ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: บูชา “พญาครุฑ” ธรรมะเสริมอำนาจ  (อ่าน 1093 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
บูชา “พญาครุฑ” ธรรมะเสริมอำนาจ
« เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2020, 05:44:06 am »
0



บูชา “พญาครุฑ” ธรรมะเสริมอำนาจ

“พญาครุฑ” กล่าวกันว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่อง รางของขลังที่มีพุทธคุณขึ้นชื่อทางด้านอำนาจบารมี เสริมพลังผู้นำป้องกันภูตผีปิศาจไม่ให้กล้ำกรายเข้าใกล้ รอดพ้น

เหรียญบาทครุฑเก่า...กำลังเป็นที่นิยม หลายๆ คนใส่กรอบห้อยคอ แขวนพกติดตัว กระแสศรัทธาที่มีมากขึ้นเป็นระลอกๆนี้คาดกันว่าน่าจะมาจากสนนราคาหามาได้ไม่สูงมากจนเกินกำลัง ผนวกกับการปลอมไม่มี? ส่วนใหญ่เป็นเหรียญแท้ๆ...และที่สำคัญดีมานด์กับซัพพลายยังอยู่ในสภาวะสูสีคู่คี่กันพอดิบพอดี

“ครุฑ” เป็นสัตว์กึ่งเทพ ปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายๆเรื่อง เช่น มหากาพย์ มหาภารตะ เป็นเรื่องราวเล่าขานสืบต่อๆกันมาว่าครุฑเป็นพี่น้องกับนาคและทะเลาะเบาะแว้งกันจนกลายเป็นศัตรูกัน

นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ปุราณะ ชื่อว่า “ครุฑปุราณะ” ที่เป็น เรื่องเล่าของพญาครุฑอีกด้วยเช่นกัน

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี บอกเล่าถึงเรื่องราวนี้ไว้ด้วยว่า ครุฑปุราณะเป็นเรื่องราวของพญาครุฑ ตามคติไทยโบราณเชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์

เชื่อว่า...ปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี

...มีรูปหนึ่งเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรีที่ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์ก็ได้แต่เพียงทำให้ขน ของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “สุบรรณ” ซึ่งหมายถึง “ขนวิเศษ”

ครุฑเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง อีกทั้งยังสามารถบินได้รวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ

นอกจากนี้แล้ว หากจะแบ่งครุฑอาจแบ่งได้เป็น 5 ประเภท คือ

หนึ่ง...ตัวเป็นคนอย่างธรรมดาทั่วๆไปแต่มีปีก
สอง...ตัวเป็นคน หัวเป็นนก
สาม...ตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก
สี่...ตัวเป็นนก หัวเป็นคนห้า...รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว

@ @ @ @

ตำนาน “ครุฑ” ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่า พญาครุฑเป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดรและนางวินตา พระกัศยปมุนีองค์นี้เป็นฤาษีที่มีฤทธิ์เดชมากองค์หนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์ในศาสนาพราหมณ์ พระองค์มีชายาหลายองค์แต่องค์ที่เกี่ยวข้องกับตำนานพญาครุฑนั้นนอกจากนางวินตาแล้วยังมีอีกองค์หนึ่งคือนางกัทรุ ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาและเป็นมารดาของนาคทั้งปวง



ทั้งสองได้ขอพรให้กำเนิดบุตรจากพระกัศยปมุนี...นางกัทรุได้ขอพรว่า ข้าพเจ้าขอมีบุตรเป็นนาค 1,000 ตัว มีฤทธิ์ร้ายแรง และแปลงกายได้สารพัดดั่งใจนึก ทั้งหมดอาศัยอยู่ในแดนบาดาล

ส่วนนางวินตาขอมีบุตรเพียง 2 แต่ขอให้มีอำนาจวาสนา หาผู้ใดเสมอ มิได้...เมื่อคลอดปรากฏว่าออกมาเป็นไข่สองฟอง รออยู่เป็นเวลา 500 ปี...ไข่ก็ยังไม่ฟัก นางทนรอไม่ไหวว่าบุตรของตนจะมีหน้าตาอย่างไรจึงทุบไข่ออกมาฟองหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นเทพบุตรที่มีกายแค่ครึ่งท่อนบนชื่ออรุณ

อรุณเทพโกรธมารดาที่ทำให้ออกจากไข่ก่อนกำหนดจึงสาปให้เป็นทาสของนางกัทรุและให้บุตรคนที่สองเป็นผู้ช่วยนางให้พ้นจากความเป็นทาส จากนั้นจึงขึ้นไปเป็นสารถีให้กับสุริยเทพหรือพระอาทิตย์

นางวินตาจึงไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สองออกมาดู คงรอให้ถึงกำหนดที่บุตรคนที่สองออกมาว่ากันว่าต้องรอต่อไปอีกนับพันปี...ซึ่งก็คือ “พญาครุฑ”...กล่าวกันว่าแรกเกิดนั้นมีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจดฟ้า ดวงตาเมื่อกะพริบเหมือนฟ้าแลบ...เวลาขยับปีกทีใด ขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไปพร้อมพระพาย รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายก็มีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ทิศ ซึ่งทำให้บรรดาเทวดาทั้งหลายเดือดร้อนอย่างมาก



จึงพากันไปขอร้อง...ให้ลดขนาดลงมา

สำหรับ “ครุฑ” ในทางพุทธศาสนาจัดเป็นเทวดาชั้นล่างประเภทหนึ่งภายใต้การปกครองของท้าววิรุฬหก ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศใต้ เหตุที่มาเกิดเป็นครุฑเพราะทำบุญเจือด้วยโมหะ

กล่าวกันว่า...“ครุฑ” มีกำเนิดทั้ง 4 แบบ คือโอปปาติกะ เกิดแบบผุดขึ้น, ชลาพุชะ เกิดในครรภ์, อัณฑชะ เกิดในไข่, สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล มีที่อยู่ตั้งแต่พื้นมนุษย์ ป่าหิมพานต์ ป่าไม้งิ้วรอบเขาพระสุเมรุ จนถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา...ครุฑชั้นสูงจะมีกำเนิดแบบโอปปาติกะมีขนสีทองมีเครื่องประดับแบบเทพบุตร เทพธิดา มีชีวิตอยู่เหมือนเทวดา แปลงกายได้และบริโภคอาหารทิพย์เช่นเดียวกับเทวดา

แต่...ครุฑบางประเภทก็กินผลไม้หรือเนื้อสัตว์ หรือหาก ถ้าผูกเวรกับนาคก็จะกินนาคเป็นอาหาร

@ @ @ @

เกี่ยวโยงกับเรื่องของ “อำนาจ” ธรรมะสะท้อน ความจริงแท้แน่นอน



“ใครคนหนึ่งที่อยู่ในองค์กรใหญ่ได้โดยมีสิทธิ์พูดแบบไม่ต้องคิด ตัดสินใจได้แบบไม่อาจมีใครทัดทานเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเอง เป็นเจ้าชีวิตคนอื่นและกระทำกับคนอื่นราวกับไม่ใช่มนุษย์”

ยุคหนึ่ง...ที่ผู้คนมีสิทธิ์แสดงความเห็นได้แบบไม่ต้องคิด เปิดปากพูดพล่อยได้โดยไม่ต้องผ่านสมอง อีกทั้งมีคนจำนวนมากได้อ่านได้ฟัง แล้วรู้สึกแย่กับเสลดความคิดพรรค์นั้น โดยที่ไม่มีใครห้ามอะไรเขาได้

ลึกๆเขาจะสับสน ไม่แน่ใจตัวเองว่า กำลังอ้างสิทธิเสรีภาพแบบมนุษย์ปกติ หรือกำลังปลดปล่อยสัตว์ร้ายให้ออกอาละวาดอย่างเป็นอิสระกันแน่

ชีวิตหนึ่ง...ถ้ามีโอกาสเข้าถึงธรรม กระทั่งธรรมะภายใน ใหญ่กว่าอธรรมในจิต แล้วค่อยได้ อำนาจแบบคนเสียงดังมา ไม่ว่าจะในองค์กรขนาดใหญ่ หรือในโซเชียลมีเดียกลุ่มโต เขาจะไม่เห็นใครเป็นเหยื่อให้ขย้ำเล่น แต่...จะมีชีวิตที่ไม่ประมาท มีสมองไว้คิดเอาชนะอธรรมในตน...มีปากไว้พูดชะล้างความสกปรกในหัว

...มีมือไม้ไว้ทำเรื่องดีๆให้เกิดกับโลกรอบตัว ...จำกัดอำนาจตนไม่ให้ใหญ่เกินคน...ใช้อำนาจ เพื่อผู้คนมากกว่าตนเองเสมอ นั่นแหละ! ชีวิตนั้นได้ชื่อว่า เป็นชีวิตที่ครองอำนาจอันเป็นธรรมอย่างแท้จริง!

เครดิต เฟซบุ๊กเพจ “Dungtrin” 4 พฤษภาคม 2563



อำนาจในมือมีทั้ง “คุณ” และ “โทษ” ขึ้นอยู่กับผู้ใช้...ใช้ในทางดีที่ถูกที่ควรก็ทำให้เกิดมรรคผล เกิดประโยชน์ งานต่างๆสำเร็จลุล่วง ทว่าหากใช้ในทางตรงกันข้ามย่อมเกิดผลเสียหาย สร้างผลร้ายในหลายๆมิติ

“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อ โปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.

          รัก-ยม



คอลัมน์ เหนือฟ้าใต้บาดาล : บูชา “พญาครุฑ” ธรรมะเสริมอำนาจ
โดย รัก-ยม ,10 พ.ค. 2563 ,05:09 น.
ขอบคุณที่มา : https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1839993
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ