรู้ว่าเมื่อร้อยปีที่แล้ว “พระป่า” หาได้เป็นที่ยอมรับนับถืออย่างกว้างขวางเช่นปัจจุบันไม่ ตรงกันข้ามกลับถูกมองด้วยสายตาหวาดระแวง ยิ่งพระป่าสายอีสานที่เป็นลูกศิษย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ด้วยแล้ว ผู้ปกครองสงฆ์ในเวลานั้นถือว่าเป็นตัวปัญหาที่ต้องจัดการ หรือไม่ก็ต้องขับไล่ออกไปให้พ้นจากเขตปกครองเลยที่เดียว
เพราะมองว่าพระเหล่านั้นนอกจากอยู่อย่างไม่เป็นหลักแหล่ง ไม่สังกัดวัดที่แน่นอนแล้ว ยังไม่สนใจศึกษาพระปริยัติธรรม อันเป็นนโยบายสำคัญของคณะสงฆ์ขณะนั้น มิหนำซ้ำยังชักชวนพระจำนวนไม่น้อยให้ละทิ้งปริยัติธรรม หันมาฝักใฝ่ในวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งผู้ปกครองสงฆ์จำนวนไม่น้อยเห็นว่าเป็นเรื่องงมงาย ไม่เป็นเหตุผลตามหลักพุทธศาสนา
@@@@@@
เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันในเวลานั้นคือ การขับไล่คณะศิษย์ของหลวงปู่มั่นออกจากจังหวัดอุบลราชธานี ในปี พ.ศ. 2469 คราวนั้น พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ซึ่งเป็นศิษย์คนสำคัญของหลวงปู่มั่นนำพระป่ากว่า 50 รูปเดินธุดงค์มาปักกลดในป่าบ้านหัวตะพาน โดยมีแม่ชีและฆราวาสนับร้อยร่วมคณะมาด้วย เมื่อทราบข่าว เจ้าคณะมณฑลอีสานได้สั่งการให้เจ้าคณะอำเภอและเจ้าหน้าที่จากอำเภออำนาจเจริญและอำเกอม่วงสามสิบขับไล่ท่านเหล่านั้นออกจากป่า
ขณะเดียวกันก็ห้ามมิให้ประชาชนใส่บาตรให้คณะธุดงค์ แต่พระอาจารย์สิงห์ปฏิเสธที่จะออกจากพื้นที่ โดยยืนยันว่าท่านเป็นชาวอุบลฯและไม่ได้ก่อปัญหาใดๆ เรื่องยุติลงได้เมื่อเจ้าคณะจังหวัดได้มีลิขิตถึงนายอำเกอให้ผ่อนปรนในเรื่องนี้ หลังจากที่ได้รับการร้องขอจากศิษย์หลวงปู่มั่น อาทิ พระอาจารย์ฟื้น อาจาโร
@@@@@@
เจ้าคณะมณทลอีสานในขณะนั้น คือ พระโพธิวงศาจารย์ (อ้วน ติสฺโส) อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระพรหมมุนี ทัศนคติของท่านต่อพระป่าก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ท่านหันมาศรัทธาเลื่อมใสหลวงปู่มั่นและพระป่า สาเหตุสำคัญก็เพราะท่านได้ประจักษ์ถึงคุณค่าของสมาธิภาวนา ก่อนหน้านั้นท่านล้มป่วยมาเป็นเวลานาน แต่ได้รับการเยียวยาจนหายขาดจากพระอาจารย์ฝั้น
ซึ่งไม่เพียงใช้สมุนไพร หากยังอาศัยสมาธิภาวนาในการรักษาด้วย และยิ่งมีศรัทธาปสาทะในกรรมฐานมากขึ้น เมื่อได้รับคำแนะนำจากพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร แห่งวัดอโศการาม ซึ่งเป็นลูกศิษย์อีกท่านหนึ่งของหลวงปู่มั่น อานิสงส์ของสมาธิภาวนานั้นประจักษ์แก่ท่านอย่างชัดเจน จนถึงกับอุทานว่า “ตลอดชีวิตของเรา เราไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า สมาธิภาวนาจะมีประโยชน์ถึงเพียงนี้”
@@@@@@
ในเวลาต่อมาท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ดำรงตำแหน่งสังฆนายก ทำหน้าที่ปกครองทั้งสังฆมณฑล ตามกฎหมายคณะสงฆ์ในเวลานั้น ในช่วงนี้เองที่ท่านได้พบกับหลวงปู่มั่น หลังจากที่ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานานผ่านลูกศิษย์ของท่าน เมื่อได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่มั่น สมเด็จฯอดพิศวงไม่ได้ในความลุ่มลึกแห่งธรรมของท่าน
ขณะเดียวกันก็แปลกใจว่า หลวงปูมั่นเข้าใจธรรมอย่างลึกซึ้งได้อย่างไร ในเมื่อท่านเรียนปริยัติธรรมน้อยมาก นอกจากไม่ได้เป็นเปรียญแล้ว ยังไม่สำเร็จนักธรรมเอกด้วย ในทัศนะของสมเด็จฯ คนเราจะเข้ใจธรรมได้จำเป็นต้องผ่านการศึกษาจากตำรา ตัวท่านเองก็ได้รับการศึกษาในทางปริยัติธรรมสูงถึงระดับเปรียญโท แต่ก็ยังมีความรู้ทางธรรมไม่เท่าหลวงปู่มั่น ซึ่งครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็น “พระจรจัด”
่ด้วยความสงสัยดังกล่าว สมเด็จฯ จึงถามหลวงปู่มั่นว่า ในเมื่อท่านอยู่แต่ในป่า ไม่มีตำรา จะเรียนรู้ธรรมจนสอนพระและญาติโยมได้อย่างไร หลวงปู่มั่นตอนสั้น ๆ ว่า “ธรรมนั้นมีอยู่ทุกหย่อมหญ้าสำหรับผู้มีปัญญา” ที่มา : ลำธารริมลานธรรม ๒ โดย พระไพศาล วิสาโล สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ
ชื่อบทความเดิม : ธรรมนั้นมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า : หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
ภาพ :
www.dhammajak.net ,
www.pexels.comขอบคุณ :
https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/187715.htmlBy nintara1991 ,10 December 2019