ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง" มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาฯ | ปฏิจจสมุปปันนธรรม  (อ่าน 2476 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0





สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา

คำว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา” ในถ้อยคำนี้ ความหมายมิได้อยู่แค่คำแปลตามตัวอักษร (“ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ”) แต่ความหมาย มีความลึกซึ้งไปกว่านั้น คือ

คำว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา” ในถ้อยคำนี้ มีความหมายที่ลึกซึ่งมากกว่าคำแปลแบบนี้ คือ

คำว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา” นั้น แท้จริงแล้วความเกิดขึ้นของสิ่งนั้น (หรือธรรมนั้น) มิได้เกิดขึ้นลอยๆ อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจกัน แต่มีธรรมที่เป็นเหตุให้ธรรมนั้นๆ เกิดขึ้น, คำๆนี้ พระพุทธองค์กำลังทรงแสดงถึงผลธรรม, หรือปฏิจจสมุปปันนธรรม คือธรรมในฝ่ายที่เป็นผล ว่าตามหลักของปฏิจจสมุปบาทแล้ว ธรรมที่ว่านี้ ก็ได้แก่ สังขาร…จนถึง ชรา มรณะโสกะ….อุปายาส ฯ

อธิบายว่า “สังขาร จะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัยให้, หรือเพราะ อวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด, เพราะมีอวิชชา, จึงมีสังขาร…/ และเพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ…ไปเรื่อยๆ จนถึง ชาติ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดชรา-มรณะ โสกะ…อุปายาส” 



คำว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา” นั้น มันมิได้เกิดขึ้นเองลอยๆ แต่มันมีเหตุให้เกิดขึ้น นี่คือความหมายที่แฝงอยู่ในพระดำรัสนี้

และในขณะเดียวกัน คำว่า “สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา” ก็มิได้หมายความว่า สิ่งนั้น ๆ มันดับไปเอง โดยไม่มีอิงเหตุ-ปัจจัย คือมันจะดับไปได้ ก็เพราะเหตุมันดับ เหมือนไฟจะดับ ก็เพราะมีเหตุให้มันดับ เช่น น้ำมันหมด เชื้อไฟหมด เป็นต้น เช่นเดียวกัน สังขารดับ ก็เพราะเหตุคือ อวิชชาดับ, วิญญาณดับ ก็เพราะเหตุคือสังขารดับ ชรา-มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ดับ ก็เพราะชาติดับ ดังนี้

สรุปว่า ตัวธรรมที่เป็นเหตุ คือ ปัจจัยธรรม, หรือปฏิจจสมุปปาทธรรม แฝงอยู่กับพระดำรัสที่ว่า “สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา”

เป็นอันว่า ในพระดำรัสที่ว่านี้ คือ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา” นั้น เป็นการแสดงหลักของปฏิจจสมุปบาท อันบุคคลผู้ที่จะได้เป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคล ท่านได้บรรลุ


@@@@@@@

ในข้อมูลส่วนนี้ ควรดูความหมายของ คาถาที่ท่านพระอัสสชิ กล่าวแก่อุปติสสปริพพาชก ที่ว่า

     เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา   เตสํ เหตุํ ตถาคโต (อาห)
     เตสญฺจ โย นิโรโธ จ    เอวํวาที มหาสมโณ

    (คำแปล) ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้า ตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้น, และทรงตรัสถึงธรรมที่เป็นเหตุแห่งความดับของธรรมเหล่านั้นด้วย, พระมหาสมณะ มีปกติตรัสอย่างนี้

ความหมายแห่งพระคาถานี้ ก็เป็นการแสดงหลักของปฏิจจสมุปบาทโดยชัดแจ้ง ซึ่งอุปติสสปริพพาชก ต่อมาก็คือท่านพระสารีบุตร สามารถบรรลุเป็นพระโสดาบันได้ด้วยบาทคาถาแรกเท่านั้น ฯ

อีกประการหนึ่ง “ความเกิดขึ้นแห่งธรรมทั้งหลาย ตามนัยของพุทธศาสนาแล้ว ยังมีหลายนัยะ เช่น ธรรมทั้งหลายที่เป็นสังขตธรรม มีปัจจัยให้เกิด ๔ อย่าง คือ กรรม, จิต, อุตุ, อาหาร” ซึ่งมีรายละเอียดมากพอสมควร จะไม่ขอกล่าวไว้ในที่นี้





ขอขอบคุณ :-
บทความของ : VeeZa , ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๑
web : dhamma.serichon.us/2018/06/25/สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเ/
Posted date : 25 มิถุนายน 2018 , By admin.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ