คุณธรรมที่คนส่วนมากขาดไปร่วมอภิปรายในงานสำคัญงานหนึ่ง ผู้อภิปรายท่านหนึ่งกล่าวว่า คนไทยมักขาดความรักความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ชอบแต่ให้คนอื่นฉิบหาย แล้วท่านก็ยกตัวอย่างว่า จะเห็นได้เลยเวลาไฟไหม้บ้านคนอื่นก็ดี เวลาคนอื่นประสบอุบัติเหตุ เช่น โดนรถชน เป็นต้น ก็ดี จะมี "ไทยมุง" มากมาย มายืนดูความฉิบหายของคนอื่น ท่านว่าอย่างนั้น
ความจริงแล้วจะเหมาเอาว่า คนที่มายืนมุงดูเหตุการณ์ต่างๆ ที่ว่ามานั้น เป็นพวกชอบให้คนอื่นฉิบหาย ก็คงไม่ถูกนัก เพราะธรรมชาติของคนทั่วไป ไม่ว่าชาติไทยหรือชาติไหน เมื่อเห็นอะไรผิดปกติก็อดจะมาดูไม่ได้ การมามุงดูก็เพื่อให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จะไปเหมาเอาหมดว่ามาดู เพื่อให้สะใจ เพื่อสุขใจที่เห็นคนอื่นฉิบหายก็คงไม่ถูก
แต่ถ้าจะพูดว่า คนไทยมักไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการอนุโมทนา หรือยินดีด้วยกับความสำเร็จ หรือความสุขของคนอื่นล่ะก็พอฟังขึ้น ทั้งๆ ที่สมัยโบราณท่านปลูกฝังเรื่องนี้มาก แต่ปัจจุบันนี้ได้จางคลายลงไปมาก
ในพระพุทธศาสนามีวิธีทำบุญอยู่อย่างหนึ่ง (ในสิบวิธี) คือการพลอยยินดี เมื่อเห็นผู้อื่นทำความดี เรียกว่า "อนุโมทนามัย" บุญกุศลสำเร็จด้วยการแสดงอาการ "พลอยยินดีด้วย"
ผู้ใหญ่จะทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น เวลาผู้ใหญ่ท่านไปฟังธรรมมา หรือได้บริจาคเงินทำบุญอะไรมา ก็จะมาบอกลูกหลานว่า "พ่อแม่-ปู่ย่า ได้ทำบุญอย่างนั้นๆ มา ขอให้ลูกอนุโมทนาด้วยนะ" แล้วลูกหลานก็จะยกมือไหว อนุโมทนาด้วย ด้วยการทำอย่างนี้ ลูกหลานก็ได้บุญด้วย เป็นการแสดงออกซึ่งจิตใจที่บริสุทธิ์ พลอยยินดีกับการทำความดี ไม่อิจฉาริษยาที่เห็นคนอื่นทำดี
@@@@@@@
การทำเช่นนี้นับเป็นคุณธรรมข้อหนึ่งชื่อ มุทิตา ซึ่งเป็นหนึ่งในหลัก "พรหมวิหาร" (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) พระท่านว่าเป็นธรรมที่ทำให้คนเป็นผู้ประเสริฐ (พรหม แปลว่า ประเสริฐ) หรือเป็นธรรมสำหรับผู้ใหญ่ (พรหม แปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ใหญ่)
สังคมใดถ้าผู้ใหญ่มีมุทิตา สังคมนั้นจะมีแต่ความสมัครสมานสามัคคี และมีความเจริญก้าวหน้า เพราะมุทิตานับเป็นคุณธรรมที่ "เสริมแรง" หรือกระตุ้นให้คนทำความดี ว่ากันว่า ผู้ใหญ่ทำดีนั้นง่าย เพียงแค่พูดแสดงความชื่นชมยินดีกับลูกน้องประโยคเดียว ก็นับว่าได้ทำความดีแล้ว เช่น
"ดีใจด้วยนะ ขอแสดงความยินดีด้วย ที่ได้ทราบว่าคุณได้รับรางวัล"
"งานนี้สำเร็จด้วยดี ก็เพราะคุณมีส่วนสำคัญมากขอขอบใจ ขอให้ช่วยกันนะ" ฯลฯ
ผู้ใหญ่ที่มีมุทิตาต่อผู้น้อยอย่างนี้ ย่อมเป็นที่รักและเคารพของผู้น้อยอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องง่ายที่จะทำ แต่ก็ปรากฏว่าไม่ค่อยจะทำกัน ส่วนมากนอกจากจะไม่ชื่นชมยินดีกับความดีของลูกน้องแล้ว ยังแสดงความอิจฉาริษยาออกนอกหน้าเสียอีก
ผู้ใหญ่บางคนถือคติว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาจะต้องอยู่ใต้ตนทุกอย่าง จะปล่อยให้เกินหน้าเกินตาไม่ได้ เดี๋ยวเหลิงปกครองยาก ยิ่งเห็นหรือได้ยินคนอื่นชื่นชมลูกน้องของตนให้รู้สึกว่า ทนไม่ได้ เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนใด ทำท่าจะแข่งรัศมีของตน ก็คอยกดขี่หรือกลั่นแกล้ง เพราะกลัวว่าตนเองจะด้อย จะหมดความสำคัญ
ผู้ใหญ่ที่คิดเช่นนี้ เป็นผู้ใหญ่ที่ขาดมุทิตาธรรม ถึงจะปกครองลูกน้องได้ก็ปกครองได้แต่กายของเขา หา"กำใจ" ของเขาได้ไม่ ถ้าอยากให้ลูกน้อง และเพื่อนร่วมงานรักท่านอย่างสุดชีวิตจิตใจ ก็หัดรู้จักพลอยยินดีกับความสุขความสำเร็จของคนอื่นบ้างเถิด ทำความดีอย่างนี้ ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
จากคอลัมน์ ฟ้าสางเมื่อใกล้ค่ำ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ข่าวสดออนไลน์ ,17.10.2016
ขอบคุณที่มา : เฟซบุ้ก โลกทรรศนะ
https://www.facebook.com/ReadForVision/posts/1366993473311973/ขอบคุณภาพจาก :
https://www.slideshare.net/wasin8124/luangpoo-mun1