ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “เกิดเป็นเปรตไถนา” กรรมที่ต้องชดใช้ เพราะใช้วาจาจาบจ้วงขัดขวางการทำบุญ  (อ่าน 1235 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0





“เกิดเป็นเปรตไถนา” กรรมที่ต้องชดใช้ เพราะใช้วาจาจาบจ้วงขัดขวางการทำบุญที่มีคนมาบอกบุญ #เรื่องเล่าบุญ-กรรมที่ทำ

พระภิกษุสงฆ์กลุ่มหนึ่งจำพรรษาอยู่ในโรหนชนบท มีความประสงค์จะเดินทางไปนมัสการพระศรีมหาโพธิ์ ระหว่างทางหลงทางเข้าไปในป่า แล้วไม่สามารถหาทางออกได้ เดินวนเวียนกลับไปกลับมาในป่าเป็นเวลาหลายวัน ภิกษุเหล่านี้ได้รับความหิวโหยลำบากเป็นอันมา

วันหนึ่งหมู่ภิกษุสงฆ์เดินมาถึงทุ่งกว้างกลางป่าใหญ่แห่งหนึ่ง เห็นร่างๆ หนึ่งคล้ายมนุษย์ แต่มีรูปร่างที่ดูแปลกประหลาดไม่เหมือนคนธรรมดากำลังเทียมโคใหญ่ ๔ ตัวเข้าที่ไถเหล็กไถนาอยู่คนเดียวในกลางป่า ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่อย่างนั้น โดยไม่สนใจสิ่งใดๆ ภิกษุสงฆ์ดีใจมากจึงพากันตรงรี่เข้าไปถามว่า

     "อุบาสก ขอให้ท่านพักไถสักครู่เถิด พวกอาตมาหลงทางอยากถามเส้นทางออกจากป่านี้ ขอให้ท่านบอกแก่อาตมาหน่อยเถิด จะได้เป็นบุญกุศล"

ชายผู้นั้นตอนแรกๆ ก็ไม่ตอบคำถามอะไร ได้แต่ไถนาไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เมื่อพระภิกษุถามซํ้าๆ อีก จึงกราบเรียนท่านไปว่า

     “พระคุณเจ้า พวกท่านเพิ่งหลงทางแค่ ๗ วันเท่านั้น ความลำบากยังไม่มากเท่าไร แต่ข้าพเจ้าสิหลงทางอยู่ที่นี่ ไถนาอยู่ตรงนี้ตั้ง ๑ พุทธันดรแล้ว ได้รับความลำบากมากกว่าพวกท่านอย่างมากมาย”

@@@@@@@

พระภิกษุทั้งหลายได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกตกใจ จึงพากันพิจารณารูปร่างของอุบาสกผู้นั้น จึงทราบว่า บุรุษผู้นี้มิใช่มนุษย์
    พระภิกษุจึงถามว่า "ท่านเป็นใคร"
    เขาตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นเปรต กำลังรับทุกข์ทรมานอย่างหนัก ต้องไถนาทั้งกลางวันกลางคืน จะวางคันไถลง ก็วางคันไถลงไม่ได้"

เปรตตนนั้นพูดขึ้นด้วยความรันทดหดหู่ใจ พระภิกษุทั้งหลายจึงถามถึงกรรมในอดีตของเขา เขาจึงเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่ตนเองเผลอไปทำพลาดพลั้งเอาไว้ว่า

    เมื่อก่อนตัวข้าพเจ้าเป็นชาวนา ในยุคของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอยู่วันหนึ่งกัลยาณมิตรทั้งหลาย ซึ่งรักการสร้างบุญสร้างบารมีพากันไปทำบุญ สักการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บังเอิญว่ากัลยาณมิตรเหล่านั้นอยากจะให้ข้าพเจ้าได้บุญกับเขาด้วย จึงพากันมาชวนข้าพเจ้าไปทำบุญ แต่ตอนนั้นข้าพเจ้าเองกำลังมีใจขุ่นมัว ไม่อยากจะทำบุญทำทานแต่อย่างใด จึงคิดด้วยใจขุ่นๆ ว่า

    "การไปทำบุญเป็นการเสียประโยชน์ เสียเวลาทำมาหากิน สู้ไถนาไม่ได้ จึงตอบคนพวกนั้นไปว่า ไม่ไปหรอก เสียเวลาไถนา"


@@@@@@@

พวกเขาก็พยายามชี้แจงเรื่องไม่ประมาทในชีวิต ข้าพเจ้าโมโหเลยพูดว่า

    "พวกท่านเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว เราหนวกหู ถ้าพระพุทธเจ้าของพวกท่านไม่สามารถไถนาให้เราได้ เราก็จะไม่ไปทำบุญด้วยหรอก เมื่อใดที่ท่านมาไถนาให้ดูได้ เมื่อนั้น เราจึงจะไปทำบุญ ด้วยการพูดจาไม่ยั้งคิด ไม่พิจารณาไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน ทำให้ข้าพเจ้านั้นต้องเกิดมาเป็นเปรต ชดใช้กรรม อดข้าว อดน้ำ ไม่ได้นั่ง ไม่ได้นอนตลอด ๑ พุทธันดร ต้องไถนาอยู่ตลอดเวลา ไม่ทราบว่าเมื่อไรจะหมดกรรมสักที"

เมื่อพูดถึงตอนนี้เปรตก็ทำนิ่งๆ แล้วชี้บอกเส้นทางออกจากป่ากับเหล่าพระภิกษุทั้งหลายพร้อมกับบอกว่า เมื่อพระคุณเจ้าทั้งหลายออกไปแล้ว ขอให้บอกเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายด้วยเถิดว่า

    "ขอให้เพื่อนมนุษย์ผู้ยังไม่ตาย จงขวนขวายในการทำบุญให้ทาน อย่าได้ประมาททำบาปอกุศลแม้เพียงเล็กน้อยเหมือนอย่างข้าพเจ้าเลย อย่าได้เป็นคนมีวาจาชั่วหยาบ จ้วงจาบผู้ทรงศีลจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ให้หมั่นสร้างบุญกุศลไว้ เมื่อถึงคราวละโลกไป จะได้ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานเหมือนอย่างข้าพเจ้า"

พูดจบก็ประนมมือนมัสการพระภิกษุแล้วก็เริ่มไถนาต่อไป




ที่มา : FB : เพจ พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอบคุณ : https://www.tnews.co.th/religion/317189/เกิดเป็นเปรตไถนา-กรรมที่ต้องชดใช้-เพราะใช้วาจาจาบจ้วงขัดขวางการทำบุญที่มีคนมาบอกบุญ-เรื่องเล่าบุญ-กรรมที่ทำ
ข่าวโดย :  กิตติ จิตรพรหม ทีนิวส์  / สำนักพิมพ์ กรีนปัญญาญาณ/ ทีมข่าวปัญญาญาณ – ทีนิวส์
Publish : 2017-05-08 ,11:23:21
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

บุรพกรรมของเปรต : เปรตไถนา

กาลเมื่อสมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งหลาย พระองค์ได้ดับพระชนมายุบรรลุสิวาลัยอมฤตบุรี คือเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานไปแล้ว มีพระภิกษุสงฆ์สาวกพวกหนึ่งในโรหนชนบทซึ่งมีความประสงค์จะเดินทางไปถวายนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิอันเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระองค์

   ในขณะที่เดินทางมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งนั้นเกิดหลงทางเข้าไปในป่าใหญ่ ไม่สามารถจะหาทางออกได้ เดินวนเวียนอยู่ในป่าใหญ่นั้นหลายวัน พวกเธอหากันได้รับความหิวโหยและลำบากเป็นอันมาก หลังจากเที่ยวเดินหาทางออกจากป่าใหญ่มานาน ในที่สุดก็พากันเดินมาบรรลุถึงทุ่งกว้างกลางป่าใหญ่เข้าแห่งหนึ่ง

   เมื่อแลไปกลางทุ่งพระภิกษุเหล่านั้น ก็พลันเห็นร่างโตใหญ่คล้ายมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งมีรูปแปลกประหลาดพิกล ไม่เหมือนคนในบ้านในเมืองธรรมดา กำลังเทียมโคใหญ่ ๔ ตัว เข้าที่ไถเหล็ก แล้วไถนาอยู่คนเดียวในทุ่งกลางป่า อารามดีใจว่าจะได้ผู้บอกหนทางออกจากป่าไม่ได้ทันพิจรณาให้ดี เธอทั้งหลายจึงรีบตรงรี่เข้าไปถามว่า

   “ อุบาสก ขอท่านจงหยุดไถนาสักประเดี๋ยวเถิด อาตมาอยากจะถามว่าทางที่จะออกจากป่านี้ ไปทางไหนกัน ? พวกเราหลงทางเที่ยวเดินวนเวียนอยู่ในป่านี้มาครบ ๗ วันเข้าวันนี้แล้ว ได้รับความเหนื่อยยากเหลื่อเกิน ไม่ทราบว่าจะไปทางไหน ขออุบาสกจงช่วยบอกทางไปสักหน่อยเถิด ”

    @@@@@@@

   “ ฮึ อะไร ” ชายแปลกประหลาดหยุดไถเงยหน้าขึ้นถามคล้ายกับฟังคำไม่เข้าใจ ต่อเมื่อภิกษุทั้งหลายถามซ้ำให้เข้าใจดีแล้ว เขาจึงพูดไปเสียอีกทางหนึ่งว่า

   “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พวกท่านหลงทางอยู่ในป่าใหญ่ได้รับความลำบากเพียง ๗ วันเท่านั้น มิสู้จะเท่าไหร่ ส่วนข้าพเจ้านี้สิ หลงทางอยู่ ณ ที่นี่ไถนาอยู่อย่างนี้ทั้งกลางวันกลางคืนเป็นเวลานานนับได้ ๑ พุทธันดรแล้ว ได้รับความลำบากมากกว่าพระคุณเจ้าทั้งหลายเป็นไหน ๆ ”

   “ อะไรกัน อุบาสก ” คนไถนาทั้งกลางวันกลางคืน และมีอายุยืนเป็นพุทธันดรมีที่ไหนกัน ทำไมท่านจึงแกล้งพูดเป็นเล่นเช่นนี้เล่า” ภิกษุเหล่านั้นถามด้วยความแปลกใจ

   “ ข้าพเจ้าพูดจริง ๆ ” เขายืนยัน แล้วกล่าวต่อไปอีกว่า “ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงพิจารณาดูข้าเจ้าให้ดี ว่าข้าพเจ้านี้เป็นคนหรือเป็นอะไร”

   “ ท่านเป็นอะไร! ถูกแล้ว ท่านไม่ใช่คนอย่างแน่ ๆ แต่ว่าท่านเป็นอะไร” ภิกษุเหล่านั้นถามด้วยความประหลาดใจ หลังจากที่ได้พิจารณาดูสารรูปอันน่าเกลียดน่ากลัวของเขา และแน่ใจว่าไม่ใช่เป็นมนุษย์

   “ เปตร! ข้าพเจ้าเป็นเปรตจริง ๆ เปรตซึ่งกำลังได้รับความทุกข์ทรมานอย่างหนัก ต้องไถนาอยู่อย่างนี้ตลอดทั้งวันกลางคืน ไม่ทราบว่าจะไถไปทำไมเหมือนกัน จะวางก็ไม่ได้ ต้องไถอยู่อย่างนี้มาเป็นเวลานานได้ ๑ พุทธันดรแล้ว ได้รับความลำบากมาก ” เปตรไถนานั้นตอบด้วยความเศร้า

   “ ท่านทำกรรมอะไรไว้เล่า จึงได้มาไถนาอยู่หลางป่าอันเป็นดงดิบอย่างนี้ ขอจงชี้แจงให้พวกเราได้ทราบไว้บ้าง ก็จะเป็นการดี ”

   “ ข้าพเจ้าเป็นชาวนาได้กระทำบาปด้วยปาก คือเมื่อก่อนนี้ในสมัยศาสนาพระกัสสปพุทธเจ้านั้น ข้าพเจ้าเป็นชาวนาได้กระทำบาปด้วยปาก ก็ไม่มีมากมายอะไรเลย ทำไมจึงได้มาเกิดเป็นเปตรอยู่อย่างนี้ก็ไม่ทราบ”

   “ ทำบาปด้วยปาก! ทำอย่างไรกัน ขอท่านจงชี้แจงให้ละเอียดกว่านี้อีกสักหน่อยเถิด”



   เปรตผู้มีกรรมแปลกประหลาดนั้น จึงเริ่มเล่าประวัติแต่อดีตหนหลังให้พระภิกษุพุทธสาวกเหล่านั้นฟังว่า

   สมัยเมื่อองค์สมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนั้น ข้าพเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ มีอาชีพทำนาเลี้ยงชีวิต วันหนึ่งประชาชนทั้งหลายเขาพากันไปทำบุญและสักการรบูชาแด่องค์สมเด็จพระกัสสปพุทธเจ้า คนเหล่านั้นได้มาชักชวนข้าพเจ้าให้ไปร่วมทำบุญด้วย ข้าพเจ้าเห็นว่าการไปทำบุญแก่สมเด็จพระกัสสปพุทธเจ้านั้น เป็นการเสียประโยชน์ เสียเวลาทำมาหากิน สู้ไถนาไม่ได้ จึงได้ตอบคนเหล่านั้นไปว่า ไม่ไปเพราะเสียเวลาไถนา พวกเขาก็บอกว่าการไปทำบุญแก่สมเด็จพระกัสสปพุทธเจ้า ดีกว่าการไถนาเป็นไหน ๆ

   “ พระกัสสปพุทธเจ้าวิเศษอย่างไร สมเด็จพระกัสสปพุทธเจ้าท่านสามารถที่จะไถนาอย่างเรานี้ได้หรื่อไม่” ข้าพเจ้าถามพวกเขาไปเพื่อจะตัดความรำคาญ คนเหล่านั้นแสดงท่าตกใจ แล้วออกโหารมากมายล้วนแต่สดุดีคุณแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า แล้วตักเตือนไม่ให้ข้าพเจ้าพูดเช่นนั้น และพรรณาโทษแห่งการดูหมิ่นพระบรมครูของเขามากมาย จนข้าพเจ้าหมั่นใส้ เลยพูดตัดบทออกไปโดยไม่มีเจตนาจะดูหมิ่นใครเลยว่า

   “ ท่านทั้งหลายอย่ามาสาธยายให้หนวกหูเราเลย เอาละ เป็นอันว่าพระกัสสปะวิเศษจริง แต่เราก็ตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าพระกัสสปะไม่สามารถไถนาให้เราได้ เราก็จะไม่ไป ไม่ทำสักการบูชา หากว่าพระกัสสปพุทธเจ้าสามารถมาจับหางไถแล้ว ไถนาได้อย่างเราเมื่อไรนั้นแหละ เราจึงจะไปทำบุญและสักการบูชา ” ด้วยปากชั่วของข้าพเจ้าเช่นนั้น ซึ่งพูดขึ้นโดยมีจุดประสงค์จะประชดประชันคนทั้งหลายเหล่านั้นมากกว่า แต่เหตุไฉนจึงบันดาลให้ข้าพเจ้ามาเกิดเป็นเปตร ณ ที่นี้ อดข้าว อดน้ำ ไม่ได้นั่ง ไม่ได้นอน ต้องไถนาอยู่ตลอดวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลย

@@@@@@@

ตั้งแต่วันตายจากมนุษย์เป็นต้นมา บัดนี้เป็นเวลานานถึงพุทธันดรแล้ว ไม่ทราบว่าเมื่อไรจักสิ้นเวรกรรมนั้นสักที....” เปรตรำพึงในตอนท้าย เมื่อเล่าประวัติแห่งตนให้ภิกษุทั้งหลายฟังจบลงแล้ว ในที่สุด ดูเหมือนว่าจักปลงตกในชะตากรรมของตน หลังจากยืนก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้ว จึงยกมือขึ้นชี้และบอกแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

   “ โน้นแนะ หนทางที่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายต้องประสงค์จะไป อ้อ!... ก่อนที่จะจากไป ข้าพเจ้าใคร่จะสั่งความสักอย่างหนึ่ง คือว่า ขอพระคุณเจ้าทั้งหลาย จงได้กรุณาบอกเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายด้วยเถิดว่า ขอให้เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายที่ยังไม่ตาย จงพยายามขวนขวายในการทำบุญให้ทานจงอย่ามีใจประมาทในอกุศลกรรมความชั่วแม้เพียงเล็กน้อย อย่าได้เป็นคนมีปากชั่วเช่นข้าพเจ้า ขอถือข้าพเจ้าเป็นเยี่ยงอย่าง พยายามสร้างบุญกุศลไว้ เมื่อถึงคราวตายจะได้ไม่ต้องมาเกิดเป็นเปรต ให้เป็นที่น่าเวทนาสงสารเช่นตัวข้าพเจ้านี้ ” เปรตสั่งดังนี้แล้วก็ประนมมือท่วมหัวนมัสการพระภิกษุทั้งหลาย แล้วยืนก้มหน้านิ่งอยู่

   เหล่าสาวกแห่งองค์สมเด็จพระบรมครูผู้หลงป่าทั้งหลาย เมื่อได้ประสบการณ์เช่นนี้ ก็มีความรู้สึกสังเวชสลดใจเป็นกำลัง ในที่สุด จึงกล่าวคำอำลาออกเดินไปตามทางที่เปรตผู้อารีชี้บอกต่อไป จงถึงจุดหมายปลายทาง นั้นคือต้นศรีมหาโพธิพฤกษ์อันเป็นที่ตรัสรู้แห่งองค์สมเด็จพระบรมครูเจ้า ด้วยประการฉะนี้




ขอบคุณที่มา : http://www.meemodo.com/kum12.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ