« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2021, 09:27:24 am »
0
คุณธรรม-บาปธรรม ย่อมอยู่ร่วมกันไม่ได้ ในทุกสมัย (ตอนจบ)ผู้คนมีใจโหดเหี้ยมมากขึ้น มีการปล้นทรัพย์แล้วฆ่าด้วยศาสตราวุธที่ร้ายแรง... ปาณาติบาตเกลื่อนกลาดแผ่นดิน เมื่อมีการจับกุมได้ก็ต้องลงโทษกันอย่างรุนแรง จึงมีการพูดมุสาวาท... มีการพูดใส่ร้ายใส่เท็จผู้อื่น เพื่อความพ้นโทษแห่งตน ทนายควรเป็นอาชีพที่มีคุณค่าในสังคมเสื่อมถอยจากคุณความดี ศีลธรรมเสื่อมโทรม ประชาชนบางหมู่คณะไร้ความกตัญญูต่อแผ่นดิน ไม่ให้ความเคารพสถาบันหลักของประเทศ
การก่ออกุศลธรรมคือ บาปกรรมมีมากขึ้น เพื่อหวังการได้มาในปัจจัยสี่ ตลอดจนฐานะโอกาสทางสังคม อายุของมนุษย์ก็ลดน้อยลง ผิวพรรณก็เสื่อมทรามลง จากรุ่นพ่อมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พอถึงรุ่นลูกเหลือ ๔๐,๐๐๐ ปี เรียกว่าลดลงถึงกึ่งหนึ่ง และลดลงไปเรื่อยๆ ตามบาปกรรมที่หนามากขึ้น... ความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐิของสัตว์ในสังคมมีมากขึ้น จนเกิดเป็นทิฏฐิหลากหลายมากมาย อายุของสัตว์มนุษย์ถอยลงเหลือ ๕๐๐ ปี อกุศลธรรม ๓ ประการ แพร่หลายไปทั่ว ได้แก่
๑. อธรรมราคะ คือ ความกำหนัดอันไม่ชอบธรรมหรือไม่สมควร เช่น พ่อ แม่ กำหนัดในลูก พี่น้องร่วมเพศกัน ไม่เลือกพี่ป้าน้าอา
๒. วิสมโลภะ คือ โลภะในทางทุจริต การฉ้อราษฎร์บังหลวงแพร่ระบาดไปทั่วทุกองค์กรในสังคม
๓. มิจฉาธรรม คือ หลักคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักธรรมที่เป็นสัจธรรม
@@@@@@@
หลังจากบาปกรรมปรากฏมากขึ้น หนาขึ้น อายุของสัตว์มนุษย์ก็ถอยลงมาเหลือเพียง ๒๕๐ ปี ในยุคสมัยนี้เกิดการไม่ปฏิบัติต่อพ่อแม่ ...ต่อสมณพราหมณ์ มีความไม่เคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล จนอายุของสัตว์มนุษย์ลดลงเหลือ ๑๐๐ ปี (ดังที่ปรากฏในยุคปัจจุบัน) และจะลดลงไปเรื่อยๆ ตามบาปกรรมของสัตว์มนุษย์ที่ปฏิเสธหลักธรรมคำสั่งสอนในพระศาสนา...
แม้ในที่สุดแห่งพระศาสนาก็จะต้องอันตรธานสูญสิ้นไป เพราะกำลังแห่งแรงกรรมของสัตว์มนุษย์ที่มากไปด้วยมหาโมหจิต เข้าขั้น มิจฉาทิฏฐิ เต็มกำลัง... จนในที่สุดจักเข้าถึงสมัยที่มนุษย์มีอายุเพียง ๑๐ ปี...
ในสมัยที่สัตว์มนุษย์มีอายุเพียง ๑๐ ปี หญิงแต่งงานตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ ในสมัยดังกล่าว รสของเนยข้น เนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และเกลือก็จะหายไป สิ่งเหล่านี้จะไม่มีเหมือนรสในปัจจุบัน... หญ้าจะเป็นอาหารชั้นดีของสัตว์มนุษย์... กุศลกรรมบถ ๑๐ จะหายไป อกุศลกรรมบถ ๑๐ จะเจริญรุ่งเรืองยิ่ง
เวลานั้น แม้คำว่า กุศล หมู่คนก็จะไม่ได้ยิน พวกสัตว์เหล่านั้นจะสิ้นความประเสริฐ ด้วยไม่เคารพบิดา มารดา สมณพราหมณ์ ผู้ใหญ่ในตระกูล... สัตว์โลกจะมีการสมสู่ปะปนกันเหมือนแพะ แกะ สุนัข จะปรากฏมากขึ้นกับความกำหนัดในเพศเดียวกัน... สัตว์จะมากไปด้วยความอาฆาตพยาบาทกันรุนแรง ทั้งในสังคมเดียวกัน และในที่สุดแม้ในระหว่างพ่อแม่ลูก ระหว่างพี่น้องกัน จนเข้าสู่สมัยที่สัตว์เห็นกันก็อยากฆ่ากัน เหมือนพรานเนื้อได้เห็นเนื้อในป่า ในสมัยที่มนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี จะเกิด สัตถันตรกัป มีการใช้อาวุธประหัตประหารกันอยู่ ๗ วัน สัตว์มนุษย์ล้มตายกันมากมาย
@@@@@@@
ในสมัยดังกล่าว ได้มีสัตว์มนุษย์บางพวก ไม่ต้องการฆ่าใคร และไม่ต้องการให้ใครฆ่า จึงพากันหนีเข้าไปอาศัยอยู่ตามป่าเขา เมื่อเลย ๗ วัน จึงพากันออกมาจากที่หลบซ่อน พบเห็นกันเข้า จึงเข้าสวมกอดกันด้วยความยินดีว่า พวกเรายังมีชีวิตอยู่ !!
สัตว์มนุษย์เหล่านั้น ได้เห็นโทษของการประพฤติอกุศล จึงชักชวนกันรักษาศีลปฏิบัติธรรม มั่นคงอยู่ในกุศลธรรม ดำรงอยู่ในศีลธรรมอย่างต่อเนื่อง จนมีอายุสูงขึ้น เมื่อได้เห็นอานิสงส์ของการประพฤติธรรม จึงชักชวนกันปฏิบัติธรรมมากขึ้น อายุก็ยั่งยืนขึ้นเป็นลำดับจนถึง ๘๐,๐๐๐ ปี สมัยนั้น ผู้หญิงอายุ ๕๐๐ ปี จึงสมควรมีสามี มีอาพาธเกิดขึ้นเพียง ๓ อย่างเท่านั้นในยุคดังกล่าว ได้แก่
๑. อยากกิน
๒. ไม่อยากกิน
๓. ความแก่
เรียกยุคสมัยดังกล่าวว่า อารยธรรมเบิกบาน ก็ว่าได้ ซึ่งสมัยนั้นเอง พระศรีอารยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พอสมบูรณ์พร้อมด้วยพระพุทธคุณทุกอย่าง และจักทรงสั่งสอนธรรมเหมือนพระพุทธเจ้าในสมัยปัจจุบัน...
จากที่บรรยายมาเพื่อแสดงให้เห็นความจริง เป็นสัจธรรมที่สาธุชนพึงควรสำนึกระลึกรู้ชอบในเรื่อง ความเกิด...ความดับ ความเจริญ...ความเสื่อม หรือประโยชน์และโทษ ที่อุบัติเกิดขึ้นในชีวิตของเราทั้งหลายนั้น เกิดขึ้นมาจากอำนาจแรงกรรมที่เราท่านทั้งหลายได้ก่อขึ้นเอง หากกระทำการอย่างมีสติปัญญา รู้จักพิจารณาจนเข้าใจในธรรม ก็ย่อมเกิดคุณประโยชน์ แต่หากขาดสติปัญญา ประพฤติตนอยู่ในอธรรม ก็ย่อมให้ผลเป็นโทษภัยและความหายนะ
@@@@@@@
ในพระพุทธศาสนา จึงได้มีหลักธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ โดยตรัสสั่งสอนให้พุทธบริษัทรู้จักเจริญสติปัฏฐาน เพื่อเข้าถึงอำนาจธรรมเป็นที่พึ่ง จะได้ถึงความเจริญใน ๕ อย่าง ได้แก่
๑. จะมีอายุยืนเป็นกัป (กัปของมนุษย์)
๒. จะเจริญด้วยวรรณะ (มีศีลธรรม)
๓. จะเจริญในความสุข (สุขในฌาน ๔)
๔. จะถึงพร้อมด้วยโภคะ (พรหมวิหารธรรม)
๕. จะเจริญด้วยพละกำลัง (เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ)...
...อาตมายกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาแสดง เพื่อให้สาธุชนได้เข้าใจถึงเหตุปัจจัยที่ทำสัตว์ทั้งหลายไปสู่ความทุกข์ และหนทางที่นำสัตว์ออกจากความทุกข์ เมื่อเข้าใจถึงเหตุปัจจัยนั้นๆ ดังปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะจากระบบการเมืองที่ไร้คุณธรรม ด้วยนักการเมืองที่มีโอกาสเข้าไปมีอำนาจปกครอง แต่ไม่ประพฤติตนอยู่ในหลักธรรมตามที่กล่าวมาใน ๑๐ ข้อ จึงทำให้สังคมประเทศชาติวุ่นวาย... จนนำไปสู่การรวมตัวของประชาชน ที่เรียกว่า มวลมหาประชาชน เพื่อเรียกร้องหาความเป็นธรรม อันเป็นไปตามระบบประชาธิปไตย
เรื่องดังกล่าวจะจบลงอย่างไรนั้น คงไม่ต้องคาดเดา แต่ให้พิจารณาโดยยึดหลักธรรมเป็นตัวชี้วัดตัดสินว่า... หากประชาชนส่วนใหญ่มั่นคงอยู่ในหลักธรรม ประพฤติตามธรรม สมควรแก่ธรรม ใช้หลักธรรมเข้าแก้ไขปัญหา อย่างมีสติปัญญา (สติปัฏฐาน) ปัญหาต่างๆ ในสังคมไทยก็คงจะจบไปได้ด้วยดี... แต่หากประชาชนส่วนใหญ่ไม่มั่นคงดำรงอยู่ในธรรม ขาดการพึ่งตน...พึ่งธรรม ไร้สติปัญญา ประพฤติไม่ชอบธรรมเกิดขึ้น สังคมประเทศชาติย่อมแตกสลายหรือได้รับความหายนะอย่างแน่นอน... จึงขอสาธุชนได้พิจารณาใคร่ครวญ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องโดยธรรม จะได้ไม่ประพฤติอย่างประมาท ขาดสติปัญญา... เพื่อการนำพาตนเองและสังคมประเทศชาติออกมาจากโทษภัยทั้งปวง ที่เกิดขึ้นด้วยการกระทำของตนเอง...
เจริญพร
ขอบคุณ :
https://www.posttoday.com/dhamma/270769วันที่ 14 ม.ค. 2557 เวลา 08:19 น. , โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 08, 2021, 09:31:31 am โดย raponsan »

บันทึกการเข้า

ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ