กฎแห่งกรรม ดี-ชั่ว ปาฏิหาริย์ พอ..นิ่ง..หยุด“ถ้าเห็นการยอมรับของสังคมสำคัญกว่าพระธรรมวินัย...พระพุทธศาสนาก็วินาศ” นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย ย้ำว่า วิถีชีวิตของ “พระสงฆ์” ในพระพุทธศาสนาย่อมต่างไปจากวิถีชีวิตของผู้ครองเรือน วิถีชีวิตของพระสงฆ์มี 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ สิ่งที่ห้ามทำ, สิ่งที่ต้องทำ
การศึกษาของผู้อยู่ในวิถีชีวิตสงฆ์ที่เรียกว่า “ไตรสิกขา” ตามหลักคือ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่เมื่อจัดกลุ่มแล้วก็รวมอยู่ในสองเรื่อง คือ...ศึกษาว่าอะไรบ้างที่ห้ามทำ แล้วละเว้น สำรวมระวัง ไม่ทำสิ่งนั้น แม้ในเรื่องที่มีโทษเล็กน้อยก็เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ ไม่กล้าล่วงละเมิด
และ...ศึกษาว่าอะไรบ้างที่ต้องทำ แล้วก็พยายามขวนขวายทำสิ่งนั้นไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็คือ ผู้อยู่ในวิถีชีวิตสงฆ์ ...ไปทำสิ่งที่ห้ามทำเข้า ทั้งทำเพราะไม่รู้ ทั้งรู้แล้วขืนทำ อ้างว่าจำเป็น และไม่ใช่เรื่องสำคัญ คือ...ทำแล้วก็ไม่เห็นเสียหายอะไร
พร้อมกันนั้นก็ปล่อยปละละเลยสิ่งที่ต้องทำ อ้างว่าไม่จำเป็น และไม่ใช่เรื่องสำคัญ คือ...ไม่ทำก็ไม่เห็นเสียหายอะไร ตัวอย่างเช่น พระสงฆ์ต้องประชุมกันฟังพระปาติโมกข์ทุกครึ่งเดือน กำหนดในวันพระกลางเดือนและสิ้นเดือน หรือ “วันพระใหญ่” เรียกเป็นคำสามัญว่า “ลงปาติโมกข์” หรือ “ลงโบสถ์”
“เมื่อสมัยยังเป็นพระ มีอยู่พรรษาหนึ่งผมไปจำพรรษาที่เขาถ้ำพระซึ่งเป็นที่พักสงฆ์ ในเขตอำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ไม่มีโบสถ์ ไม่มีพระที่สวดปาติโมกข์ได้...พอถึงวันพระใหญ่ พระที่เขาถ้ำพระทั้งหมดก็เดินไปวัดดอนทรายซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้ ไปร่วมฟังปาติโมกข์ที่นั่น ปฏิบัติกันอย่างนี้ตลอดมา”
ปัจจุบันนี้ พระหลายๆวัดไม่ได้ลงปาติโมกข์ จะอ้างเหตุอะไรไม่ทราบได้ ในวัดตัวเองก็ไม่ทำ ไปร่วมฟังกับวัดอื่นก็ไม่ไป (บางทีทำวัตรสวดมนต์เช้า-เย็นก็ไม่ทำด้วย) วันปาติโมกข์ก็อยู่กันเฉยๆ เจ้าคณะผู้ปกครองก็ไม่กวดขัน ไม่ว่าอะไร...นี่คือไม่ทำสิ่งที่ต้องทำ ส่วนเรื่อง...ทำสิ่งที่ห้ามทำ เวลานี้ก็มีหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่มีข้อห้ามไว้ชัดเจน ทั้งเรื่องที่ยังถกเถียงกันว่าห้ามหรือไม่ห้าม หลายเรื่องทำกันจนเป็นเรื่องปกติ
ดังที่เวลานี้ พระยืนบิณฑบาต จนกลายเป็นพระนั่งบิณฑบาต เป็นเรื่องปกติไปแล้ว คือทำกันทั่วไป พระยืนให้พรกันข้างถนนก็กลายเป็นเรื่องปกติ คือทำกันทั่วไป...ผู้คนเอาสตางค์ใส่บาตร ก็เป็นเรื่องปกติ คือทำกันทั่วไป...เรื่องที่พระสมัยก่อนไม่ทำ แต่พระสมัยนี้ทำ และมีแนวโน้มว่าจะทำกันมากขึ้น คือพระขับรถยนต์
ขับไปไหนมาไหนเอง เวลานี้เห็นหนาตาขึ้นแล้ว...แรกเริ่มก็ขับอยู่ในวัด ขนของหน้าวัดไปไว้หลังวัด...อย่างนี้เป็นต้น ต่อมาก็เริ่มขับออกนอกรั้ววัด ไปใกล้ๆ ก่อน ตอนนี้เริ่มจะขับไปธุระที่นั่นที่นี่...เหมือนชาวบ้าน
O O O O
ผมขอทำนายไว้ว่า อีกไม่เกิน 20 ปีนับจากนี้ พระสงฆ์ในเมืองไทยจะขับรถไปไหนมาไหนกันเองเหมือนชาวบ้าน...โดยที่สังคมยอมรับ และตรงจุดนี้เอง...คือจุดที่อ้างกันว่า “สังคมยอมรับ” นี่แหละจะเป็นต้นทางนำไปสู่ยุค “กาสาวกัณฐะ” ดังที่แสดงไว้ในพระคัมภีร์ ถ้ายุค “กาสาวกัณฐะ” จะถึงในก้าวที่ 5,000...
การที่พระสงฆ์ในสมัยนี้ช่วยกันสนับสนุนกันเองว่าอย่างนั้นทำได้ อย่างนี้ทำได้ ไม่ผิด ก็ดี การที่สังคมเราในสมัยนี้พากันยอมรับว่าพระสงฆ์ทำอย่างนั้นได้ ไม่ผิด ก็ดี ก็เทียบได้กับเป็นก้าวที่ 10 หรือก้าวที่ 100
ก้าวที่ 5,000 ในอนาคตซึ่งจะเป็นยุค “กาสาวกัณฐะ”...แค่มีผ้าเหลืองคล้องคอก็เป็นพระ ก็ไปจากก้าวที่ 10 หรือก้าวที่ 100 ที่พวกเรากำลังกระซิกกระซี้ชี้ชวนกันก้าวอยู่ในเวลานี้นั่นเอง
พระสงฆ์สมัย “กาสาวกัณฐะ”...มีบ้านเรือนอยู่เหมือนชาวบ้าน มีครอบครัว มีลูกมีเมีย เหมือนชาวบ้าน ประกอบอาชีพต่างๆ เหมือนชาวบ้าน ทุกอย่าง...เหมือนชาวบ้าน
แต่เวลาที่เอาผ้าเหลืองมาคล้องคอ สังคมยุคโน้นเขาก็ยอมรับกันว่า “นี่คือพระ”
ลองคิดเทียบดูเถิด สมัยก่อน ถ้าพระมีบ้านเรือนเหมือนชาวบ้าน สังคมสมัยนั้นจะรังเกียจมาก ไม่นับถือว่าเป็นพระ มาถึงสมัยนี้...กุฏิพระบางแห่งหรูหรายิ่งกว่าบ้านของชาวบ้าน เราบางคน ในสมัยนี้ยังรู้สึกรังเกียจอยู่บ้าง แต่โดยส่วนรวมแล้วเราก็ยังนับถือว่าท่านเป็นพระอยู่
สมัยนี้ ถ้าพระมีเมียเหมือนชาวบ้าน สังคมเราจะไม่ยอมรับเป็นอันขาดว่า...นั่นเป็นพระหากใครจะแย้งว่า ที่นั่นไง ที่โน่นไง เขารู้กันทั้งนั้นแหละว่ามีเมีย มีลูกด้วย ก็เห็นยังเป็นพระอยู่มิใช่เรอะ กรณีนั้นโปรดแยกประเด็นให้ถูกว่า ถ้าเป็นเรื่องจริง ที่ “เห็นยังเป็นพระอยู่” นั่นก็เพราะยังไม่มีใครเปิดเผย

คือ...เพราะสังคมยังไม่รู้ความจริง นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ฝากไว้ว่า แต่ไม่ว่าอะไรจะเป็นอย่างไร หลักสำคัญที่ชาวพุทธจะต้องยึดไว้ให้มั่นคงก็คือ “คารวธรรม”...อย่าขาดคารวธรรมเป็นอันขาด
พุทธคารวตา ธัมมคารวตา สังฆคารวตา สิกขาคารวตา สมาธิคารวตา ปฏิสันถารคารวตา...คารวธรรมยังมั่นคงอยู่ในใจตราบใด สังคมพุทธก็จะมั่นคงอยู่ในแผ่นดินไทยและในโลกตราบนั้น
O O O O
“กฎแห่งกรรม” ตามหลักพุทธศาสนาเป็นเรื่องของการกระทำ ซึ่งยังไม่ถือว่า “ดี” หรือ “ชั่ว” เป็นการกระทำทุกอย่างที่แสดงออกจากตัวเราในชาตินี้...ไม่มีใครหนีได้ แต่หากจะถามว่าทำอะไรในชาตินี้แล้วชาติหน้าจะเป็นอย่างไรจะดีจะเลวมากน้อยแค่ไหน ก็คงไม่มีใครตอบได้...เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อของแต่ละบุคคล
ด้วยเพราะ “กรรม” ก็คือผลจากการกระทำ ในทางธรรมถ้าว่ากันถึงเรื่องที่เกี่ยวโยงกับ “ศรัทธา... ความเชื่อ” ก็หมายถึงเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ...เชื่อในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล...เชื่อในสิ่งที่ดีงาม การกระทำ ความดี ไม่ตื่นเต้น...ลุ่มหลงไปตามสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า เรื่องของ “กรรม” หากแม้นได้ศึกษากฎแห่งกรรมแล้วจะรู้เลยว่า ไม่มีเรื่องสุ่ม หรือ...บังเอิญใดๆเลย กลับ…ล้วนแล้วแต่มีเหตุมีผลทั้งสิ้น

“พอ” เป็นสิ่งหายากในหมู่คน “โลภ”... “นิ่ง” เป็นสิ่งหายากในหมู่คน “โกรธ”... “หยุด” เป็นสิ่งหายากในหมู่คน “หลง” ธรรมะเท่านั้นที่ช่วยท่านได้ พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
“การยกฐานะจากยากจนให้มั่งมีนั้นทำได้ไม่ง่าย บางคนตลอดชาตินี้อาจทำไม่สำเร็จ แต่การยกระดับใจให้มั่งมีนั้นทำได้ทุกคน แม้มีความมุ่งมั่นจะทำได้จริง...
คนรู้จักพอไม่ใช่คนเกียจคร้าน และคนเกียจคร้านก็ไม่ใช่คนรู้จักพอ ควรทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ถูกต้องแล้วอบรมตนเองให้ไม่เป็นคนเกียจคร้านแต่ให้เป็นคนรู้จักพอ”
“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.ขอขอบคุณ :-
บทความ : กฎแห่งกรรม ดี-ชั่ว ปาฏิหาริย์ พอ..นิ่ง..หยุด
ผู้เขียน : รัก-ยม
web :
https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/2191006posted date : 12 ก.ย. 2564 05:22 น.