ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: นั่งสมาธิ นั่งวิปัสสนา และนั่งกรรมฐาน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร.?  (อ่าน 938 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



นั่งสมาธิ นั่งวิปัสสนา และนั่งกรรมฐาน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร.? | วิสัชนาธรรมโดย หลวงปู่หล้า

"นั่งสมาธิ นั่งวิปัสสนา และนั่งกรรมฐาน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร...?" วิสัชนาธรรมโดย "หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต" วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร คัดมาจากหนังสือ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ตอบปัญหาธรรมะ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒๐, เดือนกันยายน ๒๕๕๓

ปุจฉา : นั่งสมาธิ นั่งวิปัสสนา และนั่งกรรมฐาน เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรหรือไม่ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราปฏิบัติได้หรือทำสำเร็จแล้ว และผลของการปฏิบัติทั้ง ๓ อย่างดังกล่าวเป็นอย่างไร

วิสัชนา : นั่งสมาธิ นั่งวิปัสสนา และนั่งกรรมฐาน ก็มีความหมายอันเดียวกัน คำว่า สมาธิ แปลว่า ตั้งมั่นในการเพ่งอยู่ที่กรรมฐานที่เราสมมติตั้งไว้ คำว่า นั่งวิปัสสนา ก็หมายความว่า เรามีปัญญารอบคอบในกรรมฐานที่ตั้งไว้นั่นเอง และนั่งกรรมฐาน เล่า คำว่า “ฐาน” ก็แปลว่า ฐานความตั้งมั่นในสมาธิ ฐานความตั้งมั่นในปัญญานั่นเอง แต่ใส่ชื่อลือนามหลายอย่างเฉยๆ



คำว่า “กรรมฐาน” เอาตัว ร. ๒ ตัว, เอาตัว ม.ไม้หันอากาศก็ถูก (ภาษาบาลี หรือมคธ) แต่เอาภาษาไทยใช้ตัว ร. ๒ ตัว ก็มีคำถามต่อไปว่า เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราปฏิบัติได้หรือทำให้สำเร็จแล้ว เรารู้ได้อย่างนี้คือ สิ่งที่มีโลภ โกรธ หลงจัดมาแต่เดิม ถึงแม้มันมีอยู่มันก็เบากว่าแต่ก่อน สมมติว่าแต่ก่อนเราฆ่าสัตว์ได้อย่างไม่อาลัย แล้วเราไม่ทำเหมือนแต่ก่อนเสียแล้ว เพราะนึกละอายตนเอง

ข้อต่อไปอีก เราไม่เสียดายอยากล่วงละเมิดเสียเลย เพราะเห็นดิ่งลงไปแล้วว่ามันเป็นเวรสนองเวรจริงๆ ส่วนจะมาช้าหรือเร็วตามส่วนนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับผลของกรรมนั่นเอง เราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ไม่มีปัญหา ผลของกรรมต้องตามมาไม่ต้องสงสัย เราเชื่อดิ่งลงอย่างนี้แล้ว เราจึงไม่เสียดายอยากละเมิด นี้เรียกว่าเราสำเร็จในตอนนี้แล้ว แม้สิ่งอื่นๆ ก็โดยนัยเดียวกัน ที่ปรารภมานี้ก็พอที่จะเข้าใจได้บ้างแล้ว จะอย่างไรก็ตามธรรมะของพระพุทธศาสนา เราก็ต้องปฏิบัติเป็นคู่กับอารมณ์ของเรา ดีกว่าปล่อยอารมณ์ไปทางอื่น

ยกอุทาหรณ์อีก จะสะอาดหรือไม่สะอาดขาดตัวก็ตามแต่ก็ต้องได้อาบน้ำอยู่นั่นเอง ถ้าไม่อาบน้ำก็จะยิ่งไปใหญ่ เข้าสังคมใดๆ ไม่ได้ ฉันใดก็ดีถ้าไม่ประพฤติศีลธรรมแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะมาล้างหัวใจให้สะอาดได้ เดี๋ยวก็จะฆ่าทั้งบิดามารดาด้วย ตลอดทั้งท่านผู้มีพระคุณ เช่น พระอรหันต์เป็นต้น และก็ให้เข้าใจว่า ความสำเร็จอยู่กับความพยายาม ไม่ว่าจะทางดีทางชั่ว แต่ให้ผลต่างกันเท่านั้น ความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส “เพียรละความชั่ว ประพฤติความดี” เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย





ขอบคุณ : เว็บลานธรรมจักร
ขอบคุณ : https://www.naewna.com/likesara/583939
วันอังคาร ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 19.26 น.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ