ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อันตรธาน ๕ | ความเสื่อมสูญสิ้นไป ของ พุทธศาสนา เป็นไปตามลำดับ  (อ่าน 2740 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



อันตรธาน ๕ | ความเสื่อมสูญสิ้นไป ของ พุทธศาสนา เป็นไปตามลำดับ

คำว่า “อันตรธาน” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ บอกไว้ว่า “อันตรธาน : (คำกริยา) สูญหายไป, ลับไป. (ป., ส.).”

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อนฺตรธาน” ว่า disappearance (การหายหรือสูญหายไป)

คำว่า “อันตรธาน” มีความหมายเฉพาะอย่างหนึ่ง คือหมายถึง ความเสื่อมสูญสิ้นไปแห่งพระศาสนา ในคัมภีร์ท่านแสดงไว้ว่ามี ๕ อย่าง เรียงตามลำดับก่อน-หลังแห่งการเสื่อมสูญ คือ

@@@@@@@


๑. อธิคมอันตรธาน = การเสื่อมสูญไปแห่งการบรรลุมรรคผล คือจะไม่มีใครได้บรรลุมรรคผลอันเกิดจากการปฏิบัติธรรม

พระปฐมสมโพธิกถาบรรยายว่า :-

บุคคลที่ได้สำเร็จแก่พระโสดาปัตติผลนั้น ถ้ายังมีอยู่ไม่มากมาตรว่าแต่สักผู้เดียว ก็จัดได้ชื่อว่าอธิคมธรรมยังมิได้อันตรธาน กาลใดหาพระโสดาบันบุคคลมิได้ ก็ได้ชื่อว่าอธิคมธรรมอันตรธานในกาลนั้น

๒. ปฏิปัตติอันตรธาน = การเสื่อมสูญไปแห่งปฏิบัติธรรม คือไม่มีใครเอาพระธรรมวินัยไปปฏิบัติ ทั้งการอบรมตนให้มีคุณธรรม และการอบรมจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลส

พระปฐมสมโพธิกถาบรรยายว่า :-

คจฺฉนฺเต กาเล ครั้นกาลล่วงไป ภิกษุทั้งหลายมิได้อาลัยล่วงอาบัติอันใหญ่ คือ อาบัติปาจิตตีย์ ถุลลัจจัย ต่อนานไปก็สำรวมรักษาไว้แต่ครุกาบัติคือ สังฆาทิเสสแลปาราชิก

ปาราชิกานิ รกฺขนฺตานํ เมื่อภิกษุทั้งหลายยังทรงไว้ซึ่งปาราชิกสิกขาบทยังมีอยู่ตราบใด ปฏิบัติก็จัดได้ชื่อว่ายังไม่อันตรธานในกาลนั้น กาลใดหาภิกษุซึ่งจะสำรวมรักษาปาราชิกสิกขาบทมิได้แล้ว

อนฺตรหิตา นาม จัดได้ชื่อว่าปฏิบัติธรรมอันตรธาน

@@@@@@@

๓. ปริยัตติอันตรธาน = การเสื่อมสูญไปแห่งปริยัติ คือไม่มีใครศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย

พระปฐมสมโพธิกถาบรรยายว่า :-

ยทา สทฺโธ ราชา สมเด็จบรมกษัตริย์ทรงพระราชศรัทธา พระองค์ใส่ลงซึ่งทรัพย์หนึ่งพันในผอบทอง ยังคนให้ยกขึ้นหลังราชคชาธารข้างพระที่นั่งแล้ว ให้เอากลองชัยเภรีไปตีป่าวทั่วขอบเขตขัณฑสีมาเมืองว่า บุคคลผู้ใดรู้คาถามาตรว่า ๔ บาทแล้ว จงมาเอาทรัพย์หนึ่งพัน เมื่อราชบุรุษทั้งหลายนำเอากลองชัยไปเที่ยวตีป่าวถ้วนถึง ๓ วาระแล้ว มิได้เห็นผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งอวดอ้างกล่าวว่า เรารู้คาถาประมาณ ๔ บาทแต่เท่านี้หามิได้ ราชบุรุษทั้งหลายก็นำทรัพย์กลับคืนเข้าสู่ราชคลังหลวงแล้วกาลใด

ตทา ปริยตฺติ อนฺตรหิตา นาม ในกาลนั้นและพระปริยัติก็จัดได้ชื่อว่าอันตรธานสาบสูญสิ้นหาเศษมิได้

๔. ลิงคอันตรธาน = การเสื่อมสูญไปแห่งเพศสมณะ คือผู้ทรงเพศสมณะก็สลัดผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ทิ้งเสีย และไม่มีใครบวชในพระพุทธศาสนาอีกต่อไป

พระปฐมสมโพธิกถาบรรยายว่า :-

คจฺฉนฺเต กาเล ครั้นนานไปพระภิกษุทั้งหลายจะมีความดำริว่า เราจะมาประโยชน์อันใดด้วยผ้าย้อมฝาด ดำริฉะนี้แล้วก็ปลดเปลื้องเครื่องสมณบริขารคือไตรจีวรจากกาย จะผูกพันแต่ข้อหัตถ์บ้าง ที่คอบ้าง จะกระทำกสิกรรมแลพาณิชยกรรมเลี้ยงบุตรแลภรรยา

คจฺฉนฺเต กาเล ครั้นกาลเมื่อตนไปกระทำการงานอยู่ในอรัญราวป่าก็จะมีความดำริว่า เราจะประโยชน์อันใดด้วยผ้ากาสาวพัสตร์อันผูกพันในมือแลคอ คิดฉะนี้แล้วก็จะพากันนำผ้ากาสาวพัสตร์ทิ้งไว้ในอรัญรุกขประเทศ

เอตสฺมึ กาเล ลิงคํ อนฺตรหิตํ นาม ในกาลนั้นสมณเพศก็จัดได้ชื่อว่าเสื่อมสูญหาเศษมิได้

@@@@@@@

๕. ธาตุอันตรธาน = การเสื่อมสูญไปแห่งพระธาตุ ท่านบรรยายว่า เมื่อถึงเวลานั้น พระบรมสารีริกธาตุทั้งมวลที่มีอยู่ในโลกจะมารวมกัน ณ โพธิมณฑล แล้วเกิดเตโชธาตุเผาผลาญสูญสิ้นไปมิได้เหลือเศษ เป็นอันว่าพระพุทธศาสนาอันตรธานไปจากโลกอย่างสิ้นเชิง

พระปฐมสมโพธิกถาบรรยายว่า :-

คจฺฉนฺเต กาเล ครั้นกาลล่วงไป ที่ทั้งหลายทั้งปวงปราศจากเครื่องสักการบูชาแล้ว พระบรมธาตุก็จะมาสโมสรสันนิบาตกันเข้าแล้วก็จะเสด็จไปสู่พระมหาเจดีย์อันใหญ่ในลังกาทวีป ครั้นออกจากลังกาทวีปมหาเจดีย์แล้วก็จะเสด็จไปสู่ราชายตนเจดีย์นาคทวีป ครั้นออกจากนาคทวีปแล้วก็จะเสด็จไปสู่โพธิบัลลังก์ พระบรมธาตุทั้งหลายในนาคพิภพก็ดี ในเทวโลกก็ดี ก็เสด็จไปสู่พระมหาโพธิบัลลังก์สิ้น

เอวํ สพฺพา ธาตุโย พระบรมธาตุครั้นประชุมกันด้วยประการดังนี้แล้ว

พุทฺธรูปํ กตฺวา กระทำอาการเป็นพระพุทธรูปปรากฏเหมือนอย่างองค์สมเด็จพระศรีสุคตอันประดิษฐานเหนือรัตนบัลลังก์ใต้ควงไม้พระมหาโพธิ … จะกระทำพระปาฏิหาริย์มีอาการดุจดังพระยมกปาฏิหาริย์ครั้งเมื่อทรมานเดียรถีย์นิครนถ์ในภายใต้ต้นไม้คัณฑามพฤกษ์

มนุสฺสภูตสตฺโต เมื่อพระบรมธาตุประชุมครั้งนั้น มนุษย์ทั้งหลายจะได้เห็นหามิได้

ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตา ฝ่ายฝูงอมรเทพยดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาฬจะพากันสโมสรสันนิบาตประชุมพร้อมกัน ปริเทวนฺตา กันแสงโศกโศกาดูรพูนเทวษ เหมือนครั้งองค์สมเด็จพระโลกเชษฐ์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน ด้วยถ้อยคำว่า

อชฺช ทสพโล ปรินิพฺพายติ องค์พระทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระอมตมหานิพพานเสียในวันนี้แล้ว

อชฺช สาสนํ โอสกฺกติ พระพุทธศาสนาเสื่อมทรุดลงในวันนี้แล้ว

อิทํ ปจฺฉิมทสฺสนํ ครั้งนี้เป็นปัจฉิมที่สุด การที่จะได้เห็นไปในเบื้องหน้าไม่มีแล้ว ตั้งแต่นี้ไปโลกก็จะมัวมนอนธการกอปรด้วยกองมืด

อถ ธาตุสรีรโต ในลำดับนั้น เตโชธาตุก็ตั้งขึ้นแต่พระสรีรธาตุ เผาผลาญสังหารให้ย่อยยับถึงซึ่งภาวะหาบัญญัติมิได้

@@@@@@@

เรื่องอันตรธานนี้ ท่านแสดงไว้ตั้งแต่ในยุคสมัยที่พระศาสนากำลังรุ่งเรือง น่าคิดว่า ก็เมื่อพระศาสนารุ่งเรืองอยู่เช่นนั้นจะมากล่าวถึงเรื่องพระศาสนาอันตรธานเสื่อมสูญเพื่ออะไร และเราท่านในบัดนี้เมื่อได้สดับเรื่องพระศาสนาอันตรธานแล้วคิดอย่างไร

    ผมว่าใครขบคิดปริศนานี้ออก ก็จะได้สติและได้ปัญญา
    ได้สติ คือ ไม่ประมาทมัวหลงเพลิดเพลินไปกับโลก
    ได้ปัญญา คือ แสวงหาและดำเนินไปโดยมรรคา อันจะนำไปสู่ความเป็นอิสระที่แท้จริง

ในขณะที่หนทางนั้น ยังมีร่องรอยปรากฏชัดเจนอยู่ รอนานไปจะไม่มีใครรู้จักหนทางนั้น เรื่องแบบนี้ไม่ต้องรอให้แก่เฒ่าก่อนจึงค่อยคิดหรอกครับ ยังหนุมยังสาวก็คิดได้ ดีกว่าไปคิดได้เมื่อแก่เสียอีก






ขอขอบคุณ :-
บทความของ : นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ,๓ กันยายน ๒๕๖๔ ,๑๗:๓๔
web : dhamma.serichon.us/2021/09/04/อันตรธาน/
posted date : 4 กันยายน 2021, By admin.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 05, 2021, 08:00:24 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ภาพประกอบ: หอไตรที่บรรพบุรุษของเราท่านสร้างไว้เพื่อเป็นที่เก็บรักษาและศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎก แต่ทุกวันนี้เป็นเพียงสิ่งก่อสร้างที่มีไว้เพื่อดูศิลปะสถาปัตยกรรมโบราณ



แนวคิดเรื่องอันตรธาน

ญาติมิตรที่ติดตามผมมาย่อมจะสังเกตได้ว่า ผมพยายามมาตลอดในการกระตุก กระตุ้น กระทบ กระแทก กระทุ้ง ให้ผู้ที่เรียนบาลีมีอุตสาหะลุกขึ้นศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกา ไม่ใช่อิ่มเอมเปรมใจชื่นชมยินดีอยู่แค่ว่าฉันสอบผ่านแล้ว ฉันเรียนจบแล้ว ฉันบรรลุเป้าหมายแล้ว ฉันไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว

เคยนึกเฉลียวใจไหมครับว่า ไม่มีชาติไหนหรือชุมชนไหนในโลกใช้ภาษาบาลีสื่อสารกันในชีวิตประจำวันเลยแม้แต่ชาติเดียวชุมชนเดียว แล้วเราเรียนบาลีไปทำไม? เรียนภาษาที่ไม่มีใครเขาใช้ พูดสำนวนใหม่ก็ว่า-จะบ้าเรอะ

แหล่งข้อมูลที่บันทึกไว้เป็นภาษาบาลีในโลกนี้มีที่เดียวเท่านั้น คือที่เรียกรวมๆ กันว่า-พระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกา
พระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกานี่แหละคือเป้าหมายที่นักเรียนบาลีจะต้องบุกเข้าไปให้ถึง เรียนบาลีแล้ว แต่ไม่ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกา ก็ไม่ต่างอะไรกับนักรบที่แต่งเครื่องรบครบเครื่อง แต่ไม่ออกรบ ยิ่งถ้ามีศึกสงครามที่ควรจะต้องออกรบ แต่ไม่ออกด้วยแล้ว หมดศักดิ์ศรีเลย

มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระศาสนาที่จะต้องตอบต้องอธิบายต้องชี้แจง เรียนบาลีแล้ว แต่ไม่ค้นคว้าพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาหาคำตอบคำอธิบายคำชี้แจง ก็คือนักรบแต่งเครื่องรบครบเครื่อง ข้าศึกก็มาร้องท้าอยู่หน้าค่ายนั่นแล้ว – แต่ไม่ออกรบ ฉันเดียวกันนั่นแล้ว

เรื่อง “อันตรธาน” มีอยู่ในพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกา ขึ้นไปให้ถึงต้นน้ำนะครับ จะได้สมศักดิ์ศรีหน่อย อย่าดักช้อนเอาตามปลายน้ำ เรื่องกลองอานกะ เป็นเรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงพระศาสนาอันตรธาน มีทั้งในพระไตรปิฎกและในอรรถกถา

https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/2922906527803065
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/2925007740926277
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/2927565930670458

@@@@@@@

หนังสือพระปฐมสมโพธิกถาตอนท้ายมีกล่าวด้วยเรื่องอันตรธาน เรื่องอันตรธานไม่ใช่แนวคิดของผู้แต่งปฐมสมโพธิกถา ผู้แต่งปฐมสมโพธิกถาเพียงแต่ไปหยิบเอามาจากคัมภีร์ เหมือนคนอ่านหนังสือไม่แตก บอกว่าไตรภูมิพระร่วงเป็นความคิดของพระธรรมราชาลิไท พระธรรมราชาลิไทท่านเพียงแต่รวบรวมมติจากคัมภีร์มาเรียบเรียงเป็นไตรภูมิพระร่วง มติเหล่านั้นท่านไม่ได้จินตนาการขึ้นมาเอง แต่มีอยู่ในคัมภีร์ แต่เรามักพูดกันว่า เรื่องในไตรภูมิพระร่วงเป็นแนวคิดของพระธรรมราชาลิไท

เมื่อพูดถึงศาสนาเสื่อม มีคนชอบอ้างหลักอนิจจัง และหลักเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น เรื่องคำสอนให้ปล่อยวาง
ก็คือจะบอกว่าไม่ต้องไปคิดทำอะไร ผมว่าก็เหมือนคนที่รู้ว่าเกิดมาแล้วต้องตายแน่ แต่มีใครนอนรอความตายเฉยๆ กันบ้าง? ที่พยายามคิดอ่านเรื่องนี้ ไม่ใช่จะพยายามรั้งไม่ให้ศาสนาเสื่อม แต่พยายามจะบอกว่าเราควรทำอะไรกัน มันจึงจะถูกต้อง ไม่ใช่นอนรอความเสื่อมอยู่เฉยๆ จะยกเอาสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมาอ้างก็ได้
เช่นอ้างว่าพระทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ศาสนาก็ยังอยู่ได้ คนไม่สนใจพระไตรปิฎกเลย เขาก็ยังอยู่ได้ ก็อ้างไป

อันที่จริง พูดให้หนักไปกว่านั้นก็ยังได้ คนที่นับถือศาสนาอื่น คนที่เขาดูถูกดูหมิ่นศาสนาพุทธ เขาก็ยังอยู่กันมาได้ ไม่เห็นเขาเป็นอะไร อย่าว่าเพียงแค่มีพระประพฤติวิปริตผิดพระธรรมวินัยเท่านั้นเลย ต่อให้ไม่ต้องมีศาสนาพุทธทั้งศาสนานั่นเลย โลกนี้ทั้งโลกก็ยังอยู่กันได้ แล้วจะต้องมาเป็นห่วงกังวลอะไรไปทำไม อยู่กันไปแบบนี้แหละ ใครอยากทำอะไรก็ทำ ใครไม่อยากทำอะไรก็ไม่ต้องทำ นี่แหละเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว

ผมเคยเขียนไว้นานแล้ว ขออนุญาตยกมาปิดท้ายอีกที ยุคมิคสัญญี คือยุคแห่งความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมนั้นมาถึงแน่ ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นปรารภสู่กันฟัง มิใช่เพื่อจะให้ช่วยกันคิดแก้ไข เพราะทำอย่างไรก็ห้ามไม่ฟัง รั้งไม่หยุดอยู่แล้ว เพียงแต่อยากให้ช่วยกันรู้ทันเอาไว้ เหมือนกับนั่งไปในรถไฟขบวนเดียวกัน และเรารู้แน่แล้วว่าปลายทางของรถไฟขบวนนี้คือหุบเหวจะทำอะไร จะรักษาชีวิตกันอย่างไร ก็รีบๆ คิดอ่านกันเข้าเถิด รถไฟขบวนนี้หยุดไม่ได้นะครับ







ขอขอบคุณ :-
บทความ : แนวคิดเรื่องอันตรธาน เขียนโดย นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ,๔ กันยายน ๒๕๖๔ , ๑๖:๓๐ น.
web : dhamma.serichon.us/2021/09/04/แนวคิดเรื่องอันตรธาน/
posted date : 4 กันยายน 2021 , By admin.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ