หญิงชาวเขาเป่าแคน (ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
ปัจจัยภายใน ได้แก่
1. การเปลี่ยนแปลงแนวคิดเรื่องรัฐ เขตแดน และประชากรของชนชั้นนําสยาม เดิมทีการปกครองแบบรัฐจารีตของสยาม รัฐไม่ได้มีอาณาเขตที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับพระราชอํานาจและความสามารถของกษัตริย์ แต่ละพระองค์ อํานาจในการปกครองของกษัตริย์ที่มีต่อเมืองต่าง ๆ เป็นไปอย่างหลวม ๆ ยิ่งไกลจากราชธานี ชออกไปเท่าใด อํานาจของกษัตริย์ก็ยิ่งลดลงเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากรัฐแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยสร้างการปกครองแบบรวมศูนย์และมีอํานาจในพื้นที่อย่างแท้จริง แนวคิดเชิงดินแดนและพระราชอาณาเขตที่แน่ชัดปรากฏเป็นรูปธรรมจากการจัดทําแผนที่แบบตะวันตกทําให้รัฐสยามปรากฏตัวตนอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก(25)
สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิด “สํานึกแห่งความเป็นชาติ” ที่หมายถึงความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในสังคมโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้นําของรัฐภายใต้อาณาเขตที่ชัดเจน(26)
การเกิดรัฐแบบใหม่ที่เรียก “รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์” จึงให้ความสําคัญกับการสร้างบูรณภาพทางดินแดนและเอกภาพของประชากร(27) รวมทั้งเอกภาพทางด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดย กษัตริย์ในฐานะองค์อธิปัตย์สูงสุดต้องมีอํานาจเด็ดขาดเหนือพลเมืองในรัฐอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นพื้นฐานแนวคิดรัฐ-ชาติ (Nation-State) ดังนั้น หัวเมืองลาวทั้งล้านนาและล้านช้างที่เคยมีผู้ปกครองพื้นเมืองของตนดํารงอยู่อย่างอิสระต้องถูกทําให้หมดไป รวมทั้งความแตกต่างทางด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมต้องปรับเปลี่ยนให้มีลักษณะร่วมกันกับส่วนกลาง
ในขณะที่แนวคิดที่มีต่อประชากรแบบรัฐจารีตที่ดําเนินมาก่อนหน้ารัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวอิงอยู่กับหลักพระพุทธศาสนา โดยมองว่าคนเป็น “สัตว์” ที่เกิดมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นภาคหนึ่งของพระโพธิสัตว์ ความเป็นไปของมนุษย์เป็นไปตามกรรมที่ถูกกําหนดไว้ในชาติที่แล้ว แต่เมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเริ่มมีการติดต่อกับชาติตะวันตกมากขึ้น แนวคิดดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนไป โดยทรงเห็นว่าความเจริญและความเสื่อมเกิดจากการกระทําของมนุษย์เอง ซึ่งเป็นแนวคิดที่รับอิทธิพลความเป็นเหตุเป็นผลมาจากวิทยาศาสตร์แบบตะวันตก
จนมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความคิดดังกล่าวเริ่มชัดเจนขึ้น ประกอบกับการ ขยายตัวทางเศรษฐกิจหลังสนธิสัญญาเบาริ่งทําให้รัฐได้ประโยชน์จากราษฎรเพิ่มขึ้นในด้านการผลิต การบริโภค และการเสียภาษี ทําให้รัฐมองว่าความเจริญของสังคมเกิดจากคนกลุ่มต่าง ๆ รวมตัวกันทํางานตามความถนัด และความสามารถของตน และยอมรับว่าคนเป็นส่วนประกอบที่สําคัญของสังคม(28)
ความเจริญของสังคมจะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากการร่วมมือกันของคนในชาติ การที่หัวเมืองลาวกลุ่มต่าง ๆ ยังคงเป็นประเทศราชที่มีอิสระในการปกครองตนเองจึงขัดต่อแนวคิดแบบใหม่ ดังนั้น จึงต้องมีการรวมเขตแดนและรวมเอาคนที่เคยถือว่าเป็น “ต่างชาติต่างภาษา” เข้ามาเป็นพลเมืองของรัฐสยาม รวมทั้งวางนโยบายเพื่อลบภาพการแบ่งแยกความเป็น “ลาว” และ “ไทย” ให้หมดไป
เมื่อศึกษาถึงความพยายามของกรุงเทพฯ ในการผนวกลาวกลุ่มต่าง ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระราช อาณาเขต อีกเหตุผลหนึ่งที่สําคัญไม่แพ้กันคือเรื่องผลประโยชน์ที่ได้จากหัวเมืองลาว แม้ว่าก่อนหน้าทศวรรษ 2450 กรุงเทพฯ ต้องใช้เงินจํานวนมากในการวางรากฐานระบบราชการให้เข้าแทนที่เจ้านายและขุนนางพื้นเมือง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บภาษี และลดอํานาจทางเศรษฐกิจของเจ้านายพื้นเมืองลง ทําให้ฐานะทางการคลังของกรุงเทพฯ ดีขึ้น เช่น ในหัวเมืองลาวล้านนา (หัวเมืองลาวเฉียง/มณฑลลาวเฉียง/ มณฑลพายัพ/ มณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ) มีการจัดตั้งกรมป่าไม้ตั้งแต่ พ.ศ. 2439 โดยโอนกรรมสิทธิ์การให้สัมปทานไม้จากบรรดาเจ้านายมาเป็นของกรุงเทพฯ ทําให้เงินรายได้จากการทําไม้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
โดยปีแรกที่กรมป่าไม้ถูกจัดตั้งขึ้นมีรายได้ 333,360 บาท ใน พ.ศ. 2443 รายได้จากการทําไม้เพิ่มเป็น 1,467,583 บาท(29) จนถึง พ.ศ. 2443 รายได้จากการบริหารจัดการในมณฑลพายัพรวม 2,188,854 บาท โดยมีรายจ่าย 1,205,185 บาท(30) หมายถึงส่วนต่างที่มณฑลพายัพสามารถส่งเข้าสู่ส่วนกลางได้สูงถึง 983,669 บาท
ประกอบกับการใช้พระราชบัญญัติเก็บเงินค่าแรงแทนเกณฑ์หรือแทนการเรียกส่วยโดยเรียกเก็บเป็นรายหัวจากราษฎรชายที่มีอายุ 16-60 ปี หัวละ 4 บาท ซึ่งการเก็บภาษีด้วยวิธีนี้หมายถึงการที่มีจํานวนราษฎรในพระราชอาณาเขตมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเพิ่มรายได้เข้าสู่ท้องพระคลังมากขึ้นเท่านั้น
ใน พ.ศ. 2447 มีการทําสํามะโนครัวพลเมืองทั่วพระราชอาณาเขต พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดํารงราชานุภาพ ประมาณว่ายอดพลเมืองของสยามรวมทั้งสิ้นราว 6,686,846 คน โดยมณฑลอิสาณ (หัวเมืองลาวตะวันออกและลาวตะวันออกเฉียงเหนือ/ หัวเมืองลาวกาว/ มณฑลลาวกาว/ มณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ) มีจํานวนราษฎร 915,750 คน มณฑลอุดร (หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ/ หัวเมืองลาวพวน/ มณฑลลาวพวน) จํานวน 576,947 คน และมณฑลพายัพจํานวน 485,563(31) คน เมื่อรวมจํานวนราษฎรในมณฑลทั้งสามคิดเป็นร้อยละ 30 ของ จํานวนประชากรทั่วทั้งสยาม
ใน พ.ศ. 2449 เฉพาะมณฑลอิสาณ ซึ่งแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 4 บริเวณ ได้แก่ บริเวณอุบล มีจํานวนประชากรที่สามารถเก็บค่าแรงแทนเกณฑ์ได้ 66,097 คน บริเวณขุขัน จํานวน 34,711 คน บริเวณ สุรินทร์ จํานวน 18,763 คน บริเวณร้อยเอ็ด จํานวน 81,170 คน เมื่อรวมค่าแรงแทนเกณฑ์ที่จะเก็บได้ใน พ.ศ. 2449 อยู่ที่ 802,964 บาท(32) ซึ่งนับเป็นรายได้มหาศาล ด้วยเหตุผลทางด้านผลประโยชน์ดังกล่าว ทําให้สยามต้องเปลี่ยนแปลงการรับรู้และทัศนคติที่มีต่อกลุ่มคนลาวเหล่านั้นใหม่ โดยนับรวมเป็นประชากรส่วนหนึ่งของสยาม
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการมณฑลอุดร (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
การรับรู้และทัศนคติของไทยต่อคําว่า “ลาว” สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว การรับรู้และทัศนคติของชนชั้นนําสยามที่มีต่อหัวเมืองลาวล้านนาหรือมณฑลพายัพ คือเห็นว่าคนล้านนาเป็นคนขี้เกียจ เนื่องจากพอใจกับการทํามาหาเลี้ยงชีพโดยไม่ขวนขวายสะสมทุนทรัพย์แบบคนกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ยังเห็นว่าคนล้านนาเป็นคนหัวอ่อน เชื่อคนง่าย ซึ่งเป็นอันตรายต่อการควบคุมของรัฐเนื่องจากอาจมีผู้ชักชวนให้เข้ากับชาติตะวันตก(33)
ในขณะที่กลุ่มเจ้านายพื้นเมือง ทัศนคติของชนชั้นนําสยามที่มีต่อบรรดาเจ้านายคือการขาดความสามารถในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ทั้ง ๆ ที่กรุงเทพฯ ให้โอกาสในการเข้ารับราชการก่อนคนกลุ่มอื่น ๆ โดยให้มีตําแหน่งหน้าที่ตามโครงสร้างการปกครองแบบใหม่(34)
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในยุโรปทําให้คนกลุ่มต่าง ๆ ที่ไม่พอใจการปกครองของอังกฤษและฝรั่งเศส เริ่มรวมตัวกันขับไล่ ในมณฑลพายัพมีข่าวการรวมกลุ่มต่อต้านอังกฤษหลายกรณี เช่น กรณีเจ้าเมืองพม่า ชื่อ เม่งกุน เข้ามาเกลี้ยกล่อมชาวพม่าในมณฑลพายัพ และซ่องสุมผู้คนเพื่อตีเอาพม่ากลับคืน มีการระดม พรรคพวกโดยการแจกการ์ดเชื้อเชิญพ่อค้าไม้ชาวพม่าให้เข้าร่วม เหตุที่กลุ่มของเจ้าเม่งกุนใช้เมืองเชียงใหม่เป็นฐานเพราะเห็นว่าเมืองเชียงใหม่เคยเป็นของพม่ามาก่อน โดยกลุ่มเจ้าเม่งกุนได้วางตัวพม่าไว้ทุกตําบล และนัดกันแย่งชิงอาวุธตามโรงพัก เมื่อกรุงเทพฯ สั่งสอบสวนเรื่องนี้ พบหลักฐานน่าเชื่อถือหลายอย่าง เช่น รายชื่อเจ้านายและขุนนางล้านนา รวมทั้งพวกพ่อค้าพม่าที่ได้รับหนังสือไว้จํานวนหนึ่ง ทั้งในเมืองเชียงราย เมืองเชียงแสน เมืองเชียงของ เมืองลําปาง เมืองแพร่ และเมืองเชียงใหม่ อีกทั้งมีข่าวว่าเจ้าเม่งกุนได้เกลี้ยกล่อม ให้เจ้าเมืองลําพูนเข้าร่วมด้วย(35)
ทั้งนี้ในมณฑลพายัพหรือหัวเมืองลาวล้านนามีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ อาศัยปะปนอยู่กับชาวพื้นเมืองจํานวนมาก นอกจากพม่าแล้วยังมีไทยใหญ่หรือเงี้ยว ซึ่งทําการค้าจํานวนไม่น้อย ตัวอย่างครอบครัวคหบดีชาว ไทยใหญ่ในเมืองลําปาง แม้ว่าจะมีการปราบปรามกบฏเงี้ยวครั้งใหญ่ในเมืองแพร่ตั้งแต่ พ.ศ. 2445 แต่เงี้ยวที่อาศัยอยู่ตามรอยต่อเขตแดนยังได้สร้างปัญหาโดยไม่ยอมรับอํานาจการปกครองของสยาม เมื่อก่อคดีมักหนีข้ามแม่น้ำโขงไปยังเขตแดนของอังกฤษและฝรั่งเศส(36)
นอกจากนี้ยังมี ขมุ มูเซอ แม้ว เย้า และชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูง ซึ่งอํานาจการปกครองของ สยามยังไม่สามารถเข้าถึงเช่นกัน ปัญหาซึ่งเกิดจากความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นคนในบังคับ ตะวันตกซึ่งเคลื่อนย้ายไปมาตามชายแดนแม่น้ำโขงในมณฑลพายัพมีมากขึ้นนับตั้งแต่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากฝรั่งเศสติดพันสงครามกับเยอรมนีจึงถอนทหารฝรั่งเศสที่เป็นกองหนุนและพวกที่ทําป่าไม้ไปร่วมรบ ทําให้ฮ่อ เงี้ยว ญวน ไทดํา และกลุ่มอื่น ๆ ถือโอกาสลุกขึ้นต่อต้าน
ครอบครัวคหบดีไทยใหญ่ (เงี้ยว) ในเมืองลำปาง (ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น ทัศนคติของชนชั้นนําสยามที่มีต่อราษฎรฝั่งขวาแม่น้ำโขง ซึ่งได้แก่ มณฑลอุดร มณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด ไม่ต่างจากมณฑลพายัพมากนัก คือมีความวิตกกังวลกับ การก่อการจลาจลของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ริมแม่น้ำโขง เนื่องจากฝรั่งเศสต้องถอนทหารบางส่วนออกไปร่วมรบในสงคราม ฝรั่งเศสจึงเกรงว่าราษฎรฝั่งซ้าย โดยเฉพาะชาวญวนซึ่งมีจํานวนมากอาจก่อการจลาจล จึงขอร้องให้สยามช่วยตรวจตราผู้ที่ตนเห็นว่าเป็นอันตราย
หลักฐานทางราชการจํานวนมากในช่วงนี้ชี้ให้เห็นถึงความกังวลร่วมกันของฝรั่งเศสและสยาม ตัวอย่างเช่นพื้นที่แถบเมืองหนองคายและนครพนม กอมมิแซฝรั่งเศสจากเมืองสุวันเขตได้ข้ามฝั่งมาปรึกษาพระบริหารราชอาณาเขตร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ให้ช่วยจับญวนองฮาย (หรือกองกาว) ที่เมืองมุกดาหาร และญวนอื่น ๆ อีก 15 คน เนื่องจากยุยงให้ก่อการร้าย โดยนําข่าวหนังสือพิมพ์ไปโฆษณากับญวนฝั่งซ้ายว่า เยอรมันจะให้เงินช่วยและคืนเอกราชให้กับญวน กอมมิแซฝรั่งเศสได้อ้างถึงความเดือดร้อนจากการที่สยามมีอาณาเขตติดต่อกับทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส หากเกิดความไม่สงบทางชายแดน สยามจะได้รับความลําบากเช่นกัน(37)
ในขณะที่ทัศนคติของชนชั้นนําสยามที่มีต่อหัวเมืองลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้ง ที่ 1 คือการยอมรับว่าราษฎรลาวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเป็นคนที่อยู่ภายใต้การปกครองของ ฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นอีกประเทศหนึ่งต่างหาก และมีความกังวลที่จะเกิดการจลาจลทั้งในเมืองสิบสองจุไทและสิบสองปันนา ทําให้สยามต้องคอยระวังตรวจตราไม่ให้พวกที่ต้องการทําร้ายฝรั่งเศสมาใช้ดินแดนสยามในการซ่องสุมอาวุธและผู้คน(38)
แม้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลงแต่ยังคงมีข่าวการจลาจลที่ทําให้สยามต้องกวดขันดูแลพื้นที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงอยู่เป็นระยะ เช่น ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2462 พวกฮ่อ แม้ว เงี้ยว ญวน และลาวราว 27,000 คน สมคบกันเป็นกบฏต่อฝรั่งเศสและเข้าตีเมืองซําเหนือ เมืองห้วยทราย หลวงพระบางและเมืองขึ้นได้หลาย เมือง ตัวเจ้าเมืองหลวงพระบางถูกฝรั่งเศสควบคุมตัวไว้และให้เจ้าสาธุคําตัน ลูกเจ้าเมืองหลวงพระบางคุมไพร่เตรียมการรบ
เหตุการณ์จลาจลครั้งนี้มีคนหลายกลุ่มเข้าร่วมและกระจายไปหลายเมือง โดยมีหัวหน้าเป็นเย้าชื่อบักใจ๋ มีพรรคพวก 2,000 คน เป็นคนญวน 700 คน นอกนั้นเป็นภูไท ฮ่อ ลาว จีน ลื้อ แม้ว และเย้า นอกจากฆ่ากอมมิแซฝรั่งเศสตายแล้วยังมีการปล้นปืนจากทหารฝรั่งเศสและเผาบ้านเรือนราษฎรราว 300 ครัว ทําให้ ราษฎรบางส่วนแตกหนีมาที่เมืองเชียงแสน ทางสยามได้พยายามสอบสวนสาเหตุของจลาจลและพบว่าเกิดจากการที่ฝรั่งเศสให้ลูกพระยาเมืองสอน เมืองขึ้นของเมืองหลวงพระบางไปเก็บภาษีแม้ว เย้า
พวกแม้ว เย้า ไม่พอใจจึงจับลูกพระยาเมืองสอนฆ่าทิ้ง เมื่อแม้ว เย้า กลุ่มอื่น ๆ ทราบข่าวจึงพากันมาสมทบเพิ่มเติม ในขณะที่ทหารญวนในกองทหารฝรั่งเศสเริ่มแตกหนีและเข้าร่วมกับกบฏ ส่วนญวนที่เมืองเวียงจันทน์ได้เริ่มก่อจลาจลเช่นกัน ทางมณฑลอุดรจึงกังวลว่าญวนในฝั่งขวาจะข้ามไปสมทบด้วยจึงกําชับให้เมืองหนองคายตรวจตราความสงบเรียบร้อย ในขณะที่เมืองปากลายของฝรั่งเศสเกิดกบฏเพราะฝรั่งห้ามมิให้แม้ว เย้า ปลูกฝิ่น โดยบังคับให้ซื้อจากรัฐบาล การจลาจลในครั้งนี้ฝรั่งเศสระดมทหารจากเมืองเวียงจันทน์ เขมร และเมืองอื่น ๆ มาร่วมปราบจนสงบลงในที่สุด(39)
เห็นได้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ทําให้อํานาจของอังกฤษและฝรั่งเศสในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตกต่ำลง ทั้งพม่า เงี้ยว เขมร ญวน และกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในสยามได้เคลื่อนไหวเพื่อต่อต้าน เจ้าอาณานิคม โดยคนเหล่านี้ยังคงรู้สึกผูกพันกับบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองและไม่รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่ง ของสยาม ในขณะที่ราษฎรลาวส่วนใหญ่ซึ่งชนชั้นนำสยามนับรวมว่าเป็นไทยไม่ได้สร้างความวุ่นวายในช่วงสงครามโลกและมีความจงรักภักดีต่อสยามอย่างมาก(40)
จากการที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ใช้ดินแดนสยามเป็นที่ซ่องสุมผู้คนเพื่อขับไล่เจ้าอาณานิคม ทําให้รัฐบาล สยามตระหนักถึงปัญหาการขาดความเป็นเอกภาพภายในชาติ และมีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยน นโยบายในการจัดการปกครองใหม่ โดยเน้นส่งเสริมการศึกษาให้กับคนทุกกลุ่มเพื่อลบล้างความเป็นลาวออกจากการรับรู้ของราษฎร เร่งดูแลทุกข์สุขของราษฎร ในฐานะที่เป็นพลเมืองส่วนหนึ่งของรัฐ รวมทั้งส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างกันและกันให้มากยิ่งขึ้น(41)
อย่างไรก็ตาม ชนชั้นนําสยามยังคงเห็นว่าราษฎรในมณฑลอิสาณเป็นผู้ที่ไม่ยอมปรับตัวให้เข้ากับความเจริญแบบใหม่ แต่มีข้อดีคือบังคับบัญชาได้ง่าย ๆ ในภาพรวมมณฑลอิสาณ มณฑลอุดร และมณฑลนคร ราชสีมายังคงมีปัญหาในการประกอบอาชีพ เนื่องจากความแห้งแล้งและอุปสรรคทางด้านการคมนาคมขนส่ง ซึ่งเป็นปัญหาต่อการพัฒนาประเทศ(43)
ในขณะที่หัวเมืองลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สงบลง กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงออกตรวจราชการเพื่อสืบข่าว และพบว่าอํานาจการปกครองของฝรั่งเศสอ่อนแอลงมาก และทรงเชื่อว่า สยามยังมีบทบาทกับราษฎรฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงอยู่มาก โดยเฉพาะพระราชมุนี เจ้าคณะมณฑลอุบล ซึ่งคณะสงฆ์เมืองจําปาศักดิ์และเมืองสีทันดรยอมรับในความรอบรู้ทางด้านพระพุทธศาสนา จนข้ามแม่น้ำโขงมาปรึกษาอยู่เนือง ๆ พระองค์ทรงบันทึกไว้ว่า
“…เห็นได้ชัดว่าในทางใจเรายังเปนใหญ่อยู่ในดินแดนใกล้เคียง กับพระสงฆ์แล้วราษฎรบอกตรงว่าเปนคนละต่างหากแต่ในทางปกครองเท่านั้น ในทางใจยังคงนับว่าเป็นพวกเดียวกัน อย่างเดิมโดยแท้…”(44)
แสดงว่าในทัศนะของพระองค์ ราษฎรลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงยังคงมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันกับสยาม อย่างไรก็ตาม สยามไม่สามารถดึงหัวเมืองลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของตนได้ ทําได้เพียงส่งเชื้อพระวงศ์และข้าราชการชั้นสูงออกตรวจราชการและร่วมมือกับฝรั่งเศสเพื่อพัฒนาเส้นทางการค้า การสื่อสาร การคมนาคม และการปักปันเขตแดน โดยเล็งเห็นประโยชน์ทางการปกครองและ เศรษฐกิจร่วมกัน
ใน พ.ศ. 2462 กรมขุนกําแพงเพ็ชรอัครโยธิน เสด็จตรวจราชการในอินโดจีน ในรายงานตอนหนึ่ง พระองค์ทรงเรียกคนลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงว่า “ไทย” ในตอนที่อธิบายว่าฝรั่งเศสต้องการสร้างถนนเพื่อทําให้คนเขมร ญวน และลาว ไปมาหาสู่กันได้ง่ายและรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน ความว่า “…it will serve to make the people such as the Cambodians, An Amites, and Thai, feel like one people and under one administrations…”(45)
การเรียกราษฎรฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงว่าเป็นไทย เป็นความพยายามเปลี่ยนแปลงการรับรู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนลาวดังที่เคยเข้าใจกันมา ซึ่งก็คงเกิดจากผลประโยชน์ทางการปกครอง
“แคนวงของทหารเมืองอุบลราชธานีสมัยรัชกาลที่ 5 (ภาพจากหนังสือ ร้องรำทำเพลง : ดนตรีและนาฏศิลป์ชาวสยาม)” แคนถือเป็นเครื่องดนตรีร่วมระหว่างไทยกับลาว แต่ในปัจจุบันยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน “เสียงแคนของลาว” เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้
การรับรู้และทัศนคติของไทยต่อคําว่า “ลาว” สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การเสด็จประพาสมณฑลพายัพของพระองค์เป็นการเน้นย้ำ ให้บรรดาเจ้านายและราษฎรเห็นว่าอํานาจการปกครองสูงสุดอยู่ที่กษัตริย์สยามแต่เพียงผู้เดียว และมีพระราชประสงค์สร้างความเป็นเอกชาติด้วยการลบภาพความเป็นลาวออกจากราษฎรมณฑลพายัพอย่างเด็ดขาด(46)
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 วิธีการต่าง ๆ ที่รัฐบาลสยามได้พยายามสร้างการรับรู้ ใหม่ว่า ราษฎรในมณฑลพายัพไม่ใช่คนลาวดังที่เข้าใจกันมายังคงไม่ประสบความสําเร็จมากนัก เนื่องจากมีข่าวว่าจังหวัดเชียงใหม่ภายใต้การนําของเจ้าแก้วนวรัฐ อาจแยกตัวเป็นอิสระ(47) และราษฎรทั่วไปยังคงมีความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างไทยและลาว(48)
จนถึง พ.ศ. 2482 ความรู้สึกแบ่งแยกดังกล่าวยังคงมีอยู่ จากข้อสังเกตของหลวงธํารงนาวาสวัสดิ์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นตัวแทนรัฐบาลไปร่วมงานพระศพเจ้าแก้วนวรัฐ และเสนอว่าหากรัฐบาลหมั่นโฆษณาว่าคนลาวเหล่านั้นมีเชื้อชาติไทยเช่นเดียวกันจะช่วยทําให้พวกเขาเกิดความภูมิใจและลดการแบ่งแยกระหว่างไทย-ลาวได้ในที่สุด(49)
ในขณะที่การรับรู้และทัศนคติของชนชั้นนําสยามที่มีต่อราษฎรที่อาศัยอยู่ในหัวเมืองลาวฝั่งขวาแม่น้ำโขง หรือมณฑลภาคอีสานในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คือยอมรับว่าราษฎรเหล่านี้เป็นคน ไทย แต่มีความล้าหลังในด้านความเชื่อ การศึกษา และการประกอบอาชีพ ในแง่ดีคือราษฎรในภูมิภาคนี้เป็นผู้รักความสงบ ปกครองง่าย เป็นคนมักน้อย ใช้ชีวิตอย่างสมถะ และไม่ค่อยมีคดีความอุกฉกรรจ์(50)
อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของข้าราชการท้องถิ่นกลับเห็นว่าภูมิภาคนี้ยังเสี่ยงต่อการเข้าแทรกแซงของฝรั่งเศส(51)ในทางกลับกันราษฎรที่อาศัยอยู่ในภาคอีสานเองรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างไทย (กรุงเทพฯ) และลาว (ภาคอีสาน) รวมถึงมีความรู้สึกว่าตนเองได้รับการดูถูกจากภูมิภาคอื่น ๆ และเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจที่ภูมิภาคของตนไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเท่าเทียมกับภาคอื่น ๆ(52)
ส่วนหัวเมืองลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง การเสด็จประพาสอินโดจีนของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทําให้ความสัมพันธ์ระหว่างสยามและฝรั่งเศสดีขึ้นตามลําดับ แต่จากการที่ฝรั่งเศสเปิดโอกาสให้ราษฎรฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงได้เลือกตั้งผู้แทนพลเมืองเพื่อลดการต่อต้านจากชาวลาวและเวียดนาม(53) ประกอบกับความเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ในอินโดจีน(54) ซึ่งเกี่ยวข้องกับราษฎรทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำโขง และไม่เป็นผลดีต่อระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสยาม ทําให้ชนชั้นนําสยามต้องเพิ่มความเอาใจใส่หัวเมืองลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมากขึ้น
การรับรู้และทัศนคติของส่วนกลาง (กรุงเทพฯ) หรือราษฎรในภาคอื่น ๆ ที่มีต่อกลุ่มคนลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำ โขง (สปป.ลาว) คือการแบ่งแยกว่าเป็นประชากรของอีกประเทศหนึ่ง แต่มีลักษณะคล้ายคลึงกับราษฎรภาคอีสาน โดยเฉพาะราษฎรที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งในทัศนะของ โซเร็น อิวาร์สสัน (Soren Ivarsson) เห็นว่าองค์ประกอบพื้นฐานในการรวมเป็นประเทศคือการมีประวัติศาสตร์ ภาษา และศาสนาร่วมกัน(56)
ดังนั้น การที่คนไทยทั่วไปเรียกผู้คนที่อาศัยอยู่ในภาคอีสานโดยเฉพาะฝั่งขวาแม่น้ำโขงว่าเป็นคนลาวเช่นเดียวกันกับคนลาวที่อาศัยอยู่ในประเทศ สปป.ลาว เนื่องจากเห็นว่าคนทั้ง 2 กลุ่มนี้ มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาร่วมกัน มีภาษาพูดเดียวกัน มีวัฒนธรรมร่วมกัน แต่ถูกแบ่งแยกด้วยเส้นเขตแดนประเทศและแนวคิดเรื่องรัฐชาติซึ่งเกิดขึ้นภายหลัง 

ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมกราคม 2556
ผู้เขียน : ผศ.ดร.เนื้ออ่อน ขวัรทองเขียว
เผยแพร่ : วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2564
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 13 พฤศจิกายน 2562
หมายเหตุ : บทความในนิตยสารชื่อ การรับรู้และทัศนคติของไทยต่อคำว่า “ลาว”
web :
https://www.silpa-mag.com/history/article_41612