ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 'การปล่อยวาง' กับ 'การถือสัจจะ' จะปฏิบัติไปด้วยกัน ได้หรือไม่.?  (อ่าน 1075 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



'การปล่อยวาง' กับ 'การถือสัจจะ' จะปฏิบัติไปด้วยกัน ได้หรือไม่.? : วิสัชนาธรรมโดย 'หลวงปู่หล้า'

"การปล่อยวาง กับ การถือสัจจะ จะปฏิบัติไปด้วยกันได้หรือไม่" วิสัชนาธรรมโดย หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร คัดมาจาก...หนังสือ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ตอบปัญหาธรรมะ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒๐, เดือนกันยายน ๒๕๕๓

@@@@@@@

ปุจฉา : ดิฉันได้ยินว่าทำบุญอื่นๆ ผลจะได้รับเมื่อไรไม่แน่ แต่ถ้าภาวนาแล้วทำเมื่อไรได้รับผลเมื่อนั้น ปัจจุบันดิฉันพยายามปฏิบัติทั้งทาน ศีล ภาวนาทุกวัน ทำไมจึงทำให้มีเรื่องที่ทำให้ท้อแท้ผิดหวังอยู่รอบข้างเสมอๆ ดิฉันสงสัยเกี่ยวกับการตั้งสัจจะ ถ้าเราตั้งสัจจะจะทำอะไรต้องทำให้ได้ แต่บางครั้งก็กล่าวกันว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น ให้พยายามปล่อยพยายามวางเสีย ดูสองอย่างมันขัดๆ กันในตัว

ถ้าคนสองคนเคยให้สัจจะต่อกันว่า จะอยู่ด้วยกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มาภายหลังคนหนึ่งจะเปลี่ยนคำพูดโดยอ้างการปล่อยวาง อีกคนหนึ่งควรถือสัจจะ ทั้งสองคนไม่ทราบว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะถูกต้องตามหลักการในศาสนา ทั้งสองอย่างจะปฏิบัติไปด้วยกันได้หรือไม่

วิสัชนา : เป็นคำถามในธรรมะสลับซับซ้อน แต่ก็เข้าใจอยู่การทำบุญถ้าขาดการให้ทาน ความตระหนี่เหนียวแน่นเราก็จัดเข้า ทำให้เป็นกังวลในสิ่งของมาก และถ้ามีชาติมีภพในอนาคต ก็เป็นคนจนในทางวัตถุสิ่งของ ถ้าขาดศีลก็ทำให้เราเป็นคนโหดร้าย ขาดเมตตาในชั้นหยาบๆ ถ้าหากมีชาติมีภพในอนาคตต่อไปก็เป็นคนอายุสั้น มรณะง่าย ถ้าขาดภาวนาเล่า ทั้งชาตินี้และชาติหน้าก็มักจะหลง ไม่รู้ตามเป็นจริงของสังขารธรรม และก็ไม่รู้ตามเป็นจริงวิสังขารธรรมอีก เขาชักชวนไปเชื่อทางไหนก็มักจะเป็นผู้ไร้เหตุผล ให้เขาดึงจมูกไปได้ในทางผิดต่างๆ

ถ้าจะว่าให้ละเอียดแล้ว ทาน ศีล ภาวนา เห็นพระคุณในปัจจุบันชาติเรานี้เอง มีผิวพรรณวรรณะผ่องใสและไม่ครั่นคร้ามในสังคมอีกด้วย


@@@@@@@

ส่วนบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สมประสงค์นั้น หรือหากว่ามีเขามาเบียดเบียนในทางตรงและทางอ้อม มันเป็นกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อนก็มี เมื่อมันให้ผลยังไม่หมด มันก็ต้องให้ไปตามที่เราเป็นหนี้เป็นสินอยู่ บางกรณีเขาเบียดเบียนเราเล็กน้อยหรือใหญ่โต ทั้งทางตรงและทางอ้อม มันเป็นกรรมที่เขามาก่อใหม่ก็มี ที่เราจะมีอุบายเว้นก็มีหนทางเดียวคือ ไม่เอาจิตใจไปผูกเวร คือไม่แก้แค้นและสาปแช่งด้วยวิธีใดๆ ทั้งสิ้น ให้นึกในใจว่าจะเป็นผลของกรรมเก่าหรือผลของกรรมใหม่ก็ตาม ขอให้แล้วกันไปเสียในชาตินี้ ข้าพเจ้าจะไม่จองเวรท่านผู้ใดในไตรโลกาเลย ระงับเวรด้วยการไม่จองเวร แต่ถ้าจองเวรแล้ว เวรก็ไม่ระงับ

มีข้อควรคิดอยู่อีกเป็นพิเศษที่จะทำให้จิตสูงขึ้นด้วยด้านปัญญาอันสุดๆ คือมีความเห็นว่าถ้าในโลกนี้อะไรๆ ก็จุใจตามความประสงค์หมด การเบื่อหน่ายคลายเมาและหลุดพ้นในโลกทั้งปวงมันก็ไม่มีเลย พระอรหันต์ก็ไม่มีเลยในโลกนี้และโลกหน้า นี้มันตรงกันข้ามไปเสียแล้ว มันไม่สมประสงค์ในโลกทั้งปวงนั่นเอง จึงมีประตูเบื่อหน่ายคลายหลุดพ้นในความเข้าใจผิดของตน จิตใจจึงไม่กังวลในโลกทั้งปวง หายห่วงหายสงสัย เพราะพระปัญญารู้แจ้งชัด ตัวหลงๆ ถูกหมัดของปัญญาทั้งเข่าทั้งศอกนับสิบไม่ลุกอีกเสียด้วย จึงสามารถข้ามทะเลหลงได้

อุปสรรคทั้งปวงในโลกกลายเป็นยาวิเศษ เป็นเหตุให้นักปราชญ์เบื่อหน่ายคลายเมาในวัฏสงสาร ฉะนั้นพวกเราจึงไม่ควรประมาท ทาน ศีล ภาวนา เพราะสามารถทำใจให้สูงขึ้นทวีคูณไม่อยู่ในระดับเก่า




ขอบคุณ : เว็บลานธรรมจักร
ขอบาคุณ : https://www.naewna.com/likesara/581077
วันพฤหัสบดี ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 19.20 น.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ