
ส่วนคนเจ้าโทสะ ขี้โกรธ ริษยา อาฆาต พยาบาท เห็นใครดีกว่าไม่ได้นั้น ต้องใช้ พรหมวิหาร คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เป็นเครื่องแก้
การปลูกเมตตาความรัก ลงในบุคคลทั่วไป ไม่ว่ามิตร หรือศัตรู ในลักษณะที่ว่า เราเกลียดทุกข์รักสุขอย่างไร คนอื่นเขาก็เกลียดทุกข์รักสุขอย่างนั้น
@@@@@@@
แต่ความรักด้วยเมตตานั้น ต่างจากความรักด้วยราคะตัณหา
ความรักด้วยเมตตานั้น เป็นความปรารถนาให้คนและสัตว์ทั่วไปทุกหมู่เหล่า ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จัก มีความสุข ปราศจากทุกข์เวรภัยทั้งปวง โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เมื่อเห็นเขาได้ดีมีสุข พ้นจากความทุกข์เดือดร้อนก็มี มุทิตาจิต พลอยยินดีด้วย ไม่ริษยาในความสุขของเขา มุทิตาจึงเป็นกุศลเช่นเดียวกับเมตตา
ส่วนความรักด้วยตัณหาราคะนั้น เป็นความต้องการอยากได้มาเป็นของตน เพื่อตนโดยประการเดียว หรือมิฉะนั้นก็เพราะต้องการให้เขารักตอบ รักเพราะต้องการสิ่งตอบแทน ความรักด้วยราคะตัณหา จึงเป็นอกุศล
บางคนอาจคิดว่า “ฉันไม่รู้จะเมตตาเขาได้อย่างไร ในเมื่อเขาเลวเหลือเกิน หาดีอะไรไม่ได้เลย”
ถ้าคิดอย่างนี้ ก็ขอให้คิดเสียใหม่ว่า คนเราที่จะเลวไปหมดทุกอย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ ทุกคนย่อมต้องมีทั้งความดีและความเลว บางคนอาจจะดีมากเลวน้อย บางคนดีน้อยเลวมาก ลองค้นหาด้วยใจเป็นธรรมเถิด แล้วท่านจะพบความดีของทุกคน ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เว้นเสียแต่ว่า เราได้ปล่อยให้ อคติความลำเอียง ครอบงำจิตใจของเราเสียจนค้นไม่พบ แต่ถ้าพบแล้ว ก็จงดูที่ความดีส่วนนั้นของเขา แล้วเราจะเมตตาเขาได้
ถ้าท่านค้นหาเท่าใดก็ไม่พบความดี ในบุคคลนั้นเลย ก็จงเกิด กรุณาสงสาร เขาเถิดว่า คนเช่นนี้น่าสงสารนัก เพราะเขามีอบายคอยอยู่เบื้องหน้า แล้วจงพยายามช่วยเหลือเขา หากช่วยไม่ได้จริงๆ ก็ต้องวางใจเป็นอุเบกขา พิจารณาว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ย่อมเป็นไปตามกรรมที่เขาทำไว้ เขาทำกรรมมาอย่างนั้น จึงเป็นอย่างนั้น
โดยความเป็นจริงแล้ว เราจะหวังให้ทุกคนดีถูกใจเราไปทุกอย่างนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะการอบรมและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันของแต่ละคนต่างกัน อุปนิสัยใจคอที่เคยสั่งสมมาในอดีตก็ต่างกัน ในทำนองเดียวกัน เราจะหวังให้การกระทำของเราถูกใจทุกคนนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะถ้าเป็นไปได้แล้ว โลกนี้คงสงบสุข ไม่วุ่นวายเดือดร้อนอย่างทุกวันนี้
@@@@@@@
แต่การนินทาว่าร้ายก็มีอยู่คู่โลก เป็นธรรมประจำโลก แม้พระพุทธองค์ผู้ทรงเพียบพร้อมด้วยพระรูปสมบัติ จริยสมบัติ และคุณสมบัติ ก็ยังไม่พ้นคนนินทา การแสดงธรรมของพระองค์ก็มิได้ถูกใจใครไปทั้งหมด มิฉะนั้นแล้ว คนในสมัยโน้นก็คงนับถือพระพุทธศาสนากันทุกคน
ก็เมื่อคนและสัตว์มีความแตกต่างกัน ตามการกระทำของตนทั้งในอดีตและปัจจุบัน เราจะยึดถือการกระทำของเขาที่ไม่ถูกใจเรา มาเป็นเหตุให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจ เดือดร้อนใจกันทำไม ให้อภัยกันเสีย มิเป็นสุขใจกว่าหรือ
แต่ละคนมีชีวิตอยู่ไม่นานก็จะจากโลกนี้ไป จากไปแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ก็หามีใครทราบไม่ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ควรจากโลกนี้ไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจในกันและกัน แต่ควรจะจากไปด้วยความปลอดโปร่งสบายใจ
พระพุทธองค์ตรัสว่า เมื่อจิตเศร้าหมองทุคติเป็นอันหวังได้ เมื่อจิตไม่เศร้าหมองสุคติเป็นอันหวังได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงวิธีดับไฟ คือโทสะ ไว้ถึง ๕ (7) อย่างคือ_______________________________________
7
อาฆาตวินยสูตรที่ ๑ อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ข้อ ๑๖๑ ๑. เมื่อความอาฆาตเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญเมตตา ในบุคคลนั้น
๒. เมื่อความอาฆาตเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญกรุณา ในบุคคลนั้น
๓. เมื่อความอาฆาตเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญอุเบกขา ในบุคคลนั้น
๔. เมื่อความอาฆาตเกิดขึ้นในบุคคลใด ไม่พึงเอาใจใส่นึกถึงบุคคลนั้น
๕. เมื่อความอาฆาตเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงนึกถึงกรรมของบุคคลนั้นว่า บุคคลนั้นมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้องเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมใดดีหรือชั่ว จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
แม้ท่านพระสารีบุตร อัครสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้แสดงวิธีระงับความอาฆาตในบุคคลที่เราไม่ชอบใจ ไม่พอใจไว้ ๕ (8) ประการ คือ_______________________________________
8
อาฆาตวินยสูตรที่ ๒ อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ข้อ ๑๖๒ ๑. บางคนมีความประพฤติทางกายไม่บริสุทธิ์ แต่ทางวาจาบริสุทธิ์ พึงระงับความอาฆาตในบุคคลแม้เช่นนี้
๒. บางคนมีความประพฤติทางวาจาไม่บริสุทธิ์ แต่ทางกายบริสุทธิ์ พึงระงับความอาฆาตในบุคคลแม้เช่นนี้
๓. บางคนมีความประพฤติทางกาย และทางวาจาไม่บริสุทธิ์ แต่มีความสงบใจ มีความเลื่อมใส ในกาลอันสมควร พึงระงับความอาฆาตในบุคคลแม้เช่นนี้
๔. บางคนมีความประพฤติทางกาย และทางวาจาไม่บริสุทธิ์ และไม่ได้สงบใจ พึงระงับความอาฆาตในบุคคลแม้เช่นนี้
๕. บางคนมีความประพฤติทางกาย และทางวาจาบริสุทธิ์ ได้ความสงบใจ ได้ความเลื่อมใส โดยกาลอันสมควร พึงระงับความอาฆาตในบุคคลแม้เช่นนี้
ท่านพระสารีบุตร ท่านสอนให้พิจารณาแต่การกระทำในส่วนดีของผู้ที่เราไม่ชอบใจ ซึ่งมีอยู่ถึง ๓ ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ คือความสงบใจ ว่า บุคคลนั้นคงจะมีความดีทางใดทางหนึ่ง แล้วให้อาศัยความดีส่วนนั้นของเขา เป็นเครื่องระงับความไม่ชอบใจของเราเสีย เช่น บางคนชอบฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ แต่รักความจริงพูดจริงเสมอ เราโกรธคนเช่นนั้น เราก็ต้องระงับความโกรธของเรา โดยดูแต่วาจาจริงของเขา ดังนี้เป็นต้น
อุปมาเหมือนคนเดินทางไกล เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า กระหายน้ำ ได้มาพบบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยจอกแหนปกคลุมไว้ ก็ใช้มือแหวกจอกแหนออกไปเสีย แล้วกอบน้ำขึ้นดื่มแก้กระหาย ลูบเนื้อลูบตัวให้คลายร้อน ฉันใดก็ฉันนั้น
ถ้าเราเมินการกระทำที่ไม่ดีของเขาเสีย แล้วดูแต่การกระทำที่ดี เราก็จะสามารถบรรเทาความโกรธ ความอาฆาต แล้วเกิดเมตตาในบุคคลนั้นได้
@@@@@@@
ส่วนคนที่ไม่มีอะไรดีเลยทั้ง ๓ ทาง เราก็สามารถกรุณาเขาได้ว่า เขาเป็นคนน่าสงสาร เป็นคนขาดที่พึ่ง ขาดผู้ที่จะคอยอบรมสั่งสอนให้เขาประพฤติดี ทั้งไม่มีโอกาสได้พบ หรือคบหากับสัตบุรุษ คนที่ขาดที่พึ่งอย่างนี้ น่าสงสารนัก ควรที่เราจะกรุณาสงสาร ไม่โกรธตอบ แล้วชักจูงแนะนำให้เขาทำแต่ความดี เพื่อว่า เขาจะได้พ้นจากอบาย
คนชนิดนี้ไม่ผิดกับคนไข้หนัก ไร้ที่พึ่งพิง ต้องเดินทางไกลแต่ลำพัง ขาดทั้งคนพยาบาล และอาหารที่ถูกกับโรค จุดหมายปลายทางก็อยู่ไกล ไม่มีทางที่เขาจะไปถึงได้ แต่มีคนเดินทางไกลบางคนมาพบเข้า ก็เกิดกรุณาว่า ขอคนไข้นี้อย่าได้ตายเสียเลย แล้วก็สงเคราะห์เขาด้วยอาหารและพยาบาล พาไปส่งถึงที่หมาย ขอเราจงเป็นเหมือนคนเดินทางไกล ผู้มีน้ำใจกรุณานั้นเถิด
สำหรับคนที่ดีพร้อมทั้งกาย วาจา ใจนั้น ถ้าเราโกรธเขา เราควรระงับความโกรธในบุคคลนั้น ด้วยความดีพร้อมของเขา ให้ระลึกว่า..
"คนที่ดีพร้อมนั้น เหมือนสระน้ำใสสะอาด เย็นจืดสนิท มีท่าน้ำที่ราบเรียบ ร่มเย็นไปด้วยเงาไม้ใหญ่ ที่ขึ้นอยู่รอบสระนั้น คนเดินทางไกลที่เหนื่อยอ่อน เมื่อยล้า กระหายน้ำได้มาพบเข้า ก็ย่อมถือเอาประโยชน์จากสระน้ำนั้น ด้วยการก้าวลงสู่สระ อาบบ้าง ดื่มบ้าง แล้วขึ้นมาพักผ่อน นั่งนอนอยู่ภายใต้ร่มไม้ในบริเวณนั้น ได้รับความสุขสบาย ฉันใด แม้เราเองก็จงเป็นเหมือนคนเดินทางไกล ที่ได้รับประโยชน์สุขจากสระน้ำนั้น ฉันนั้น"
ด้วยการไม่โกรธตอบ ท่านผู้ดีพร้อมแล้วนั้น เข้าไปคบหาสมาคมกับท่าน ประพฤติตามท่าน เพื่อว่า เราจะได้เป็นคนที่ดีพร้อมอย่างท่านบ้าง นี่คือ วิธีดับไฟคือโทสะ 
วิธีดับ ไฟคือโมหะ เป็นอย่างไร.?
คนที่มีโมหะมาก โง่ หลงใหล งมงายนั้น ไม่สามารถแก้ได้ด้วยธรรมอื่น เว้นเสียแต่ ปัญญา ความรอบรู้ พิจารณาใคร่ครวญให้รอบคอบ ก็ปัญญาจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องอาศัย...
- การเข้าไปคบหาสมาคมกับท่านผู้รู้ ๑
- ฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑
- ไตร่ตรองตามธรรมที่ท่านสอน ๑
- ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑
คนเราถ้าเพียงเข้าไปคบหาบัณฑิตท่านผู้รู้แต่ไม่ฟังธรรมของท่าน ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด แม้ฟังแล้วสักแต่ว่าฟัง ไม่เอาใจใส่หรือไตร่ตรองให้เข้าใจ ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด หรือแม้ไตร่ตรองแล้วเข้าใจแล้ว ไม่ปฏิบัติตาม ก็ไม่เกิดประโยชน์เช่นกัน เพราะฉะนั้น คนเราที่จะพ้นจากความโง่ความหลงใหลได้ จึงต้องอาศัยเครื่องประกอบ ๔ ประการ ดังกล่าวแล้ว
@@@@@@@
ผู้ที่ดับไฟ ๓ กองนี้ให้เบาบางลง แล้วบำเพ็ญกุศลอันไม่มีโทษ มีใจประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในสัตว์ทั้งหลายทุกหมู่เหล่า เป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไม่มีความเศร้าหมอง ย่อมได้รับความอุ่นใจสบายใจ ๔ ประการ (9) ในปัจจุบันว่า_________________________________
9
เกสปุตตสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ข้อ ๕๐๕ ๑. ถ้าโลกหน้ามีจริง ผลวิบากของกรรมดีกรรมชั่วมี การที่เราจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เมื่อตายแล้วมีเหตุที่เป็นไปได้
๒. ถ้าโลกหน้าไม่มี ผลวิบากของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี เราก็ได้ทำตัวของเราให้ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีพยาบาท ไม่มีทุกข์ อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
๓. ถ้าว่าเมื่อบุคคลทำบาป ชื่อว่าบาป เราก็ไม่ได้จงใจทำบาปแก่ใคร เมื่อเราไม่ทำบาป ความทุกข์จะมีแก่เราได้อย่างไร
๔. ถ้าว่าบุคคลทำบาป ไม่ชื่อว่าทำบาป เราก็พิจารณาเห็นว่า ตัวเราเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสองส่วน (คือ บริสุทธิ์จากการชื่อว่าทำบาป และไม่ชื่อว่าทำบาป ตามความเชื่อถือของคนบางพวก เพราะเราไม่ได้ทำบาป)
@@@@@@@
แต่การดับไฟ ๓ กอง ตามวิธีที่กล่าวแล้ว เป็นเพียงการดับราคะ โทสะ โมหะ ให้บรรเทาเบาบางลงชั่วคราวเท่านั้น หาได้ดับให้หมดเชื้อโดยสิ้นเชิงไม่ หากมีเหตุปัจจัยเมื่อใด ไฟ ๓ กองนี้ก็เกิดขึ้นได้อีก และจะติดตามไปเกิดแก่เราในทุกภพทุกชาติ ตราบเท่าที่ยังต้องเกิดอยู่
"ความร้อนที่เกิดจากไฟ ย่อมเผาไหม้สิ่งทั้งหลายให้เป็นจุณวิจุณไป ตราบเท่าที่ยังไม่สิ้นเชื้อ ฉันใด ความร้อนที่เกิดจากกิเลส ก็ย่อมเผาไหม้จิตใจของผู้ที่มีกิเลส ให้เร่าร้อนอยู่เป็นนิจ ตราบเท่าที่ยังทำลายกิเลสให้หมดไปสิ้นเชิงไม่ได้ ฉันนั้น"
พระพุทธองค์ตรัสไว้ ใน คาถาธรรมบท ชราวรรค ข้อ ๒๑ ว่า
"เมื่อโลกสันนิวาส อันไฟลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์ พวกเธอยังร่าเริงบันเทิงอะไรกันหนอ เธอทั้งหลายอันความมืดปกคลุมแล้ว ทำไมจึงไม่แสวงหาประทีปเล่า"
ซึ่งมีความหมายว่า เมื่อโลกคือรูปนามขันธ์ ๕ ของเรานี้ ถูกไฟ ๑๑ กอง คือ ราคะ โทสะ โมหะ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ และอุปายาสะ เผาไหม้อยู่เป็นนิตย์ มานานแสนนาน เหตุไรจึงมัวร่าเริงบันเทิงใจกันอยู่ ในเมื่อเราทั้งหลายถูกความมืด คืออวิชชาความไม่รู้ปกคลุมแล้ว เหตุใดจึงไม่แสวงหาประทีป คือญาณปัญญา กำจัดอวิชชาความมืดนั้นเสียเล่า
เพราะฉะนั้น เราจึงต้องหาวิธีดับไฟเหล่านี้ ให้สิ้นเชื้อหมดความร้อน ไม่มาไหม้เราได้อีกต่อไป
@@@@@@@
วิธีดับไฟให้สิ้นเชื้อนั้น พระพุทธองค์ทรงสอนไว้แล้ว นั่นคือทรงสอนให้ เจริญสติปัฏฐาน ๔ หรือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา อันเป็นทางสายเดียวที่ให้บรรลุนิพพาน ทำลายราคะ โทสะ และโมหะ ให้สิ้นเชื้อ นั่นคือ ทรงสอนให้กำหนดรู้สภาพธรรมทั้งหลาย รวมทั้งราคะ โทสะ โมหะ ตามความเป็นจริง
เมื่อสภาพธรรมใดๆ เกิดขึ้น ก็ให้มีสติและปัญญาระลึกรู้ อยู่ที่ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ตามความเป็นจริง เมื่อระลึกรู้อยู่อย่างนี้ บ่อยๆ เนืองๆ ก็จะทำลายความเห็นผิดว่าธรรมเหล่านั้นเป็นเรา เป็นของเราเสียได้ เมื่อทำลายความเห็นผิด ก้าวข้ามความสงสัยได้จริงๆ เมื่อใด เมื่อนั้นก็จะเปลี่ยนจากปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส มาเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ที่ชื่อว่า พระโสดาบัน ผู้ทำลายการเกิดในภพใหม่ ให้เหลือเพียง ๗ ชาติเป็นอย่างมาก
ผู้เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ มาจนได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว ย่อมไม่เป็นการยาก ที่จะเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ต่อไป เพื่อเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ในที่สุด
เมื่อใดที่ท่านได้เป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นท่านได้ดับไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะที่มีอยู่ในใจได้หมดสิ้นแล้ว ราคะ โทสะ โมหะไม่มีโอกาสเกิดแก่ท่านได้อีกต่อไป ใจของท่านเย็นสนิท ไม่ว่าใครจะยั่วยวน ยั่วยุ ดุด่า ฆ่าตี อย่างไร ไฟเหล่านั้นจะไม่กำเริบขึ้นอีก เพราะท่านได้ดับไฟเหล่านั้นเสียแล้ว ด้วยน้ำอมฤตคือ อริยมรรค อันมีนิพพานเป็นอารมณ์
ท่านที่ต้องการพบกับความเย็นสนิท จึงควรได้ดับไฟ ๓ กองนี้เสีย ตามวิธีที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ เมื่อไฟ ๓ กองนี้ดับสนิทแล้ว ความร้อนกายร้อนใจ จะไม่เกิดแก่ท่านเลย "เราจงมาดับไฟกันเถิด"
นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ - ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี
นตฺถิ โทสสโม คโห - ผู้จับเสมอด้วยโทสะไม่มี
นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ - ข่ายเสมอด้วยโมหะไม่มี
นตฺถิ ตณฺหาสมา นที - แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี______________________________
จาก ขุ. คาถาธรรมบท มลวรรคที่ ๑๘ ข้อ ๒๘ขอบคุณบทความ : ดับร้อน โดย อ.ประณีต ก้องสมุทร
บันทึก ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๘
ขอบคุณ :
https://84000.org/tipitaka/book/bookpn08.phpขอบคุณภาพจาก : pinterest
ที่มา แนะนำและอ้างอิง :-
- พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ อาทิตตปริยายสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=1175&Z=1213 - พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๖ จูฬกัมมวิภังคสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=7623&Z=7798 - พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ ภัลลาติยชาดก [ว่าด้วย อายุของกินนร]
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=27&A=8534&Z=8612 - พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ กกจูปมสูตร [ว่าด้วย อุปมาด้วยเลื่อย]
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=4208&Z=4442 - พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ โกธนาสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=2036&Z=2138 - พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ ธนัญชานีสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=5136&Z=5184 - พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ วีณาถูณชาดก
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=27&A=1796&Z=1802 - พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ อาฆาตวินยสูตรที่ ๑, อาฆาตวินยสูตรที่ ๒
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=4329&Z=4422 - พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒ เกสปุตตสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=4930&Z=5092