ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 'จะต้องปฏิบัติเช่นไร จึงจะได้เกิดมาในภพภูมิของศาสนาพุทธ' : หลวงปู่หล้า เขมปัตโต  (อ่าน 982 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



'จะต้องปฏิบัติเช่นไร จึงจะได้เกิดมาในภพภูมิของศาสนาพุทธ' : หลวงปู่หล้า เขมปัตโต

"จะต้องปฏิบัติเช่นไร จึงจะได้เกิดมาในภพภูมิของศาสนาพุทธ" หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ตอบปัญหาธรรมะ คัดมาจากหนังสือ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ตอบปัญหาธรรมะ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒๐, เดือนกันยายน ๒๕๕๓

ปุจฉา : หลวงปู่คะดิฉันจะต้องปฏิบัติเช่นไรคะ จึงจะได้เกิดมาในภพภูมิของศาสนาพุทธ เกิดมาในภพภูมิของมนุษย์อีก แต่ดิฉันก็คิดว่า การไม่ขอเกิดมาอีกนะดีเยี่ยมที่สุดนะเจ้าคะ แต่บุญบารมีของดิฉันจะมีมากพอที่จะทำให้ดิฉันไม่ต้องมาเกิดอีกหรือไม่ แต่ดิฉันจะเร่งเพียรพยายามเร่งสะสมบุญนะเจ้าคะ เพราะถึงอย่างไรในภพนี้ดิฉันก็ได้เกิดมาในภพภูมิของมนุษย์แล้ว ก็อย่าได้เสียชาติเกิด ต้องเร่งสะสมบุญไปเรื่อยๆ เร่งทำความเพียรเจริญสติตลอดเวลา

เวลาที่ดิฉันต้องออกไปธุรกิจ หรือต้องขึ้นรถลงเรือ หรือไปไหนๆ ดิฉันมักจะคิดว่า ถ้าดิฉันเกิดตายไปตอนนี้ ดิฉันได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว ดิฉันก็เลยเกิดความรู้สึกว่า เออ...นี่เรายังไม่ได้ทำอะไรกับเขาเท่าไหร่เลย ก็จะต้องมาตายซะแล้ว เพราะความตายเกิดได้ทุกขณะ ดิฉันนึกถึงความตายอย่างนี้ตลอดเวลา จะเรียกว่าดิฉันได้เจริญมรณานุสติ ใช่ไหมเจ้าคะ

@@@@@@@

วิสัชนา : เมื่อหลานๆ เห็นภัยในวัฏสงสารอย่างเต็มที่แล้ว มันก็เป็นผู้มีวาสนาอยู่ในตัว สามารถทำตนให้พ้นทุกข์ในปัจจุบันชาติได้โดยแท้ เพราะคนเราเมื่อเห็นทุกข์เป็นหลักของหัวใจแล้ว นั่นก็คือตัวศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง เมื่อเห็นอยู่เนืองๆ ติดต่ออยู่ไม่ขาดสาย ก็เรียกว่าภาวนาอยู่ไม่ขาดสาย เป็นข้อวัตรของจิตใจที่ชอบด้วย หนักเข้าก็เบื่อหน่ายคลายเมาในวัฎสงสารแบบเย็นๆ รอบคอบ เรียกว่าปัญญาชอบในวิปัสสนา

อนึ่ง บุคคลผู้จะเกิดเป็นมนุษย์อีกติดกันในชาติต่อไป เป็นผู้ถึงไตรสรณคมน์เท่านั้นก็พอแล้ว เพราะโหรเอกพระบรมศาสดาองค์ท่านทายไว้ว่า บุคคลผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว มีคติเป็นสอง ไม่เป็นมนุษย์ก็ต้องเทวดา มันเป็นของไม่ยากของผู้ทรงศรัทธา แต่ก็ตรงกันข้ามกลายเป็นของยากของผู้ที่ไม่ศรัทธา ความดีคนดีทำได้ง่าย ความชั่วคนดีทำได้ยาก ความชั่วคนชั่วทำได้ง่าย ความดีคนชั่วทำได้ยาก

สิ่งเหล่านี้เป็นของจริงมาแต่ดึกดำบรรพ์ ไม่พูดอีกก็จริงอีก พูดอยู่ไม่หยุดก็จริงอยู่ไม่หยุด และก็การเกิดในศาสนาพุทธนั้น เมื่อเราถึงไตรสรณคมน์แล้ว มันก็มีพืชไว้แล้ว ถึงแม้มีภพมีชาติอีก มันก็ไปเกิดในมนุษย์พุทธศาสนานั่นเองไม่ต้องสงสัยเลยนา

การเกิดเป็นเทวดาเทวบุตรและพรหมมีทุกข์น้อยกว่ามนุษย์ก็จริงอยู่แล้ว แต่เมื่อมันอยู่ใต้อำนาจแห่งความไม่เที่ยงแล้ว ก็จัดว่าเป็นทุกข์เสมอกันในด้านปรมัตถ์ และก็มรรคผลนิพพานก็มีในชั้นเทวโลก และพรหมโลกเหมือนกัน บางท่านก็ภาวนาติดต่ออยู่ในภพนั้นๆ สร้างบารมีอยู่ในภพนั้นๆ ก็เป็นพระอริยบุคคลได้เหมือนมนุษย์เรานี่เอง มันก็ล่าช้าอยู่แต่สัตว์เดรัจฉาน เปรตทุกจำพวก และสัตว์นรกทุกจำพวกเท่านั้น


@@@@@@@

“จะอย่างไรก็ตาม เราไม่ตีตนตายก่อนไข้ เราจะไม่หวังภพต่อไปในอนาคตอีก เราจองขาดผูกขาดเพื่อพ้นทุกข์ทั้งปวงในปัจจุบันชาติ เพื่อจะตัดปัญหาความมุ่งหวังหลายทาง ให้เหลือแต่ทางเดียว ปัญหามันจะน้อยลง ความประสงค์ก็ไม่มีมาก แม้เราจะภาวนาเห็นตัวกองทุกข์ขณะจิตเดียว หรือพุทโธคำเดียว ก็มีคุณค่ามากกว่าที่ปรารถนาในภพต่อไป การปรารถนาในภพต่อๆ ไปตั้งล้านๆ ขณะจิต ก็ไม่เท่าขณะจิตเดียวที่หวังพ้นทุกข์ในปัจจุบันชาติ”

การจองคิว การสมาทาน เจตนา ความประสงค์ ความต้องการ และความอธิษฐาน ทั้งหลายเหล่านี้เรียกชื่อต่างกัน แต่ก็มีความหมายอันเดียวกันแห่งรสชาติ ฉะนั้น ความต้องการพ้นทุกข์ในปัจจุบันชาติ เป็นพระสติพระปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาอีกด้วย มีพลังมากแต่เราบัญญัติไม่เป็น ก็กล่าวตู่ตนว่าศีลไม่มีในเจตนา

ที่แท้นั้น เจตนาหัง ภิกขเว สีลัง วทามิ เจตนาไปทางดีนั่นเอง เป็นตัวศีล สมาธิ ปัญญา กลมกลืนกันในขณะเดียว เหมือนเชือกสามเกลียวที่เราเรียกว่า ปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมนั่นเอง ไม่ใช่อื่นไกลเลย จะบัญญัติหรือไม่บัญญัติก็ไม่เป็นปัญหา ขอให้ภาวนาติดต่ออยู่ไม่ขาดสาย ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นเป้าอันเดียวกัน พร้อมกับลมหายใจออก-เข้า นิวรณ์ทั้งหลายมันตั้งอยู่ไม่ได้ดอก

"ผู้รักใคร่ภาวนาอยู่เป็นเนืองนิตย์ เรียกว่าผู้นั้นบารมีแก่กล้าแล้ว ท่านผู้ใดขี้เกียจก็ให้ทราบเถิดว่าบารมียังอ่อนเหลวไหลมากฉะนั้นจึงไม่ควรนั่งควรนอนให้บารมีแก่กล้า" คำว่านั่งนอน นอนทั้งกายทั้งใจด้วย นั่งก็เหมือนกันยืนเดินนั่งนอนเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถเฉยๆแต่ด้านจิตใจและศรัทธาไม่เปลี่ยนออกจากพุทธ ธรรม สงฆ์ ไปไหนเลยจะทำท่าไม่ทำท่าก็ไม่เป็นปัญหาคล้ายกับเกลือจะอยู่ถ้วย หรืออยู่ชาม หรืออยู่ที่ไหนก็ตามก็รักษาความเค็มของตนอยู่ไว้อย่างนั้นจะอย่างไรก็ตาม ขอให้แบ่งเวลาภาวนาอย่าให้เสียวันเสียคืนจิตใจหากจะสูงขึ้นเองไม่ต้องบ่นหา จะชนะความหลงของตนแน่แท้




ขอบคุณ : เว็บลานธรรมจักร
ขอบคุณ : https://www.naewna.com/likesara/581507
วันเสาร์ ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 19.37 น.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ