ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 'การบรรลุธรรม' มีขั้นตอน อย่างไร.? | วิสัชนาธรรมโดย 'หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต'  (อ่าน 938 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


'การบรรลุธรรม' มีขั้นตอน อย่างไร.? | วิสัชนาธรรมโดย 'หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต'

"การบรรลุธรรมมีขั้นตอนอย่างไร" วิสัชนาธรรมโดย "หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต" วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร คัดมาจากหนังสือหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ตอบปัญหาธรรมะ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒๐, เดือนกันยายน ๒๕๕๓

ปุจฉา :
ในเพศฆราวาส การศึกษาเล่าเรียนจะเริ่มจากประถม - มัธยม - มหาวิทยาลัย - ปริญญาตรี - โท - เอก อยากทราบว่าในเพศนักบวช การบรรลุธรรมตั้งแต่โสดา - สกิทาคา - อนาคา - อรหันต์ มีขึ้นตอนอย่างไร เหมือนกันกับทางโลกไหมครับ

วิสัชนา : ขั้นตอนของพระอริยบุคคล ๔ จำพวก มีดังต่อไปนี้

๑. พระโสดาบันไม่เสียดายอยากล่วงละเมิดศีล ๕ ไม่เสียดายอยากจะถือศาสนาอื่นๆไม่เสียดายอยากเล่นอบายมุขทุกประเภท ไม่เสียดายอยากจะผูกเวรสาปแช่งท่านผู้ใดไม่เสียดายอยากค้าขายเครื่องประหาร มีศาสตราอาวุธ เป็นต้นหรือยาเบื่อเมาที่ทำให้สัตว์ต่างๆ ตาย

๒. ส่วนพระสกิทาคามีนั้น ก็มีความหมายอันเดียวกัน แต่ละเอียดไปกว่าพระโสดาบันบ้าง ให้เข้าใจว่าอยู่ในภูมิเดียวกัน ถ้าจะเทียบใส่ในของหยาบๆ ที่เป็นผู้ทรงครรภ์มีลูกแฝด พระสกิทาคามีต้องออกมาก่อนพระโสดาบันออกมาทีหลังจำเป็นต้องได้เรียกผู้ออกมาจากครรภ์ก่อนว่าพี่ชายหรือพี่หญิง และมีความฉลาดลึกกว่ากันบ้างถ้าจะเทียบในชั้นมัธยมก็หยาบๆ ก็พระสกิทาคามีสอบได้ที่หนึ่งพระโสดาบันได้ที่สอง แต่เป็นชั้นเดียวกัน

๓. พระอนาคามี เว้นจากไม่นึกถึงกามวิตกความตริในทางกาม เพราะราคะขาดไปหมดแล้วและกิเลสพระอนาคามียังมีอยู่ แจกออกเป็นพิเศษ ๙ ข้อโดยใจความก็คือมานะถือตัว ๙ ข้อ
       ๑. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
       ๒. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา
       ๓. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา
       ๔. เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
       ๕. เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา
       ๖. เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา
       ๗. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
       ๘. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา
       ๙. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา

@@@@@@@

นี่แหละกิเลสของพระอนาคามี และยังอยู่อีกคืออวิชชา คือความโง่อันละเอียด ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักความดับทุกข์ ไม่รู้จักทางดำเนินให้ถึงความดับทุกข์ ไม่รู้จักอดีต ไม่รู้จักอนาคตไม่รู้จักทั้งอดีตอนาคตโยงใส่กัน ไม่รู้จักลูกโซ่ที่เกี่ยวข้องกันเป็นสายที่เป็นวงกลมผูกคออยู่แต่ในโซ่นั้น ดังนี้...มีอวิชชา ความโง่คืออวิชชา ๔ ดังกล่าวแล้วนั้นเองเมื่อมีความโง่ใน ๔ ข้อนี้แล้ว ก็เป็นเหตุไม่ให้รู้จักสังขาร

สังขารนั้นแบ่งเป็น ๓
     - ปุญญาภิสัขาร อภิสังขารคือบุญที่สร้างขึ้นด้วยทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น
     - อปุญญาภิสังขาร อภิสังขาร คือบาปอันตรงกันข้ามกับบุญ
     - อเนญชาภิสังขาร อภิสังขาร คือ อเนญชา ได้แก่สมาบัติไปติดสมาบัติจนถือว่าเป็นเราเป็นเขา เป็นสัตว์เป็นบุคคล จนแกะไม่ได้คายไม่ออก

และขออธิบายอีกว่า ในคำว่าบุญ ในทางพระพุทธศาสนาหมายเอาพระอนาคามีเท่านั้นจะเหนือนั้นไปไม่บัญญัติว่าเป็นบุญส่วนในทางตรงกันข้าม คือ บาป หมายเอามหาอเวจีนรกและโลกันตะนรกเท่านั้น

ทีนี้กล่าวถึงวิญญาณจักขุวิญญาณ วิญญาณทางดวงตา โสตวิญญาณ วิญญาณทางหูฆานะวิญญาณ วิญญาณทางจมูก ชิวหาวิญญาณ วิญญาณทางลิ้นกายวิญญาณ วิญญาณทางกาย มโนวิญญาณ วิญญาณทางใจเมื่อไม่รู้เท่าวิญญาณทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นวิญญาณปฏิภพปฏิสนธิ

ทีนี้กล่าวถึงนามรูปต่อไป นามัง แปลว่าชื่อมันมีเวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ เป็นต้นส่วนรูปหมายเอาดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันเป็นกายเรียกว่า รูป

ส่วนอายตนะมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นต้น ที่เรียกว่า อายตนะภายใน ส่วนอายตนะภายนอก มี รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ที่มาสัมผัสกับอายตนะภายในให้ปรากฏขึ้น
    - ถ้าเป็นสิ่งที่ชอบใจก็เกิดเป็น สุขเวทนา
    - ถ้าเป็นสิ่งที่กลางๆ ไม่รักไม่ชังก็เป็น อุเบกขาเวทนา
    - ถ้าเป็นสิ่งที่รังเกียจก็เป็น ทุกขเวทนา
จะเรียกว่าเวทนาทั้ง ๓ ก็ได้แต่เวทนาทั้ง ๓ นี้แหละถ้าเป็นเวทนาสุขก็จัดเป็นกามภพที่เรียกว่า กามตัณหาถ้ากำหนดไว้ก็เรียกว่า ภวตัณหา ถ้าไม่ชอบก็เป็น วิภวตัณหา


@@@@@@@

เมื่อเกิดเป็นตัณหาทั้งหลายเหล่านี้แล้วสิ่งที่ชอบก็เป็น กามุปาทาน มีทิฎฐิ และความเห็นผิดก็เป็น ทิฏฐุปาทาน ถ้าสงสัยลูบคลำก็เป็นสีลัพพัตตุปาทาน ถ้าถือมั่นว่าเรา ว่าเขา ว่าสัตว์ ว่าบุคคลก็เป็น อัตตวาทุปาทานแล้วก็กลายเป็นภพ เป็น รูปภพ เป็น อรูปภพ

สิ่งที่ไม่ชอบใจก็เป็น วิภวภพแล้วก็เกิดเป็นโยนิ ๔ ที่เรียกว่า ชาติที่เกิดในครรภ์ ในไข่ ในเถ้าในไคล และเกิดผุดขึ้นเหมือนเทวดาและสัตว์นรกส่วนเกิดในครรภ์เราก็รู้ดีอยู่แล้ว พวกเกิดในฟองไข่เราก็รู้ดีอยู่แล้วพวกที่เกิดในเถ้าไคลของหมักหมมมีพวกเลือดขาวเป็นต้น เราก็รู้ดีอยู่แล้ว

ที่เรียกว่าชาติ ความเกิด มี ๔ ประเภท เมื่อชาติ ความเกิดมีแล้วความแก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นเบี้ยบำเหน็จบำนาญไปตลอดส่วนความปรารถนาไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์หัวใจอีกสังสารวัฏก็วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายถ้าตามแต่ปลายไปหาต้นก็ไปเจออวิชชาดังกล่าวแล้วนั้น (คือความโง่)ถ้าตามอวิชชาลงมาเป็นลำดับ ก็มาเป็นวงกลมจรดกันกับ โทมนัส อุปายาส

จะอย่างไรก็ตาม เรารู้ดีอยู่แล้วว่าที่กล่าวมานี้เป็นบ่วงลูกโซ่ที่คล้องคอของสัตว์ทั้งหลาย เป็นบ่วงอยู่ซึ่งตัดไม่ได้แต่ถ้าหากว่าตัดอวิชชาความโง่แล้วก็ดีหรือตัดตอนใดตอนหนึ่งที่เป็นบ่วงวงกลมอยู่นั้นก็ขาดออกจากวงกลมไปหมด ก็เป็นอันว่าหลุดจากบ่วงไปแล้ว

ส่วนพระอรหันต์ ท่านรู้เท่าถึงการณ์สิ่งเหล่านี้ไปแล้วรู้เท่าด้วย ปฏิบัติเท่าด้วย ตัดขาดเท่าด้วย แห่งใดแห่งหนึ่งสายโซ่ก็ยึดออก ไม่มีวงกลม ก็เป็นอันว่าหลุดพ้นไปหมด

ส่วนทางโลกจะเรียนถึงปริญญาไหนก็ตาม เพราะเป็นเพียงความจำเท่านั้นถ้ากิเลส โลภ โกรธ หลง ไม่เบาลง มันก็ใช้ไม่ได้ฝ่ายทางพระศาสนาเมื่อเห็นชัดในพระโสดาบันแล้วส่วนธรรมเบื้องสูงก็ต้องเปิดประตูไปเองเร็วหรือช้าก็ต้องขึ้นอยู่กับสติปัญญาของแต่ละคน และความเพียรที่แยบคายด้วย

แต่ให้เข้าใจว่า เมื่อถึงโสดาบันแล้ว เป็นผู้มองเห็นฝั่งพระนิพพานคือ ฝั่งที่ไม่มีโลภ ไม่โกรธ ไม่หลงด้วยพระปัญญาไม่ใช่ตานอกตาเนื้อ เหมือนพวกโลกีย์เสียแล้ว พวกโลกีย์นั้นมันหลายบางทีบางทีขึ้นหน้าก็มี บางทีถอยหลังก็มี บางทีปลีกไปทางอื่นเสีย

@@@@@@@

ยกอุทาหรณ์ เราจะเรียนถึงเปรียญ ๙ ประโยคก็ตาม แต่ถ้ากิเลสไม่ลดละ ทุกข์ทั้งหลายก็ไม่ลดละออกจากใจเหมือนกันให้เราเข้าใจว่าครั้งพุทธกาลยังไม่ได้บัญญัติปาราชิก ๔ หรือวินัยข้อใดทั้งนั้น เมื่อผู้ฟังเข้าใจความหมายทั้งการฟัง และการละการถอนกิเลสอยู่ในขณะฟัง ไม่มีอันใดก่อนอันใดหลังก็ถึงพระโสดาบันในขณะนั้น แล้วก็เตลิดจนถึงพระอรหันต์ในขณะจิตเดียวนั้นแผล็บเดียวนั้น เหมือนเราเปิดสวิตช์ไฟฟ้า การเปิดกับการสว่างไม่อยู่ห่างกันพอขณะใจ

ส่วนผู้ที่ได้พระโสดาบันไม่เตลิดถึงพระอรหันต์ในขณะนั้นจะใส่ชื่อลือนามว่าเป็นพระโสดาบันตลอดชาติไม่ได้ เช่น พระอานนท์ เป็นต้น ได้พระโสดาบันแต่นานแล้ว เมื่อพุทธองค์เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว จึงได้พระอรหันต์ในวันทำสังคายนาครั้งที่ ๑ นั้นจะบัญญัติว่าเป็นพระโสดาบันเอกพีชีก็ไม่ได้ เพราะสามารถเป็นอรหันต์ในชาตินั้นอยู่

เช่น พระสุทโธทนะ ในชาตินั้นเมื่อได้พระโสดาบัน แล้วก็ยังอยู่หลายปีจึงได้พระอนาคามีได้พระอรหันต์ในเวลาจวนจะสิ้นพระชนม์หรือพร้อมกับสิ้นพระชนม์ดังนี้ จะเรียกว่าเป็นภูมิพระอนาคามีก็ไม่ได้เพราะภูมิพระอรหันต์สามารถสำเร็จในชาติปัจจุบันอยู่

เทียบทางฆราวาสกับทางบรรพชิตก็เทียบได้เหมือนกันฆราวาสที่ถึงโลกุตร นับแต่พระโสดาบันเป็นต้น บางท่านออกจากนั้นแล้ว ก็ไปยังอยู่สกิทาคา อนาคา ก็มีอยู่บางท่านก็ไม่ค้างอยู่ เตลิดไปถึงพระอรหันต์

ส่วนบรรพชิตในข้อนี้ก็คงหมายเป็นอันเดียวกันแต่พระเณรที่เป็นโลกีย์ก็คงหมายเหมือนฆราวาสเหมือนกัน แต่ว่ามีเพศต่างกัน ส่วนกุศลผลบุญ ถ้ามีศีลพอเป็นไปได้ก็ต่างจากคฤหัสถ์บ้าง แต่นี่หมายความว่า คฤหัสถ์ที่ไม่มีศีล ส่วนคฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันนั้น เขามีศีล ๕ ไม่ด่างพร้อยแล้ว แม้พระภิกษุสามเณรเป็นปุถุชนคนหนาอยู่ก็สู้พระโสดาบันที่รักษาศีล ๕ บริสุทธิ์อยู่บ้านไม่ได้





ขอบคุณ : เว็บลานธรรมจักร
ขอบคุณ : https://www.naewna.com/likesara/580200
วันจันทร์ ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 19.30 น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 15, 2021, 06:46:19 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ