ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณธรรม-บาปธรรม ย่อมอยู่ร่วมกันไม่ได้ ในทุกสมัย  (อ่าน 2601 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 :25: :25: :25:

คุณธรรม-บาปธรรม ย่อมอยู่ร่วมกันไม่ได้ ในทุกสมัย (ตอน ๑)

ปุจฉา : มีปัญหามากมายเกิดขึ้นในสังคม โดยเฉพาะจากการเมืองที่ยังเหวี่ยงตนเองไปตามกระแสความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่... ในสถานการณ์ปัจจุบัน สังคมไทยจะจบลงอย่างไร และชาวไทยควรทำความเข้าใจอย่างไรในภาวะสองมาตรฐานที่ต่างอยู่ตรงข้ามกันเช่นนี้...

ผู้บูชาธรรม.

วิสัชนา : เจริญพรสาธุชนผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา... แม้ว่าบ้านเมืองจะเข้าสู่กาลเวลาที่ต้องปฏิรูปการปกครอง เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เบื้องหน้า ภายใต้แรงผลักดันของอำนาจ กฎเกณฑ์กรรม ที่สร้างความสัมพันธ์อันชอบธรรมให้กับทุกสรรพสิ่งในโลกใบนี้ อันยากที่ใครๆ จะลุกขึ้นมาต้านทานหรือควบคุมให้เป็นไปตามอำนาจแห่งตนได้...แต่บนบรรทัดฐานแห่งสัจธรรมในพระพุทธศาสนา ที่ให้ค่ากำหนดแน่นอนตายตัว อันเป็นไปตามหลักธรรมที่ว่า... จะต้องเป็นไปเช่นนี้เสมอ อันเป็นไปตามเหตุปัจจัย...

ดังนั้นเหตุปัจจัยจึงเป็นลักษณะธรรมที่สามารถกำหนดได้โดยการกระทำ เช่น การดับทุกข์ให้สิ้น โดยการปฏิบัติที่สามารถสร้างเหตุปัจจัยอันเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ได้ โดยยึดหลักความจริงว่า... สรรพสิ่ง สรรพสัตว์ทั้งหลาย มีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ก็ต้องมีความเสื่อมไป ...ความดับไป เป็นธรรมดา... เกิดขึ้นได้ก็ดับได้... ซึ่งนิยามดังกล่าว ได้แสดงให้เห็นความไม่เที่ยงแท้ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา อันสัตว์โลกไม่ควรไปยึดมั่น ...ถือมั่น จนเสียดุลยภาพแห่งจิต ให้โง่งมลุ่มหลงมึนเมาอยู่ในสายธารแห่งมายาของโลก จนยากที่จะหาความสงบสุขให้กับชีวิต ด้วยการทะยานอยากไปตามกระแส...

@@@@@@@

พระพุทธศาสนาของเราอุบัติเกิดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายของโลก... ความสับสนในความรู้ ...ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องของหมู่ชน จนมีทิฏฐิเกิดขึ้นในโลกมากถึง ๖๒ ทิฏฐิ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ ปรากฏอยู่ในพรหมชาลสูตร จึงไม่แปลกที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนผ่านสังคมของมนุษยชาติไปตามกาลสมัยบนทฤษฎีนิยม ที่มหาชนในยุคนั้นๆ ยึดถือ ซึ่งไม่ว่าจะเปลี่ยนทฤษฎีใดๆ ก็ยังไม่สามารถพ้นจากปัญหาความวุ่นวายไปได้ มิหนำซ้ำยังเพิ่มพูนความทุกข์ให้มากยิ่งขึ้น เมื่อหมู่ชนต่างมีทัศนคติ ความเห็น การปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป ด้วยอำนาจความยึดมั่นถือมั่นที่แก่กล้าจนยากจะควบคุม...

พระพุทธศาสนาอุบัติเกิดขึ้นในท่ามกลางความหลากหลายทางความคิดที่ตกผลึกเป็นทิฏฐิ ให้มากไปด้วยทฤษฎีนิยม โดยทรงประกาศทฤษฎีทางสายกลาง อันมีข้อปฏิบัติเป็นไปตามองค์ธรรมแปดประการ บนเส้นทางปฏิบัติที่เรียกว่า อริยมรรค... ที่ให้คืนกลับสู่ความเป็นอิสรภาพโดยธรรม... มีสันติธรรมอย่างแท้จริง ด้วยการอบรมสั่งสอนให้ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย มุ่งมั่นประพฤติตนโดยธรรม.. ประพฤติธรรมโดยตนเอง ให้มีตนเป็นที่พึ่ง ให้มีธรรมเป็นที่พึ่ง ที่กล่าวว่า ให้พึ่งตน พึ่งธรรม... โดยมีหลักธรรมที่ทรงสอนให้ศึกษาปฏิบัติตามวิธีการเจริญสติปัฏฐานสี่ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า วิปัสสนากรรมฐาน...นั่นเอง ทั้งนี้ โดยให้ยึดหลักธรรมดาอันเป็นไปตามสภาพความมีอยู่จริงในธรรมชาติ ที่ว่าบุญกุศลย่อมนำไปสู่ความสงบสุข มีความเจริญรุ่งเรืองถึงประโยชน์โดยธรรม หากปฏิบัติตามกุศลธรรม หรือหลักธรรมที่เป็นกุศลในพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า ไตรสิกขา ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา...


@@@@@@@

...ดังที่ทรงแสดงให้เห็นจริงว่า บุญย่อมเจริญขึ้น เพราะยึดปฏิบัติอยู่กับธรรมที่เป็นกุศล โดยตรัสเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า...

...สมัยหนึ่ง ในอดีตกาลที่พระเจ้าจักรพรรดิ พระนามว่า ทัฬหเนมิ ทรงตั้งมั่นอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มี จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว ต่อมาทรงสละราชสมบัติ มอบแก่พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ และพระองค์ทรงเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต

สามวันต่อมา จักรแก้วคู่บารมีของพระเจ้าจักรพรรดิได้อันตรธานไป พระราชาองค์ใหญ่ก็ทรงเสียพระทัยว่า จักรแก้วหายไป จึงได้เสด็จไปเข้าเฝ้าพระราชฤาษี ทรงเล่าความถวาย พระราชฤาษีคือพระราชบิดาได้ตรัสปลอบว่า  จักรแก้ว เป็นของให้กันไม่ได้ แต่หากรู้จักประพฤติธรรม ให้ความเคารพธรรม และปฏิบัติธรรมต่อมนุษย์และสัตว์ตามฐานะและสมควรแก่บุคคลนั้นๆ...

ซึ่งเป็นการบำเพ็ญจักรวรรดิวัตร (จักกวัตติวัตร) โดยพึงรู้จักการเข้าไปหาสมณพราหมณ์ผู้สงบ ถามถึงกุศล...อกุศล...ทำอย่างใดให้เป็นประโยชน์ ทำอย่างใดเป็นโทษ เมื่อสมบูรณ์พร้อมโดยวัตรของพระเจ้าจักรพรรดิตามที่กล่าวมาโดยสรุป ก็จักย่อมปรากฏจักรแก้ว อันเป็นทิพยจักร อันควรแก่พระราชาผู้รักษาอุโบสถในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ

เมื่อพระราชาองค์ใหม่มีศรัทธาปสาทะในคำสั่งสอนของพระราชฤาษี จึงได้แสดงวัตรอันประเสริฐของพระเจ้าจักรพรรดิอีกครั้งว่า

    - จงอาศัยธรรม สักการะเคารพนับถือธรรม ให้ความคุ้มครองอันเป็นธรรม แก่มนุษย์และสัตว์ ไม่ยอมให้ผู้ทำกรรมอันเป็นอธรรม เป็นไปได้ในแว่นแคว้น
    - ผู้ใดไม่มีทรัพย์ก็มอบทรัพย์ให้
    - เข้าไปหาสมณพราหมณ์ผู้เว้นจากความเมาประมาท
    - ตั้งอยู่ในขันติ คือ ความอดกลั้น โสรัจจะ คือ ความสงบเสงี่ยม และ ละสิ่งเป็นอกุศล บำเพ็ญสิ่งที่เป็นกุศล ละสิ่งที่เป็นโทษ ประกอบสิ่งที่ไม่เป็นโทษ ละสิ่งที่ไม่ควรเคารพ ประกอบสิ่งที่ควรเคารพ ดังนี้เป็นต้น

ทั้งนี้ ในส่วนของพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งมั่นคงดำรงอยู่ในธรรมตามที่กล่าวมา ก็จักทรงสั่งสอนบรรดาเจ้าหน้าที่ข้าราชการ ผู้ปกครองที่ถืออำนาจรัฐตามมอบหมายทั้งหลาย ให้ประพฤติปฏิบัติตนตามหลักธรรม ๑๐ ประการ ดังนี้...

(อ่านต่อฉบับหน้า)




ขอบคุณ : https://www.posttoday.com/dhamma/269722
วันที่ 09 ม.ค. 2557 เวลา 08:40 น. , โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 08, 2021, 09:36:40 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: คุณธรรม-บาปธรรม ย่อมอยู่ร่วมกันไม่ได้ ในทุกสมัย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2021, 09:15:22 am »
0
 :25: :25: :25: :25:

คุณธรรม-บาปธรรม ย่อมอยู่ร่วมกันไม่ได้ ในทุกสมัย(ตอน ๒)

๑. จะต้องพิทักษ์รักษาประชาชน ผู้อยู่ใต้ปกครองอย่างเสมอหน้ากัน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ดังที่ผู้มีอำนาจการปกครองจากการเมืองในประเทศนี้ ชอบกล่าวว่า จะพิทักษ์ดูแลให้ประโยชน์แก่ประชาชน ผู้ที่เป็นมวลชนของตนเป็นหลัก... และจะไม่เหลียวแลประชาชนที่ไม่ใช่ฐานเสียงมวลชนของตน

๒. ผู้มีอำนาจปกครอง จะต้องยึดมั่นในหลักเทวธรรม คือ หิริและโอตตัปปะ และดำเนินการตัดสินข้อพิพาทของประชาชนอย่างเที่ยงธรรม... จะไม่ปล่อยให้เกิดความเป็นสองมาตรฐานในการดูแลประชาชนอย่างที่ปรากฏในสังคมไทยปัจจุบัน ที่มีผู้ใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐไปในลักษณะดังกล่าว ซึ่งในที่สุดย่อมนำไปสู่ความหายนะในสังคม ไม่ช้าก็เร็ว... เพราะผิดธรรมที่จะนำสังคมไปสู่ความสงบสุข

๓. ผู้มีอำนาจในการปกครอง เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ โดยเฉพาะนักการเมืองที่ได้อำนาจรัฐ จะต้องไม่ขูดรีด เรียกรับสินบน กระทำทุจริตใดๆ ในการที่เป็นไปเพื่อเอารัดเอาเปรียบประชาชน

๔. ผู้มีอำนาจในการปกครองในทุกฐานะ โดยเฉพาะข้าราชการ จะต้องยุติธรรมในการดูแลประชาชน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย โดยจัดผลตอบแทนเพื่อความพร้อมสมบูรณ์ในปัจจัยสี่ให้แก่บุคคลที่ต้องทำงานสนอง...

๕. ผู้มีอำนาจในการปกครอง เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ ควรจัดเก็บภาษีอากรจากราษฎรในอัตราที่เคยเก็บ ไม่สูงเกินไป

๖. ผู้มีอำนาจในการปกครอง เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ ควรจัดการหาวิธีการสนับสนุนช่วยเหลือให้เกิดความคล่องตัวในด้านเศรษฐกิจต่อพ่อค้าประชาชน โดยไม่เลือกปฏิบัติช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มคณะที่มีประโยชน์ต่อตน หรือไม่คิดหวังผลประโยชน์เพื่อตน

๗. ผู้มีอำนาจในการปกครอง ควรจัดสวัสดิการตอบแทนเจ้าหน้าที่ ข้าราชการทุกหน่วยงาน ให้เกิดความสะดวกสบายตามสมควร

(อ่านต่อฉบับหน้า)




ขอบคุณ : https://www.posttoday.com/dhamma/269948
วันที่ 10 ม.ค. 2557 เวลา 08:50 น. , โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 08, 2021, 09:30:12 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: คุณธรรม-บาปธรรม ย่อมอยู่ร่วมกันไม่ได้ ในทุกสมัย
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2021, 09:19:26 am »
0
 :25: :25: :25:

คุณธรรม-บาปธรรม ย่อมอยู่ร่วมกันไม่ได้ ในทุกสมัย (ตอน ๓)


๘. ผู้มีอำนาจในการปกครอง ควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่ลืมตัว และควรคำนึงถึงสิ่งที่ชอบธรรมเป็นเกณฑ์

๙. ในการปกครอง เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ ควรดูแลสมณพราหมณ์ นักปราชญ์ ราชบัณฑิต และหาโอกาสปรึกษานักวิชาการผู้มีความรู้ ผู้ทรงคุณธรรมเสมอ

๑๐. ในการปกครอง เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ ควรรู้จักตอบแทนให้บำเหน็จแก่ผู้ทำความดีความชอบตามควรแก่กิจที่เขากระทำ

@@@@@@@

เมื่อบ้านเมืองประเทศชาติประกอบอยู่โดยธรรมในทุกลำดับ ความเจริญเติบโตถึงพร้อมด้วยความสงบสุขก็ย่อมเกิดขึ้น ดังในอดีตกาลที่กษัตริย์ในราชวงศ์ของ พระเจ้าทัฬหเนมิจักรพรรดิ ได้ทรงถือปฏิบัติประพฤติธรรมปกครองบ้านเมืองสืบต่อกันมา โดยดำรงอยู่ใน จักรวรรดิวัตรมาถึง ๗ ชั่วรัชกาล... แต่เมื่อมาถึง รัชกาลที่ ๘ ในราชวงศ์ของพระเจ้าทัฬหเนมิจักรพรรดิ ก็ได้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น

เมื่อพระราชาผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ทรงถือปฏิบัติธรรมตามบรรพชน ไม่ได้ปกครองดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง ปล่อยให้เกิดความยากจนมากขึ้น ไม่ได้จัดการช่วยเหลือใดๆ แก่ประชาชนผู้ขัดสนยากจน จึงนำไปสู่การไม่ประพฤติตามธรรมในหมู่ประชาชน มีการลักทรัพย์เกิดขึ้น ด้วยเหตุที่ทำไปเพราะยากจน... พระราชาผู้ปกครองแผ่นดินจึงได้ทรงพระราชทานทรัพย์ให้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว อย่างมิได้สืบสาวหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา เพราะพระราชาขาดการศึกษาประพฤติธรรม...

...ต่อมาก็มีการโจรกรรมกันมากขึ้นๆ เพราะได้รับการพระราชทานทรัพย์และไม่ลงโทษ จนบ้านเมืองมากไปด้วยโจรขโมย จึงมีการเปลี่ยนวิธีการของฝ่ายพระราชาผู้ปกครองแผ่นดิน โดยให้มีการควบคุม กักขัง และลงโทษประหารชีวิต เหตุการณ์จึงเริ่มเข้าถึงจุดเปลี่ยนผ่านสังคมที่เคยสงบสุขสู่ความวุ่นวาย ไร้ความสงบ




ขอบคุณ : https://www.posttoday.com/dhamma/270527
วันที่ 13 ม.ค. 2557 เวลา 11:56 น. ,โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 08, 2021, 09:30:54 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: คุณธรรม-บาปธรรม ย่อมอยู่ร่วมกันไม่ได้ ในทุกสมัย
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2021, 09:27:24 am »
0
 :25: :25: :25:

คุณธรรม-บาปธรรม ย่อมอยู่ร่วมกันไม่ได้ ในทุกสมัย (ตอนจบ)

ผู้คนมีใจโหดเหี้ยมมากขึ้น มีการปล้นทรัพย์แล้วฆ่าด้วยศาสตราวุธที่ร้ายแรง... ปาณาติบาตเกลื่อนกลาดแผ่นดิน เมื่อมีการจับกุมได้ก็ต้องลงโทษกันอย่างรุนแรง จึงมีการพูดมุสาวาท... มีการพูดใส่ร้ายใส่เท็จผู้อื่น เพื่อความพ้นโทษแห่งตน ทนายควรเป็นอาชีพที่มีคุณค่าในสังคมเสื่อมถอยจากคุณความดี ศีลธรรมเสื่อมโทรม ประชาชนบางหมู่คณะไร้ความกตัญญูต่อแผ่นดิน ไม่ให้ความเคารพสถาบันหลักของประเทศ

การก่ออกุศลธรรมคือ บาปกรรมมีมากขึ้น เพื่อหวังการได้มาในปัจจัยสี่ ตลอดจนฐานะโอกาสทางสังคม อายุของมนุษย์ก็ลดน้อยลง ผิวพรรณก็เสื่อมทรามลง จากรุ่นพ่อมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พอถึงรุ่นลูกเหลือ ๔๐,๐๐๐ ปี เรียกว่าลดลงถึงกึ่งหนึ่ง และลดลงไปเรื่อยๆ ตามบาปกรรมที่หนามากขึ้น... ความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐิของสัตว์ในสังคมมีมากขึ้น จนเกิดเป็นทิฏฐิหลากหลายมากมาย อายุของสัตว์มนุษย์ถอยลงเหลือ ๕๐๐ ปี อกุศลธรรม ๓ ประการ แพร่หลายไปทั่ว ได้แก่

     ๑. อธรรมราคะ คือ ความกำหนัดอันไม่ชอบธรรมหรือไม่สมควร เช่น พ่อ แม่ กำหนัดในลูก พี่น้องร่วมเพศกัน ไม่เลือกพี่ป้าน้าอา
     ๒. วิสมโลภะ คือ โลภะในทางทุจริต การฉ้อราษฎร์บังหลวงแพร่ระบาดไปทั่วทุกองค์กรในสังคม
     ๓. มิจฉาธรรม คือ หลักคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักธรรมที่เป็นสัจธรรม

@@@@@@@

หลังจากบาปกรรมปรากฏมากขึ้น หนาขึ้น อายุของสัตว์มนุษย์ก็ถอยลงมาเหลือเพียง ๒๕๐ ปี ในยุคสมัยนี้เกิดการไม่ปฏิบัติต่อพ่อแม่ ...ต่อสมณพราหมณ์ มีความไม่เคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล จนอายุของสัตว์มนุษย์ลดลงเหลือ ๑๐๐ ปี (ดังที่ปรากฏในยุคปัจจุบัน) และจะลดลงไปเรื่อยๆ ตามบาปกรรมของสัตว์มนุษย์ที่ปฏิเสธหลักธรรมคำสั่งสอนในพระศาสนา...

แม้ในที่สุดแห่งพระศาสนาก็จะต้องอันตรธานสูญสิ้นไป เพราะกำลังแห่งแรงกรรมของสัตว์มนุษย์ที่มากไปด้วยมหาโมหจิต เข้าขั้น มิจฉาทิฏฐิ เต็มกำลัง... จนในที่สุดจักเข้าถึงสมัยที่มนุษย์มีอายุเพียง ๑๐ ปี...

ในสมัยที่สัตว์มนุษย์มีอายุเพียง ๑๐ ปี หญิงแต่งงานตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ ในสมัยดังกล่าว รสของเนยข้น เนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และเกลือก็จะหายไป สิ่งเหล่านี้จะไม่มีเหมือนรสในปัจจุบัน... หญ้าจะเป็นอาหารชั้นดีของสัตว์มนุษย์... กุศลกรรมบถ ๑๐ จะหายไป อกุศลกรรมบถ ๑๐ จะเจริญรุ่งเรืองยิ่ง

เวลานั้น แม้คำว่า กุศล หมู่คนก็จะไม่ได้ยิน พวกสัตว์เหล่านั้นจะสิ้นความประเสริฐ ด้วยไม่เคารพบิดา มารดา สมณพราหมณ์ ผู้ใหญ่ในตระกูล... สัตว์โลกจะมีการสมสู่ปะปนกันเหมือนแพะ แกะ สุนัข จะปรากฏมากขึ้นกับความกำหนัดในเพศเดียวกัน... สัตว์จะมากไปด้วยความอาฆาตพยาบาทกันรุนแรง ทั้งในสังคมเดียวกัน และในที่สุดแม้ในระหว่างพ่อแม่ลูก ระหว่างพี่น้องกัน จนเข้าสู่สมัยที่สัตว์เห็นกันก็อยากฆ่ากัน เหมือนพรานเนื้อได้เห็นเนื้อในป่า ในสมัยที่มนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี จะเกิด สัตถันตรกัป มีการใช้อาวุธประหัตประหารกันอยู่ ๗ วัน สัตว์มนุษย์ล้มตายกันมากมาย

@@@@@@@

ในสมัยดังกล่าว ได้มีสัตว์มนุษย์บางพวก ไม่ต้องการฆ่าใคร และไม่ต้องการให้ใครฆ่า จึงพากันหนีเข้าไปอาศัยอยู่ตามป่าเขา เมื่อเลย ๗ วัน จึงพากันออกมาจากที่หลบซ่อน พบเห็นกันเข้า จึงเข้าสวมกอดกันด้วยความยินดีว่า พวกเรายังมีชีวิตอยู่ !!

สัตว์มนุษย์เหล่านั้น ได้เห็นโทษของการประพฤติอกุศล จึงชักชวนกันรักษาศีลปฏิบัติธรรม มั่นคงอยู่ในกุศลธรรม ดำรงอยู่ในศีลธรรมอย่างต่อเนื่อง จนมีอายุสูงขึ้น เมื่อได้เห็นอานิสงส์ของการประพฤติธรรม จึงชักชวนกันปฏิบัติธรรมมากขึ้น อายุก็ยั่งยืนขึ้นเป็นลำดับจนถึง ๘๐,๐๐๐ ปี สมัยนั้น ผู้หญิงอายุ ๕๐๐ ปี จึงสมควรมีสามี มีอาพาธเกิดขึ้นเพียง ๓ อย่างเท่านั้นในยุคดังกล่าว ได้แก่
     ๑. อยากกิน
     ๒. ไม่อยากกิน
     ๓. ความแก่
เรียกยุคสมัยดังกล่าวว่า อารยธรรมเบิกบาน ก็ว่าได้ ซึ่งสมัยนั้นเอง พระศรีอารยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พอสมบูรณ์พร้อมด้วยพระพุทธคุณทุกอย่าง และจักทรงสั่งสอนธรรมเหมือนพระพุทธเจ้าในสมัยปัจจุบัน...

จากที่บรรยายมาเพื่อแสดงให้เห็นความจริง เป็นสัจธรรมที่สาธุชนพึงควรสำนึกระลึกรู้ชอบในเรื่อง ความเกิด...ความดับ ความเจริญ...ความเสื่อม หรือประโยชน์และโทษ ที่อุบัติเกิดขึ้นในชีวิตของเราทั้งหลายนั้น เกิดขึ้นมาจากอำนาจแรงกรรมที่เราท่านทั้งหลายได้ก่อขึ้นเอง หากกระทำการอย่างมีสติปัญญา รู้จักพิจารณาจนเข้าใจในธรรม ก็ย่อมเกิดคุณประโยชน์ แต่หากขาดสติปัญญา ประพฤติตนอยู่ในอธรรม ก็ย่อมให้ผลเป็นโทษภัยและความหายนะ

@@@@@@@

ในพระพุทธศาสนา จึงได้มีหลักธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ โดยตรัสสั่งสอนให้พุทธบริษัทรู้จักเจริญสติปัฏฐาน เพื่อเข้าถึงอำนาจธรรมเป็นที่พึ่ง จะได้ถึงความเจริญใน ๕ อย่าง ได้แก่

๑. จะมีอายุยืนเป็นกัป (กัปของมนุษย์)
๒. จะเจริญด้วยวรรณะ (มีศีลธรรม)
๓. จะเจริญในความสุข (สุขในฌาน ๔)
๔. จะถึงพร้อมด้วยโภคะ (พรหมวิหารธรรม)
๕. จะเจริญด้วยพละกำลัง (เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ)...

...อาตมายกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาแสดง เพื่อให้สาธุชนได้เข้าใจถึงเหตุปัจจัยที่ทำสัตว์ทั้งหลายไปสู่ความทุกข์ และหนทางที่นำสัตว์ออกจากความทุกข์ เมื่อเข้าใจถึงเหตุปัจจัยนั้นๆ ดังปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะจากระบบการเมืองที่ไร้คุณธรรม ด้วยนักการเมืองที่มีโอกาสเข้าไปมีอำนาจปกครอง แต่ไม่ประพฤติตนอยู่ในหลักธรรมตามที่กล่าวมาใน ๑๐ ข้อ จึงทำให้สังคมประเทศชาติวุ่นวาย... จนนำไปสู่การรวมตัวของประชาชน ที่เรียกว่า มวลมหาประชาชน เพื่อเรียกร้องหาความเป็นธรรม อันเป็นไปตามระบบประชาธิปไตย

เรื่องดังกล่าวจะจบลงอย่างไรนั้น คงไม่ต้องคาดเดา แต่ให้พิจารณาโดยยึดหลักธรรมเป็นตัวชี้วัดตัดสินว่า... หากประชาชนส่วนใหญ่มั่นคงอยู่ในหลักธรรม ประพฤติตามธรรม สมควรแก่ธรรม ใช้หลักธรรมเข้าแก้ไขปัญหา อย่างมีสติปัญญา (สติปัฏฐาน) ปัญหาต่างๆ ในสังคมไทยก็คงจะจบไปได้ด้วยดี... แต่หากประชาชนส่วนใหญ่ไม่มั่นคงดำรงอยู่ในธรรม ขาดการพึ่งตน...พึ่งธรรม ไร้สติปัญญา ประพฤติไม่ชอบธรรมเกิดขึ้น สังคมประเทศชาติย่อมแตกสลายหรือได้รับความหายนะอย่างแน่นอน... จึงขอสาธุชนได้พิจารณาใคร่ครวญ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องโดยธรรม จะได้ไม่ประพฤติอย่างประมาท ขาดสติปัญญา... เพื่อการนำพาตนเองและสังคมประเทศชาติออกมาจากโทษภัยทั้งปวง ที่เกิดขึ้นด้วยการกระทำของตนเอง...

        เจริญพร



ขอบคุณ : https://www.posttoday.com/dhamma/270769
วันที่ 14 ม.ค. 2557 เวลา 08:19 น. , โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 08, 2021, 09:31:31 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ