ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ผี พราหมณ์ พุทธ : เสื้อผ้าอาภรณ์กับศาสนา  (อ่าน 1070 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ขอบคุณภาพจาก ฺฺBBC NEWS ไทย


ผี พราหมณ์ พุทธ : เสื้อผ้าอาภรณ์กับศาสนา / คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง


ในคัมภีร์ปฐมกาลหรือเยเนซิสของชาวยิว ซึ่งชาวคริสต์และชาวมุสลิมรับไปด้วยนั้น นอกจากการสรรค์สร้างโลกของพระเจ้าแล้ว ผมสนใจแนวคิดเกี่ยวกับมนุษย์คู่แรกมากๆ พระเจ้าสร้างมนุษย์จาก “ฉายา” ของพระองค์ มนุษย์ชาย-หญิงคู่แรกเปลือยกาย เล่นสนุกในสวนอีเดนเพราะยังไม่รู้จักความละอาย กระทั่งไปกิน “ผลไม้แห่งความรอบรู้” ขึ้นมา

สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือการหาใบไม้มาปกปิดเครื่องเพศ และเมื่อพระเจ้าตามหาก็พบว่าสองคนนี้หลบอยู่ จึงได้ทราบว่าพวกเขาละเมิดคำสั่งของพระองค์ ที่สำคัญคือ “พวกเขาก็ได้เป็นอย่างพระเจ้า” คือมีปัญญารู้คิด แต่ในเมื่อทำผิดก็ต้องถูกไล่ออกไปจากสวนสวรรค์ “เพื่อทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ มีลูก-หลานแพร่ไปในแผ่นดิน” และ “ไปสู่ความตาย”

จากตำนานนี้ ปัญญารอบรู้แรกของมนุษย์คือศีลธรรม ศีลธรรมแรกของมนุษยชาติคือความละอายเรื่องเพศ และกิจกรรมทางวัฒนธรรมแรกของมนุษยชาติเพื่อสอดรับกับศีลธรรมนั้น คือการหาเครื่องนุ่งห่มมาปิดกาย ดังนั้น จากตำนานในคัมภีร์ปฐมกาล มนุษย์กลายเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะสวมเสื้อผ้านี่เอง การสวมเสื้อผ้าทำให้มนุษย์หลุดออกจาก “สภาวะธรรมชาติ” อย่างสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่จริงสัตว์บางชนิดก็อาจนำเอาวัสดุตามธรรมชาติมาตกแต่งร่างกาย แต่มันมักทำไปโดยสัญชาตญาณเพื่อการสืบพันธุ์ ต่างกับมนุษย์ที่ใช้ความคิดกับเรื่องศีลธรรม

ผมเคยอ่านมาจากสักที่ซึ่งเลือนไปเสียแล้ว มีนักมานุษยวิทยากล่าวในทำนองว่า เมื่อบรรพบุรุษยุคแรกของเราเริ่มเดินด้วยสองขา ทำให้อวัยวะเพศออกมาอยู่ด้านหน้าซึ่งเปิดเผยกว่าการเดินขนานไปกับพื้น อวัยวะเพศก็อาจเกิดอันตรายได้ง่าย จึงมีการนำเอาสิ่งต่างๆ มาปกปิดไว้ ซึ่งอาจพัฒนากลายเป็นเสื้อผ้าในภายหลัง

นอกจากนี้ ยังนึกถึงวัฒนธรรม “ผี” ต่างๆ ที่ให้ความสำคัญกับเสื้อผ้ามากๆ เช่น ในวัฒนธรรมมอญ หีบผีบรรพชนของเขาภายในบรรจุเสื้อผ้าของปู่-ย่า ตา-ยายเอาไว้ ส่วนในวัฒนธรรมจีน เวลาทำกงเต็กเขาก็เอาเสื้อผ้าผู้ตายสวมในโคมว่ามีวิญญาณผู้ตายมาสิงอยู่ บางครั้งมีการถวายเสื้อผ้ากระดาษหรือเผ้าแก่วิญญาณหรือเทพเจ้า นัยว่าให้คุณพิเศษมากกว่าการเผากระดาษเงินกระดาษทองทั่วๆ ไป เสื้อผ้าจึงไม่ได้มีมิติแค่ประโยชน์ใช้สอยหรือมิติด้านสุนทรียะเท่านั้น แต่เกี่ยวพันกับศาสนาและจิตวิญญาณด้วย

@@@@@@@

ที่เล่ามาข้างต้น ที่จริงผมมาคิดต่อจากการที่ศูนย์สยามทรรศน์ศึกษาของคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพิ่งชวนไปเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “พัสตราเล่าศรัทธาในศาสนา” ซึ่งผมยังสนุกและกลับมาคิดอะไรต่อได้อีก

อันที่จริงแล้วการเปลือยกายซึ่งสะท้อนสภาวะตามธรรมชาติ และเมื่อสวมใส่เสื้อผ้าสะท้อนสภาวะวัฒนธรรมนั้น ไม่ได้จบสิ้นแค่ในตำนานของฝ่ายยิว ในศาสนาฝ่ายอินเดียเรื่องนี้สนุกมากๆ เพราะยังปรากฏอยู่ในสัญลักษณ์ทางศาสนารวมถึงเครื่องแต่งกายของนักบวชด้วย

เทพเจ้าฮินดูที่เปลือยกาย เช่นเจ้าแม่กาลีและพระไภรวะนั้น เป็นสิ่งสะท้อนว่า พระองค์คือสภาวะของธรรมชาติที่ยังไม่ถูกนำเข้ามาในสังคมมนุษย์ (กาลีบูชาในชายป่า เคารีบูชาในบ้าน) จึงมีความดุร้ายเหมือนธรรมชาติที่ให้คุณให้โทษได้ไม่อาจคาดเดา และทรงพลังอำนาจมากมายมหาศาล

ต่อเมื่อถูกนำมาขัดสีฉวีวรรณ จับมัดผมและแต่งตัวแล้ว กาลีจึงกลายเป็นเคารี เป็นแม่ผู้นำอาหารและความสุขมาให้ ไภรวะจึงกลายเป็นศิวะ ผู้เป็นมงคล เป็น “คฤหปติ” ผู้เป็นเจ้าแห่งครอบครัวได้

เทวทัตต์ ปัตตาไนยกะ นักเทวตำนานบอกว่า ในวัฒนธรรมอินเดีย เมื่อคุณไปสักการะเจ้าแม่ประเภท “ครามเทวี” หรือเจ้าแม่ท้องถิ่นตามหมู่บ้าน จึงต้องเอาเสื้อผ้าและห่วงจมูกไปถวายเจ้าแม่ด้วย มิใช่เพราะเป็นสิ่งที่ผู้หญิงชอบเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการทำให้ธรรมชาติยอมละทิ้งสภาวะเดิมของตนแล้วเข้าสู่บ้านหรือสังคมมนุษย์

เพราะมิฉะนั้นแล้ว หากธรรมชาตินั้นยังคงรักษาความดิบเถื่อนเอาไว้ มนุษย์ก็ไม่อาจคาดเดาหรือได้รับประโยชน์จากธรรมชาติได้เท่าที่ควร

ครามเทวีตามหมู่บ้าน บางทีก็แค่เป็นก้อนหิน จอมปลวกหรือต้นไม้ครับ แต่เขาจะแสดงสัญลักษณ์ให้รู้โดยการเจิมผงเจิมสีต่างๆ ไว้ ที่สำคัญมักติด “ดวงตา” ทำด้วยโลหะ ก็เพื่อเปิดช่องทางสำหรับการรับรู้และติดต่อสื่อสาร (ในความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์) และที่สำคัญ ถ้าเป็นเทวี ก็มักจะติด “ห่วงจมูก” ให้รู้ว่านี่เป็นเจ้าแม่นะ


@@@@@@@

เมื่อศาสนาฮินดูมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นตามความซับซ้อนของสังคม เสื้อผ้าของเทพเจ้าและมนุษย์ก็ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก มันกลายเป็นเครื่องบอกลำดับชั้นไม่ว่าเทพหรือมนุษย์

เทพเจ้ามีศักดิ์ต่างกันสะท้อนผ่านเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ เช่น มงกุฎที่มีความสูงต่ำไม่เท่ากัน ส่วนมนุษย์ ในแต่ละวรรณะต่างมีข้อกำหนดของสีเสื้อผ้าและชนิดของผ้าที่ใช้ เช่น วรรณะสูงมักสวมผ้าไหมหรือผ้าเนื้อดีอื่นๆ พราหมณ์สวมสีขาว กษัตริย์สีแดง แพศย์สีเหลือง และศูทรสีดำ สีเหล่านี้สัมพันธ์กับสภาวะที่สีเกี่ยวข้องด้วย รวมถึงกิจกรรมในชีวิตของแต่ละชนชั้น ซึ่งมีรายละเอียดอีกมาก ผมขออนุญาตไม่กล่าวถึงในที่นี้

แม้ในปัจจุบันคนฮินดูส่วนมากจะสวมเสื้อผ้าอย่างตะวันตก แต่เมื่อต้องเข้าพิธีสำคัญ ก็ยังมีข้อกำหนดของ “เครื่องนุ่งห่ม” ซึ่งมีชิ้นนุ่งและชิ้นห่มตามประเพณีเช่นเดิม

ศาสนามักมุ่งจัดการกับร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ การควบคุมร่างกายเป็นวิถีหนึ่งของควบคุมทางศีลธรรมในศาสนา ซึ่งภายหลังรัฐและสถาบันการศึกษาจะพยายามเข้าไปควบคุมแทน โดยใช้ศีลธรรมจากศาสนานั่นเอง

ไม่ว่าเราจะสวมใส่อะไร ไม่ว่าจะเกี่ยวกับศาสนาหรือไม่ ผมคิดว่ามีความคิดและอุดมการณ์ซ่อนอยู่ภายใน นอกเหนือจากความสวยงามและหน้าที่ของมัน ความลึกของเรื่องนี้คือ ดูเหมือนเราจะบอกตัวเราเอง (และคนอื่น) ว่าเราเป็นใครผ่านการสวมใส่ของเรา ซึ่งดูเหมือนเรา “เลือก” เสื้อผ้า แต่ในขณะเดียวกันเสื้อผ้าก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะถูกกำหนดจากคนอื่นว่าเราเป็นใครด้วย การสวมเสื้อผ้าเป็นการ “ตอกย้ำ” มโนสำนึกของเราว่าเราคือใคร

ในโลกสมัยใหม่ การที่เรามีอิสระในการเลือกใส่เสื้อผ้ามากน้อยแค่ไหนจึงสำคัญ เพราะการถูกกำหนดให้ใส่เสื้อผ้าเป็นการบ่มเพาะความคิด ความเชื่อและอุดมการณ์ที่เรามีต่อตัวเองและความสัมพันธ์กับคนอื่น ดังนั้น จึงมียุคสมัยของการขบถผ่านการแต่งกาย เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ซึ่งทุนนิยมมักทำให้การขบถทางการแต่งกายกลายเป็นแฟชั่นที่มีราคา เพราะกลิ่นอายของการขบถนั้นเชื้อเชิญคนหนุ่ม-สาวให้เข้ามาใกล้

@@@@@@@

ผมคิดว่าศาสนาก็เข้าใจเรื่องนี้อย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ดูเหมือนศาสนาจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องเสื้อผ้ามากที่สุด โดยเฉพาะกับนักบวช ซึ่งผมคิดว่าเราอาจแบ่งนักบวชเหล่านี้ออกเป็นสองพวก พวกแรกคือพวกสละโลกกับพวกนักบวชประเภทศาสนบริกรหรือพระที่ดูแลชุมชนความเชื่อ

พวกแรกนั้น เครื่องแต่งกายนักบวชต้องสะท้อนสภาวะสละโลก ซึ่งที่จริงก็คือการ “ขบถ” ต่อค่านิยมของสังคมผ่านเสื้อผ้านั่นเอง มันจึงต้องมีลักษณะ “เรียบง่าย ยากจน หม่นหมอง” เช่น จีวรพระ หรือจีวรของพวกสันยาสี นอกจากจะหม่นหมองแล้ว ต้องมีน้อยชิ้นด้วย

นักบวชฮินดูแต่โบราณมีเสื้อผ้าชิ้นเดียว เรียกว่า “เกาปินะ” หรือผ้าเตี่ยวเท่านั้น ต่อมาก็อนุโลมให้ใช้ผ้านุ่งต่างๆ แต่ก็ยังถือว่าเกาปินะคือเครื่องแบบที่แท้จริงของสันยาสี บางท่านก็เปลือยกาย คือปฏิเสธทั้งค่านิยมทางโลกและแสดงให้เห็นว่า ปราศจากทรัพย์สมบัติใดๆ สละสิ้นอย่างที่สุด อันที่จริงนักบวชในพุทธศาสนากลับปฏิเสธการสวมเกาปินะ ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง

ส่วนนักบวชประเภทศาสนบริกร เครื่องแต่งกายมักเป็นการสะท้อนให้ชุมชนเห็นสถานะพิเศษของตน หรือแสดงให้เห็นการควบคุมตนเอง ส่วนศาสนาที่มีพระเจ้านั้น เครื่องแต่งกายนักบวชในพิธีกรรมจะต้องแสดงให้เห็นความสง่าและความรุ่งเรืองของพระเจ้า จึงมักมีความสวยงามอลังการเป็นพิเศษ

เรื่องเครื่องแต่งกายกับศาสนายังมีต่อครับ เพราะชวนให้คิดอะไรได้อีก โปรดติดตาม



ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน 2564
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2564
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/religion/article_430548
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0





เสื้อผ้าอาภรณ์กับศาสนา (2) : ที่มาของผ้าสามผืน(ไตรจีวร)

ในเมื่อเสื้อผ้าอาภรณ์มิได้เป็นเพียงเครื่องกันร้อนหนาวและปกปิดกายตามหน้าที่เดิมของมัน แต่กลายเป็นเรื่องของความงามและชนชั้น ชีวิตของนักบวชจึงต้องเข้ามาคิดพิจารณาเกี่ยวกับเสื้อผ้าอาภรณ์เสียใหม่ เพราะนักบวชพยายามที่จะหลุดออกไปจากกรอบเกณฑ์ค่านิยมของชาวบ้าน ทั้งนี้ ผมมุ่งหมายถึงนักบวชประเภทสละโลก (ascetic) นะครับ

ส่วนนักบวชประเภทศาสนบริกร (priest) การนุ่งห่มมักแสดงให้เห็นถึงความสง่า เพื่อสะท้อนความรุ่งเรืองของพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น ชุดในพิธีการมิสซาของบาดหลวงคริสต์ศาสนา (ที่เขียนบาดหลวงนี้เป็นมติปราชญ์ ท่านว่ามาจาก padre ที่แปลว่าคุณพ่อ จึงควรสะกดด้วย ด) นอกจากแสดงความสง่ารุ่งเรืองของพระเป็นเจ้าแล้ว ยังแสดงสถานภาพบุคคลศักดิ์สิทธิ์หรือหัวหน้าของชุมชนไปด้วยในตัว

นักบวชประเภทสละโลกนั้น นอกจากจะนุ่งห่มที่แสดงให้เห็นความมักน้อย ความยากจนและความหม่นหมองแล้ว บางครั้งนักบวชก็ต้องแสดงถึงการสละละ โดยการนุ่งห่มให้น้อยที่สุด การนุ่งน้อยห่มน้อยของนักบวชมีอยู่ทั่วไปในศาสนาต่างๆ แม้แต่ในคริสต์ศาสนายุคต้นก็มีนักพรตหรือพวกฤษี (hermit) นุ่งห่มน้อย ออกไปบำเพ็ญพรตอยู่ในทะเลทราย หรือนักพรตคณะฟรานซิสกันยุคแรกที่นุ่งผ้าหยาบๆ พอหุ้มกายเท่านั้น

ในอินเดีย พราหมณ์มักแต่งกายอย่างสวยสง่า เพื่อแสดงถึงสถานะอันสูงส่งและความบริสุทธิ์ของตน เสื้อผ้าเนื้อหยาบสีโทนดำหรือน้ำเงินไม่นุ่งห่มเลยทีเดียว เพราะเป็นสีของวรรณะต่ำและแสดงถึงมลทิน การไม่นุ่งห่มดีๆ ถูกมองว่าเป็นเรื่องของคนที่ไม่มีประเพณี เป็นพวกอนารยะ ดังตำนานที่พราหมณ์เหยียดคนพื้นเมืองที่นุ่งผ้าน้อยชิ้นว่าเป็นพวกไม่มีความเจริญทางวัฒนธรรม

ส่วนนักบวชประเภทสละโลกในอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นสันยาสีของฮินดู พระในพุทธศาสนาหรือนักบวชเชน ต่างก็นุ่งห่มน้อยชิ้นและใช้ผ้าหยาบๆ เช่น เปลือกไม้หรือวัสดุธรรมชาติอื่นๆ พุทธศาสนาถึงกับให้ไปชักเอาผ้าที่เขาทิ้งแล้วหรือผ้าจากศพมาปะเพื่อใช้ เรียกบังสุกุลจีวร ต่อภายหลังจึงอนุญาตจีวรที่เขาตัดเย็บไว้ให้

นักบวชฮินดูแต่เดิมและพวกไชนะบางนิกายมักเปลือยกาย ในคัมภีร์ปรมหังสะ ปริวรัชกะอุปนิษัท (อุปนิษัทของปรมหงส์ (นักบวช) ผู้ท่องไปอย่างสูงสุด) ซึ่งเป็นอุปนิษัทในยุคกลางและเน้นเรื่องการออกบวชกล่าวว่า “ผู้ทรงไว้ซึ่งรูปตอนแรกเกิด นั่นแหละ สันยาสี” (ชาตรูปธรศฺจเรตฺ, เอษะ สนฺยาสะ)”

แม้ในปัจจุบันการเปลือยกายในที่สาธารณะผิดกฎหมาย แต่นักบวชทั้งฮินดูและไชนะบางนิกายก็ยังเปลือยกายอยู่ ท่านเหล่านี้โดยมากก็นิยมซ่อนเร้นตนตามเถื่อนถ้ำหรืออาราม นอกนั้นเลิกเปลือยกายและใส่จีวรกันแล้ว กระนั้น นักบวชฮินดูยังมีเครื่องแต่งกายชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจ คือผ้าเตี่ยวที่เรียกว่า “เกาปีนะ” เป็นผ้าสามเหลี่ยม มีชายสำหรับผูกที่เอว ดูคล้ายกางเกงในจีสตริง

@@@@@@@

ผมไปอ่านเว็บบอร์ดหลายที่ คนรุ่นใหม่เขามีคำถามว่า พระในพุทธศาสนาใส่กางเกงในได้ไหม ทำไมถึงไม่ใส่กางเกงใน มีบัญญัติอะไรหรือไม่ ส่วนมากผู้ที่มาตอบก็ตอบออกไปสองแนวครับ แนวแรกคือบอกว่าถึงไม่ได้บัญญัติห้ามก็ไม่ควรใส่ ยิ่งดีด้วยจะได้ทำให้พระนั้นสำรวมระวังเป็นพิเศษ ซึ่งผมคิดว่าอันนี้เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ค่อยขึ้น เพราะเหมือนไม่ได้ตอบคำถาม

อีกแนวหนึ่งมักตอบว่า ก็ในสมัยพุทธกาลยังไม่มีกางเกงในใช้ จึงไม่ได้บัญญัติห้ามไว้ ซึ่งอันนี้ผมคิดว่าเป็นคำตอบที่ไม่น่าใช่อีก เพราะอินเดียมี “เกาปีนะ” ซึ่งคือกางเกงในแบบหนึ่งนั่นแหละ ใส่กันมาตั้งแต่โบราณตั้งแต่สมัยพระเวท แสดงว่ามีมาก่อนพุทธกาลแล้ว

เกาปีนะแต่เดิมไม่ได้สวมใส่กันเฉพาะนักบวช แต่พวกที่นิยมใส่คือนักมวยปล้ำของอินเดีย (อขาฒา) ใช้ใส่ในเวลาฝึกและแข่งขัน รวมทั้งพวกพรหมจารี (นักเรียนที่ถือพรหมจรรย์) จะต้องสวมเกาปีนะซึ่งแบ่งตามวรรณะเป็นสามสี พวกพราหมณ์ใส่เหลืองอมแดง กษัตริย์ใส่แดงและแพศย์ใส่เหลือง เพราะก่อนจะเป็นพรหมจารีเด็กชายอินเดียก็แก้ผ้าเหมือนเด็กในเขตร้อนทั่วๆ ไปนั่นแหละครับ การเริ่มใส่เกาปีนะเมื่อเข้าเริ่มเรียนจึงเป็นสัญลักษณ์ของการควบคุมเรื่องเพศ

อันที่จริงแล้ว ใครๆ ก็ใส่เกาปีนะได้ แต่เกาปีนะกลายเป็นเครื่องแบบสำคัญของนักบวชฮินดู เพราะมันเป็นเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คือแค่พอปกปิดเครื่องเพศเท่านั้น เป็นสมบัติที่นักบวชครอบครองน้อยที่สุด บริขารของนักบวชฮินดูจึงมีเพียงเกาปีนะ บาตร และไม้เท้า พูดให้ง่าย เหมือนพวกเราเอากางเกงในมาเป็นเครื่องนุ่งห่มชิ้นเดียวนั่นแหละครับ


@@@@@@@

รูปเคารพของเทพเจ้าบางองค์เช่น พระไภรวะ บางครั้งก็สวมเกาปีนะเพราะแสดงความเป็นนักบวชเร่ร่อน รูปพระขันทกุมารที่ภูเขาปาลาณิ (ปาลาณิอัณทวาร์) เป็นรูปพรหมจารีจึงสวมแค่เกาปีนะเช่นกัน เกาปีนะเป็นที่เคารพยกย่องมากในหมู่นักบวช มีมนต์ยามต้องสวมใส่ ซึ่งเชิญเทพระดับพระตรีมูรติทั้งสามมาสถิตในส่วนต่างๆ ของเกาปีนะนั้น เว้นแต่คฤหัสถ์ผู้เสพกามที่ไม่ต้องใช้มนต์ยามสวมใส่

อาทิ ศังกราจารย์ นักบวชและนักปรัชญาคนสำคัญที่สุดของฮินดูถึงกับแต่งบทประพันธ์ชื่อ “เกาปีนะปัญจกัม” หรือบทสรรเสริญเกาปีนะห้าบท เนื้อความกล่าวถึงความประเสริฐของชีวิตนักบวชผู้มีโชคที่ได้สวมใส่เกาปีนะ เป็นต้นว่า

“นั่งใต้ร่มไม้เป็นเพิงพัก อาหารตักใส่ใบไม้สบายหนอ เสื้อผ้าจะดีชั่วห่อตัวพอ ผู้มีโชคขอสวมใส่แต่เกาปีน”
“ท่องจรไปในป่าแห่งเวทานตะ สมถะอาหารทานทุกสิ่ง แต่ละก้าวใจไร้ทุกข์สนุกจริง โชคดียิ่งมีแก่ผู้สวมเกาปีน”

เมื่อได้ทราบว่า ฮินดูเขาเคารพและยกย่องเกาปีนะถึงเพียงนี้ ผมจึงเข้าใจเอาเองว่า เหตุใดพุทธศาสนาจึงไม่ได้ให้นักบวชในพุทธศาสนาสวมเกาปีนะ เพราะจะไปเหมือนกับ “พาหิรลัทธิ” หรือลัทธิศาสนาภายนอกนั่นเอง

แม้ไม่ได้มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทีที่พุทธศาสนายุคต้นมีต่อเพื่อนๆ นักบวชในศาสนาอื่น ก็พอจะเห็นได้ว่า พุทธศาสนาต้องการสร้างเอกลักษณ์นักบวชของตนที่แตกต่างกับนักบวชกลุ่มอื่น โดยปฏิเสธสัญลักษณ์บางอย่างด้วย เช่น ปลงศีรษะหมด ไม่สวมรองเท้า ไม่สวมเกาปีนะ ฯลฯ

ที่จริงเรื่องนี้น่าสนใจครับ แม้แต่เรื่องระบบศีลธรรม เช่น สิกขาบทเรื่องห้ามสุราเมรัย ยังมีผู้ให้ความเห็นว่า เป็นการปฏิเสธระบบการให้ความสำคัญแก่ “น้ำโสม” ของพวกพราหมณ์ จนในภายหลังพราหมณ์ยังต้องมารับเอาข้อห้ามเรื่องสุราเมรัยจากพุทธศาสนาไว้ ทั้งที่แต่เดิมชอบมากๆ

@@@@@@@

ผมอยากเล่าเรื่องการได้มาของ “ไตรจีวร” ในพุทธศาสนาไว้สักนิดนึงปิดท้ายครับ เรื่องนี้ท่านอาจารย์ชาญณรงค์ บุญหนุน หัวหน้าภาควิชาของผมเคยเล่าให้ฟังด้วยความซาบซึ้งใจ หลายท่านอาจทราบเรื่องพระพุทธะท่านให้พระอานนท์ออกแบบจีวรตามคันนาของชาวไพศาลี แต่การได้มาของไตรจีวรว่า ทำไมต้องเป็นสามชิ้นอาจไม่ทราบ ซึ่งเรื่องนี้ช่วยให้เราเข้าใจมนุษยภาพของพระพุทธะได้ดียิ่งขึ้นครับ

พระวินัยปิฎกเล่มห้า หมวดจีวร เล่าว่า เมื่อเริ่มมีพระภิกษุมากขึ้นแล้ว การนุ่งห่มยังไม่ได้กำหนดไว้ พระท่านก็โพกหัวบ้าง นุ่งห่มรุ่มร่าม เอาจีวรมาเดียดเอวบ้าง เป็นที่ติเตียนของชาวบ้านว่าเหมือนพวกชอบสะสมจีวร พระพุทธะท่านจึงเอาเรื่องนี้ไปคิดอยู่เงียบๆ ว่า พระควรมีจีวรแค่ไหนที่เพียงพอต่อความจำเป็น

ท่านจึงไป “ทดลอง” นั่งลงกลางแจ้งช่วงค่ำ ในเดือนสามเดือนสี่ที่อากาศเย็นโดยนุ่งผ้าผืนเดียว ปรากฏว่าผ่านไปยามแรกก็หนาว จึงต้องใช้อีกผืนมาห่ม พอผ่านยามสองก็ปรากฏว่ายังหนาวอยู่ จึงเอาอีกผืนมาห่ม ห่มสามผืนก็ปรากฏว่าสามารถคุ้มกันความหนาวจนถึงอรุณได้ ท่านก็ตกลงใจว่า จะกำหนดให้พระในศาสนานี้นุ่งห่มสามผืนซึ่งเพียงพอต่อการทนความหนาวได้ทั้งคืน

ทั้งๆ ที่เป็นถึงพุทธะ มีสาวกมากแล้ว แทนที่จะกำหนดตั้งๆ ไปเลยว่าจะใช้อย่างไร หรือใช้ใครสักคนไปทดลองก็ได้ แต่ด้วยพระกรุณาธิคุณ ก็ทดลองเองคนเดียวเงียบๆ นั่งทนหนาวอยู่คืนหนึ่งเต็มๆ กลายเป็นไตรจีวรที่พระใช้สวมใส่กันจนปัจจุบัน

นี่เป็นมุมหนึ่งในความน่ารักของพระพุทธองค์ ที่เป็นห่วงเป็นใยผู้อื่น ไม่รบกวนผู้อื่น แต่ทนลำบากเอาเอง ดังนั้น ผมอยากขอให้พระภิกษุเมื่อจะสวมใส่จีวรทุกครั้ง นึกถึงเรื่องนี้ ว่าไตรจีวรของเรานั้น นอกจากมาจากน้ำใจชาวบ้านแล้ว ยังแลกมาด้วยความลำบากของพระพุทธะ





ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 มิถุนายน 2564
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน   : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2564
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/religion/article_432663
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
เสื้อผ้าอาภรณ์กับศาสนา (จบ) : ผ้าจีวร กับ “มโนสำนึก”
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2021, 05:33:43 am »
0




เสื้อผ้าอาภรณ์กับศาสนา (จบ) : ผ้าจีวรอันยิ่งใหญ่แห่งความหลุดพ้น เป็นนาบุญเหนือกว่า รูปหรือความว่าง

คราวที่แล้วผมได้กล่าวถึงเกาปีนะของนักบวชฮินดูและการเกิดขึ้นของจีวรสามผืนในพุทธศาสนาที่แลกมาด้วยความลำบากของพระศาสดา วันนี้อยากจะพูดถึงจีวรอีกสักหน่อย เพราะคิดว่ายังมีอะไรที่น่าสนใจอยู่ครับ

นอกจากจีวรของนักบวชแล้ว พุทธศาสนายังมีจีวรสำหรับฆราวาสมุนี หรือสำหรับฆราวาสใส่เป็นครั้งคราว ธรรมเนียมนี้คงมีมาตั้งแต่อินเดียโบราณ ในวรรณกรรมพุทธศาสนามีการกล่าวถึงฆราวาสผู้ถืออุโบสถศีล ท่านเหล่านี้มักไม่ได้สวมเสื้อผ้าตามปกติ เช่น เปลี่ยนไปใส่ผ้าย้อมฝาด หรือนุ่งคล้ายพระภิกษุ เช่น มีผ้าพาดอย่างสังฆาฏิ

ครั้นพุทธศาสนาแผ่ไปยังจีนแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมการนุ่งห่มเนื่องจากดินฟ้าอากาศและประเพณีที่ต่างกัน พระจึงสวมเสื้อตัวยาวแบบสมัยฮั่น แต่ยังคงมีการพาดผ้าเหมือนจีวรที่เรียกว่า ม่านอี้ (manyi) ในภาษาจีนกลาง ดังที่เราเห็นในภาพยนตร์จีน

ได้มีการอนุญาตให้ฆราวาสสวมชุดยาวแบบพระและพาดผ้าม่านอี้ด้วยเช่นกัน เช่น ในเวลารับศีล รับไตรสรณคมน์ หรือเข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆ แต่การตัดเย็บมีความแตกต่างกับของพระ เพราะของพระจะทำเป็นรูปคันนาเช่นเดียวกันกับที่เราเห็นในจีวรปกติ ส่วนม่านอี้ของฆราวาสจะเป็นผ้าเรียบๆ ธรรมเนียมนี้ได้แพร่ไปยังประเทศต่างๆ ที่วัฒนธรรมพุทธศาสนาของจีนแพร่ไปด้วย เช่น เกาหลีและญี่ปุ่น

ส่วนมหายานในบ้านเรานั้น หากเป็นสายของจีนนิกายก็มีชุดเฉพาะที่เรียกกันว่าชุดอ้อ ตัดเย็บด้วยผ้าบางสีขาวสำหรับใช้ในเวลาสวดมนต์หรือรับศีล แต่ไม่ได้พาดผ้าอย่างของจีนแผ่นดินใหญ่หรือไต้หวัน

มีภาพเก่าๆ ของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ท่านก็สวมชุดฆราวาสมุนีแบบจีนนี่แหละครับ น่าสนใจมากว่าท่านนำชุดมาจากไหนและสวมใส่ในโอกาสอะไรบ้าง


อาจารย์เสถียร โพธินันทะ

ส่วนเถรวาทในบ้านเรา แม้จะไม่ได้มีจีวรฆราวาสอย่างฝ่ายมหายาน แต่ก็มีชุดสำหรับถือศีลอุโบสถซึ่งมีลักษณะ “บวชชั่วคราว” อยู่ด้วย เช่น มักนิยมสวมชุดขาวไม่ว่าชายหรือหญิงและมักมีผ้าพาดไหล่อย่างพระ เพียงแต่ไม่ได้กำหนดลงไปว่าต้องใช้ผ้าแบบไหน

มีภาพพระบรมฉายาลักษณ์เก่าของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงศีลอุโบสถ น่าจะถ่ายในราว พ.ศ.2410 สิ่งที่น่าสนใจคือ ทรงฉลองพระองค์สีขาว แต่มีการลดแขนข้างขวาของฉลองพระองค์ลงแล้วพาดเฉวียงบ่า จึงดูคล้ายการสวมผ้าจีวรของพระภิกษุ

การนุ่งห่มแบบนี้ นอกจากในราชสำนักแล้ว ปัจจุบันพราหมณ์สยามยังคงปฏิบัติกันอยู่ หากเป็นพิธีในเทวสถานเมื่อถือพรตกระทำอาตมศุทธิ พระมหาราชครูจะสวมเสื้อขาวตัวยาวในลักษณะนี้ หากเป็นการพระราชพิธีทั่วๆ ไป ก็จะลดไหล่ขวาของครุยที่สวมด้านนอก แล้วเฉวียงบ่าเช่นเดียวกัน ซึ่งอันนี้จะใช้เมื่อ “กระทำพิธีทั้งปวง”

ที่น่าสนใจ ผมเพิ่งทราบว่าชาวบ้านในทิเบตก็มีธรรมเนียมแบบนี้เช่นกัน ปกติชาวทิเบตจะใส่เสื้อหลายชั้น และมีเสื้อคลุมตัวหนาแขนยาวไว้ภายนอกเพราะอากาศหนาวเย็นมาก แต่เมื่อจะไปฟังธรรมหรือไปวัดก็จะลดแขนขวาแล้วพาดไหล่

การลดไหล่ลงข้างหนึ่งเป็นธรรมเนียมการแสดงความเคารพในอินเดียมาแต่โบราณ การลดไหล่เพื่อแสดงความเคารพถูกกล่าวถึงในพระสูตรและพระวินัยของพุทธศาสนา แต่ผมยังหาที่มาจากแหล่งอื่นและความหมายมากกว่านี้ไม่ได้

ในฝ่ายวัชรยาน ฆราวาสจะสวมจีวรและผ้าหลากหลายโดยเฉพาะคุรุอาจารย์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายพระภิกษุมากๆ มักทำให้เกิดความสับสนได้ดังที่เคยกล่าวไว้แล้ว

การนุ่งห่มด้วยผ้าผืนสีขาวดังที่เราเรียกว่า ชีปะขาว อันนี้ก็น่าสนใจครับ เพราะธรรมเนียมนี้มีแทบทุกนิกายของพุทธศาสนา ดังมหาโยคีมิลาเลปะผู้มีชื่อเสียงของทิเบตก็นุ่งห่มแบบนี้


มหาโยคีมิลาเลปะ

การสวมใส่จีวรแม้จะไม่ใช่นักบวช ผมคิดว่าช่วยสร้าง “มโนสำนึก” ต่อตัวเองอีกแบบ คือช่วยบอกว่าเราเปลี่ยนสภาพไปเป็นนักบวชได้ แม้จะชั่วคราวก็ตาม คือเสื้อผ้านี่มันมีผลต่อจิตใจของเราพอสมควรครับ มันเป็นของที่เราบอกต่อตัวเราเองว่า เราคือใคร เสื้อผ้ามันบอกเราว่า ฉันเป็นคนสบายๆ ฉันเข้มงวด ฉันขบถ ฉันอนุรักษ์ ฉันเรียบร้อย ฉันทันสมัย ฯลฯ เสื้อผ้ามันช่วยตอกย้ำหรือสร้างสำนึกพวกนี้ขึ้นในใจเราโดยจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

ฝ่ายวัชรยานจึงมีเสื้อผ้าอาภรณ์พิเศษเฉพาะที่จะสวมในพิธีกรรมบางอย่างทาง “ตันตระ” เช่น การสวมมงกุฎใบไม้ห้าเฉก (ซึ่งพระฝ่ายจีนนิกายและอนัมนิกายก็รับมาใช้) การสวมเสื้อผ้าและเครื่องประดับเหล่านี้ จำลองมาจากอาภรณ์ของพระพุทธะและพระโพธิสัตว์ในระดับสัมโภคกาย

ดังนั้น เสื้อผ้าในพิธีกรรมข้างต้นจึงเป็นเครื่องมืออันหนึ่งในการทำสมาธิ ที่ผู้สวมได้แปรเปลี่ยนตนเองไปสู่สภาวะที่สูงส่งกว่าเดิม เช่น สามารถที่จะมองเห็นตนเองเป็นพระพุทธะซึ่งเป็นสภาวะที่มีอยู่แล้วในตนเองได้

นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้เข้าร่วมพิธีในฐานะศิษย์ สามารถแปรเปลี่ยนสำนึกที่มีต่อคุรุ โดยมองเห็นคุรุเป็นดั่งพระพุทธะและพระโพธิสัตว์ที่ตนกำลังจะรับการอภิเษกหรือรับพร อันนี้เป็นลักษณะเฉพาะของพุทธศาสนาในฝ่ายวัชรยานนะครับ ที่ทำให้เครื่องแต่งกายของนักบวชมีบทบาทในทางศาสนามากกว่าเดิมไปอีกชั้นหนึ่ง

@@@@@@@

ผมคิดว่าเรื่องเสื้อผ้ากับการเปลี่ยนสำนึกนี้ ช่วยสะท้อนให้เห็นความพยายามของคนสองรุ่นในบ้านเรา ฝ่ายหนึ่งพยายามที่จะรักษาเครื่องแบบต่างๆ เช่นชุดนักเรียนเอาไว้ เพราะลึกๆ ก็ทราบว่าเครื่องแบบมันใช้สร้างอุดมการณ์และตอกย้ำอุดมการณ์เหล่านั้นยังไงบ้าง

ส่วนคนอีกรุ่นหนึ่งก็เห็นแล้วว่า เพราะเครื่องแบบมันพยายามจะไปกำหนดหรือสร้างอุดมการณ์อะไรบางอย่างที่มันไปไม่ได้กับโลกสมัยใหม่แล้ว การต่อสู้เรื่องยกเลิกเครื่องแบบจึงเท่ากับปลดแอกสำนึกที่เขาจะมีต่อตัวเองผ่านเครื่องแบบเหล่านั้นด้วย

จีวรพระก็เช่นกันครับ ผ่านกาลเวลามายาวนาน จากผ้าที่ไร้ค่าที่เขาทิ้ง กลายเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศทางโลก ซึ่งจีวรดั้งเดิมพยายามที่จะหลีกหนีมาก่อน เกียรติทางโลกและทางธรรมนี่สวนทางกันครับ อันไหนเป็นเกียรติทางโลกมักไม่ค่อยเป็นเกียรติทางธรรม เช่น ความยากจน ความสละละทิ้งเป็นเกียรติทางธรรม แต่ไม่เป็นเกียรติยศอะไรทางโลก

จีวรก็เช่นกัน เพราะมันเป็นผ้าไร้ค่า ใส่แล้วก็บอกสำนึกว่าเราเป็นใคร ต่ำต้อยแค่ไหน อะไรที่ว่าสวยว่าดีทางโลกเราไม่เอาแล้ว จึงกลายเป็น “ธงชัยของพระอรหันต์” ได้ แต่หากเป็นจีวรผ้าแพรเนื้อดีสีพระราชนิยม แต่งแล้วเหมือนๆ ยังกะเครื่องแบบอย่างที่ชาวโลกเขาว่าสวย ว่าเรียบร้อย จีวรจะยังเป็นธงชัยของพระอรหันต์ไหม ผมก็ไม่รู้


@@@@@@@

สุดท้ายผมอยากจะนำเอาบทสวดมนต์เมื่อสวมจีวรของพุทธศาสนาฝ่ายเซนมาปิดท้าย ท่านพระอาจารย์โดเก็น ปรมาจารย์เซนสายโซโตของญี่ปุ่นเดินทางไปเมืองจีนและเห็นว่า จะพระหรือฆราวาสเขาเคารพจีวรมาก เมื่อจะสวมต้องยกขึ้นมาจบศีรษะและสวดมนต์ทุกครั้ง ท่านจึงนำธรรมเนียมนี้กลับมายังญี่ปุ่น

บทพิจารณาจีวรนี้ แม้จะไม่เหมือนที่ฝ่ายเราสวดเมื่อต้องพิจารณา ก็น่าสนใจและงดงามครับ

“ผ้าจีวรอันยิ่งใหญ่แห่งความหลุดพ้น เป็นนาบุญเหนือกว่ารูปหรือความว่าง ข้าจักสวมใส่คำสอนของพระตถาคต และปฏิญาณจะฉุดช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลาย”




ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 มิถุนายน 2564
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน   : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2564
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/religion/article_434598
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ