ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จักกวัตติสูตรศึกษา ตอนที่ ๑๑-๑๕  (อ่าน 2775 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
จักกวัตติสูตรศึกษา ตอนที่ ๑๑-๑๕
« เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2021, 10:01:44 am »
0


จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๑) : ดำเนินความตามจักกวัตติสูตร

พระราชาองค์ที่ ๘ ไม่ได้ใช้หลักจักรวรรดิวัตรปกครองบ้านเมือง หากแต่ปกครองตามความคิดความเห็นความพอใจของพระองค์เอง ประชาราษฎรก็ไม่ได้รับความสุขเหมือนสมัยก่อน อาการที่เกิดขึ้นจากการปกครองตามความคิดความเห็นความพอใจของพระองค์เอง พระสูตรบรรยายไว้ว่า

     ตสฺส สมเตน ชนปทํ ปสาสโต น ปุพฺเพนาปรํ ชนปทา ปจฺจนฺติ ยถา ตํ ปุพฺพกานํ ราชูนํ อริเย จกฺกวตฺติวตฺเต วตฺตมานานํ ฯ
     เมื่อท้าวเธอทรงปกครองประชาราษฎร์ตามพระมติของพระองค์เอง ประชาราษฎร์ก็ไม่เจริญต่อไปเหมือนเก่าก่อน เหมือนเมื่อกษัตริย์พระองค์ก่อนๆ ซึ่งได้ทรงประพฤติในจักรวรรดิวัตรอันประเสริฐอยู่

______________________________________________
ที่มา : จักกวัตติสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๓๘

@@@@@@@

อรรถกถาขยายความว่า

ชนปทา น ปพฺพนฺตีติ น วฑฺฒนฺติ. ยถา ตํ ปุพฺพกานนฺติ ยถา ปุพฺพกานํ ราชูนํ ปุพฺเพ จ ปจฺฉา จ สทิสาเยว หุตฺวา ปจฺจึสุ. ตถา น ปจฺจนฺติ กตฺถจิ สุญฺญา โหนฺติ หตวิลุตฺตา, เตลมธุผาณิตาทีสุ เจว ยาคุภตฺตาทีสุ จ โอชาปิ ปริหายิตฺถาติ อตฺโถ.

คำว่า ชนปทา น ปจฺจนฺติ หมายความว่า บ้านเมืองไม่เจริญ
คำว่า ยถา ตํ ปุพฺพกานํ หมายความว่า รัชกาลก่อนๆ รัชกาลต้นกับรัชกาลหลังบ้านเมืองเจริญทัดเทียมกัน (แต่ในสมัยพระราชาองค์ใหม่นี้) บ้านเมืองไม่ได้เจริญแบบนั้น คือมีแต่ว่างเปล่า (อะไรที่เคยมีก็หายไปหมด) ถูกทำลายถูกแย่งชิงไปทุกแห่ง กินความไปถึงว่า แม้โอชาในน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อยเป็นต้น และในยาคูและอาหารเป็นต้นก็เสื่อมไป

__________________________________________
ที่มา : สุมังคลวิลาสินี ภาค ๓ หน้า ๕๗ (จกฺกวตฺติสุตฺตวณฺณนา)

@@@@@@@

เมื่อสภาพของบ้านเมืองเป็นเช่นนี้ จะทำอย่างไรกัน.?
ปัญหามีตั้งแต่-ที่ว่า “จะทำอย่างไรกัน” นั้น ใครจะเป็นผู้ทำ.?

ตามหลักแล้ว พระราชาจะต้องเป็นผู้ทำคือ เป็นผู้แก้ปัญหาในฐานะที่เป็นผู้ปกครองบ้านเมือง แต่ในเมื่อพระราชานั่นเองเป็นผู้สร้างปัญหาเสียเองเช่นนี้ ใครเล่าจะเป็นผู้แก้ไข

ในที่สุดก็มีบุคคลกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเข้าไปเฝ้าพระราชา กราบทูลสภาพความเป็นไปของบ้านให้ทรงทราบ และขอให้พระราชาทรงนำเอาหลักจักรวรรดิวัตรมาใช้บริหารบ้านเมืองเหมือนพระราชาในรัชกาลก่อนๆ ถ้าไม่ทรงทราบหลักจักรวรรดิวัตรก็ขอให้ตรัสถามผู้รู้ซึ่งมีอยู่ในบ้านเมือง

ควรสังเกตว่า เหตุการณ์ตอนนี้

     (๑) ไม่เอ่ยถึงจักรแก้ว คือไม่ได้กล่าวถึงว่าพระราชาองค์ใหม่พยายามปฏิบัติพระองค์เพื่อให้จักรแก้วประจำพระองค์เกิดขึ้นเหมือนพระเจ้าจักรพรรดิองค์ก่อนๆ เป็นอันว่าเรื่องจักรแก้วเลิกพูดกันอีกต่อไป
     (๒) ผู้ที่รวมตัวกันเข้าไปกราบทูลพระราชาไม่ได้กราบทูลให้พระราชาไปปรึกษาหาทางแก้ปัญหากับราชฤษีเหมือนกับที่พระเจ้าจักรพรรดิองค์ก่อนๆ ได้เคยกระทำ อาจจะเป็นเพราะราชฤษีล่วงลับดับขันธ์ไปแล้วก็เป็นได้ จึงได้แต่กราบทูลให้ตรัสถามเอาจากผู้รู้ในบ้านเมือง

     นี่เป็นความเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ความผิดพลาดอื่นๆ ที่จะเกิดตามมาอีก
     ประเด็นที่ผมเห็นว่าน่าสนใจเป็นพิเศษก็คือ กลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันเข้าไปเฝ้ากราบทูลปัญหาให้พระราชาทรงทราบ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่เริ่ม “นับหนึ่ง” หรือขยับตัวเพื่อแก้ปัญหา ถ้าไม่คนกลุ่มนี้ จุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาก็เกิดมีขึ้นไม่ได้

คนกล่มนี้เป็นใครกันบ้าง ต้นฉบับบาลีพระไตรปิฎกใช้ศัพท์ว่า
อมจฺจา ปาริสชฺชา คณกมหามตฺตา อนีกฏฺฐา โทวาริกา มนฺตสฺสาชีวิโน

_______________________________________________
ที่มา : จักกวัตติสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๓๘

@@@@@@@

พระไตรปิฎกฉบับแปลเป็นไทยท่านแปลไว้ดังนี้

     อมจฺจา ปาริสชฺชา = คณะอำมาตย์ข้าราชบริพาร
     คณกมหามตฺตา = โหราจารย์และมหาอำมาตย์
     อนีกฏฺฐา = นายกองช้างนายกองม้า
     โทวาริกา = คนรักษาประตู
     มนฺตสฺสาชีวิโน = คนเลี้ยงชีพด้วยปัญญา

คัมภีร์อรรถกถาขยายความชื่อบุคคลเหล่านี้ไว้ดังนี้

อมจฺจา ปาริสชฺชาติ อมจฺจา เจว ปริสาวจรา จ.
คำว่า อมจฺจา ปาริสชฺชา หมายถึง เหล่าอำมาตย์และผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในสังคม (ปริสาวจรา = one who moves in the society- PTS Dict.)

คณกมหามตฺตาติ อจฺฉินฺทิกาทิปาฐคณกา เจว มหาอมจฺจา จ.
คำว่า คณกมหามตฺตา หมายถึง เหล่าโหรผู้ชำนาญในคัมภีร์เช่นคัมภีร์อัจฉินทิกะ ว่าด้วยการทำนายผ้าขาดเป็นต้น และเหล่าอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่

อนีกฏฺฐาติ หตฺถิอาจริยาทโย.
คำว่า อนีกฏฺฐา หมายถึง พวกอาจารย์ทั้งหลายมีควาญช้างเป็นต้น

โทวาริกาติ ทฺวารรกฺขิโน.
คำว่า โทวาริกา หมายถึง ผู้รักษาประตู

มนฺตสฺสาชีวิโนติ มนฺตา วุจฺจติ ปญฺญา, ตํ นิสฺสาย กตฺวา เย ชีวนฺติ ปณฺฑิตา มหามตฺตา, เตสํ เอตํ นามํ.
ในคำว่า มนฺตสฺสาชีวิโน ปัญญาเรียกว่า มนฺต (มนต์ = วิชาความรู้) ผู้ที่อาศัยปัญญาเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ เป็นบัณฑิต เป็นมหาอำมาตย์ คำว่า มนฺตสฺสาชีวิโน เป็นชื่อของคนเหล่านั้น

_________________________________________
ที่มา : สุมังคลวิลาสินี ภาค ๓ หน้า ๕๗ (จกฺกวตฺติสุตฺตวณฺณนา)

@@@@@@@

ผมชวนให้ศึกษาสังเกตเพื่อให้จับตาดูว่า กลุ่มคนที่มักจะทำหน้าที่เคลื่อนไหวเมื่อมีปัญหาสังคมมักจะเป็นคนกลุ่มไหน และควรจะเป็นคนกลุ่มไหน ในทัศนะของผม และด้วยการตีความตามรูปศัพท์บาลี ผมเห็นว่าบุคคลที่ระบุสถานะไว้ในพระสูตรนี้ว่าเป็นผู้รวมตัวกันเข้าไปเฝ้าพระราชาเพื่อแก้ปัญหาของบ้านเมือง ถ้าเทียบกับบุคคลในปัจจุบันน่าจะได้แก่กลุ่มคนต่อไปนี้

    อมจฺจา = ข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูง
    ปาริสชฺชา = ผู้มีตำแหน่งหน้าที่ระดับต่างๆ ในสังคม
    คณกมหามตฺตา = ผู้ทำงานด้านการประเมินหรือประมวลผล เช่นนักวางแผนและกำหนดโครงการเป็นต้น
    อนีกฏฺฐา = ผู้นำในสายอาชีพหลักๆ ของสังคม
    โทวาริกา = ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานรักษาความปลอดภัยทุกระดับ (เช่นทหารเป็นต้น)
    มนฺตสฺสาชีวิโน = ครูบาอาจารย์และปัญญาชน

    ถ้าบ้านเมืองมีปัญหา แล้วถามกันว่าใครควรจะเป็นแกนนำในการแก้ปัญหา ก็ควรชี้ไปที่คนกลุ่มดังที่กล่าวนี้ และคนกลุ่มนี้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า-ไม่ใช่หน้าที่

    เพราะฉะนั้น เมื่อบ้านเมืองมีปัญหา แล้วเราเห็นคนในกลุ่มเหล่านี้ออกมาเคลื่อนไหว ก็ไม่ควรจะสงสัยอีกต่อไป เพราะเขาทำกันมาตั้งแต่ยุคสมัยที่มนุษย์มีอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปีโน่นแล้ว แต่ก็อย่าเพิ่งจบแค่-ใครออกมาเคลื่อนไหว แต่ควรจะศึกษาสังเกตต่อไปให้เห็นวิธีเคลื่อนไหวด้วยว่าเขาทำกันอย่างไร

     แต่ที่แน่ๆ ตามที่ปรากฏในพระสูตรนี้ เขาไม่ได้ใช้วิธีออกมาด่าพระราชาตามท้องถนนดังที่คนในบางประเทศนิยมใช้กันในปัจจุบัน หากแต่เขามีความเป็นสุภาพชนและข้อสำคัญ-เขากล้าหาญพอที่จะเข้าไปพูดกับพระราชาของพวกเขาตรงๆ แบบ-ตัวต่อตัว หรือแบบ-จับเข่าคุยกันนั่นเลย





ขอขอบคุณ :-
บทความของ : นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย, ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๔ ,๑๘:๓๖ น.
web : dhamma.serichon.us/2021/08/22/จักกวัตติสูตรศึกษา-๑๑/
posted date : 22 สิงหาคม 2021 ,By admin.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: จักกวัตติสูตรศึกษา ตอนที่ ๑๑-๑๕
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2021, 09:36:02 am »
0



จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๒) : ดำเนินความตามจักกวัตติสูตร

เมื่อพระราชาพระองค์ที่ ๘ ได้ฟังคำกราบทูลของคณะบุคคลที่เข้าเฝ้าให้ใช้หลักจักรวรรดิวัตรปกครองบ้านเมือง ก็ตรัสสอบถามถึงจักรวรรดิวัตร ผู้ที่จำทรงหลักจักรวรรดิวัตรไว้ได้ก็กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ พระราชาก็กลับมาใช้หลักจักรวรรดิวัตรปกครองบ้านเมืองเหมือนเมื่อครั้งก่อน

แต่ถึงดังนั้น ก็ทรงบกพร่องไปข้อหนึ่ง นั่นคือ
โน จ โข อธนานํ ธนมนุปฺปทาสิ ฯ
ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่ผู้ไร้ทรัพย์

คงจำกันได้ว่า ในจักรวรรดิวัตร ๕ ข้อ หรือ ๑๒ ข้อนั้น มีข้อหนึ่งว่า
เย จ เต ตาต วิชิเต อธนา เตสญฺจ ธนํ อนุปฺปทชฺเชยฺยาสิ
ดูก่อนพ่อ อนึ่ง บุคคลเหล่าใดในแว่นแคว้นของพ่อไม่มีทรัพย์ พ่อพึงให้ทรัพย์แก่บุคคลเหล่านั้นด้วย

ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ผู้จัดทำพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ถอดความว่า
ผู้ใดไม่มีทรัพย์ก็มอบทรัพย์ให้ / เพิ่มให้ทรัพย์แก่ผู้ไม่มีทรัพย์

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) นำมาแสดงไว้ว่า
4. ธนานุประทาน (ปันทรัพย์เฉลี่ยให้แก่ชนผู้ไร้ทรัพย์ มิให้มีคนขัดสนยากไร้ในแว่นแคว้น — Dhanānuppadāna : to let wealth be given or distributed to the poor)

@@@@@@@

คำว่า “โน จ โข อธนานํ ธนมนุปฺปทาสิ = ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่ผู้ไร้ทรัพย์”

ถ้าถอดความให้ครอบคลุมก็น่าจะหมายรวมถึงบริหารจัดการเรื่องเศรษฐกิจล้มเหลว เมื่อเศรษฐกิจพัง คนก็จนกันมากขึ้น ทำอย่างไรจะรอดได้ ก็ทำกันทุกวิถีทาง ในที่สุดก็เกิดพฤติกรรมที่ไม่เคยเกิดมาก่อน นั่นคือ อทินนาทาน การลักขโมยกัน

     ตรงนี้ทำให้นึกถึงวาทกรรมหรือคำคมของใครก็ไม่ทราบที่เคยพูดกันว่า
    “ถ้าท้องหิว คนจะปฏิบัติธรรมอยู่ได้อย่างไร”
     คือ คนพูดต้องการจะแย้งว่า อย่าเอาแต่สอนธรรมะท่าเดียว ต้องคิดถึงปากท้องของประชาชนด้วย เพียงแต่ว่าสมัยอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี กับสมัยอายุขัย ๑๐๐ ปี บริบทมันต่างกัน สมัยโน้นผู้คนประพฤติธรรมกันทั้งแผ่นดิน ไม่มีความดีอะไรที่เมื่อรู้ว่าดีแล้วคนจะไม่ทำ แต่สมัยนี้ อธรรมแพร่หลายไปทั่วแผ่นดิน ไม่มีความชั่วอะไรที่คนจะทำไม่ได้ คนสมัยโน้นแม้ท้องหิวก็ยังไม่ทิ้งธรรม

แต่คนสมัยนี้ต่อให้ท้องอิ่มก็ทำชั่วได้ พูดสั้นๆ สมัยนี้ แม้ท้องอิ่มก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะประพฤติธรรม และในทางกลับกัน-แม้ท้องหิวก็ใช่ว่าจะต้องทำชั่วกันทุกคนไป เพราะฉะนั้น เวลาจะแก้แทนให้ใครว่า เขาทำชั่วเพราะความหิว ก็ต้องดูบริบทให้ทั่วถึงด้วย


@@@@@@@

สรุปว่า มนุษย์เริ่มทำชั่วอย่างแรก คือ อทินนาทาน-การขโมย และเมื่อจับขโมยได้ก็เอาตัวมาสอบสวน พระราชาทรงสอบสวนเอง สำนวนการสอบสวนน่าสนใจ ขออนุญาตนำมาเสนอพร้อมทั้งคำบาลีเพื่อเจริญปัญญา ญาติมิตรที่อ่านเรื่องนี้ ขอความกรุณาอย่าเพิ่งรำคาญว่าเอาคำบาลีมาใส่ไว้รุงรังไปหมด ไม่ถนัดอ่านคำบาลีก็ข้ามไปได้ เมื่อใดสนใจอยากจะดูสำนวนต้นฉบับก็มีให้ดู

สจฺจํ กิร ตฺวํ อมฺโภ ปุริส ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยสีติ ฯ
พ่อบุรุษ ได้ยินว่าเธอขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไปจริงหรือ

สจฺจํ เทวาติ ฯ
จริงพระพุทธเจ้าข้า

กึการณาติ ฯ
เพราะเหตุไร

น หิ เทว ชีวามีติ ฯ
เพราะไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพพระพุทธเจ้าข้า

ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงพระราชทานทรัพย์ให้แก่เขา แล้วรับสั่งว่า

อิมินา ตฺวํ อมฺโภ ปุริส ธเนน อตฺตนา จ ชีวาหิ
พ่อบุรุษ ทรัพย์นี้เธอจงใช้เลี้ยงชีพ

มาตาปิตโร จ โปเสหิ
เลี้ยงมารดาบิดา

ปุตฺตทารญฺจ โปเสหิ
เลี้ยงบุตรภรรยา

กมฺมนฺเต ปโยเชหิ
ใช้เป็นทุนประกอบการงาน

สมเณสุ พฺราหฺมเณสุ อุทฺธคฺคิกํ ทกฺขิณํ ปติฏฺฐเปหิ โสวคฺคิกํ สุขวิปากํ สคฺคสํวตฺตนิกนฺติ ฯ
ใช้ทำบุญในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย อันจะส่งผลสูงส่งเป็นความดีงามล้ำเลิศ มีสุขเป็นผล นำตนไปสู่สวรรค์นั่นเถิด

______________________________________________
ที่มา: จักกวัตติสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๓๙

@@@@@@@

ขอให้สังเกตว่า การพระราชทานทรัพย์ให้แก่ขโมยนั้นมิได้พระราชทานแบบเลื่อนลอยปล่อยส่ง เหมือนแจกเงินประชาชนตามนโยบายประชานิยมของผู้บริหารบ้านเมืองบางคน หากแต่มีคำสั่งกำกับไปด้วย เป็นการพระราชทานอย่างมีเป้าหมาย

และขอให้สังเกตเป้าหมายด้วยว่า มิใช่มุ่งเพียงทิฏฐธัมมิกประโยชน์-ประโยชน์ในชีวิตนี้เท่านั้น หากแต่มุ่งไปถึงสัมปรายิกัตถประโยชน์-ประโยชน์ในชีวิตหน้าด้วย เป้าหมายแบบนี้เราแทบจะหาไม่พบในนโยบายของผู้บริหารบ้านเมืองยุคปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม นโยบายแจกเงินให้หัวขโมยได้กลายเป็นความผิดพลาดที่คาดไม่ถึง นำไปสู่ปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลไปถึงอนาคตของมนุษยชาติในกาลต่อไปด้วย





ขอขอบคุณ :-
บทความของ : นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ม๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ ,๑๑:๓๗ น.
web : dhamma.serichon.us/2021/08/22/จักกวัตติสูตรศึกษา-๑๒/
Posted date : 22 สิงหาคม 2021 By admin.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 16, 2021, 10:19:50 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: จักกวัตติสูตรศึกษา ตอนที่ ๑๑-๑๕
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2021, 09:57:15 am »
0


จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๓) : ดำเนินความตามจักกวัตติสูตร

เป็นอันว่า พระราชาองค์ที่ ๘ หลังจากปกครองบ้านเมืองตามความพอใจส่วนพระองค์อยู่ระยะหนึ่ง ก็กลับมาใช้หลักจักรวรรดิวัตรปกครองบ้านเมืองตามข้อเสนอแนะของกลุ่มบุคคลต่างๆ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ใช้หลัก “ธนานุประทาน” คือการจัดการเรื่องทุนทรัพย์ในการเลี้ยงชีพและทุนในการทำมาหากินของประชาราษฎร อันเป็นส่วนหนึ่งของหลักจักรวรรดิวัตร จึงทำให้คนยากจนแก้ปัญหาด้วยการขโมย ทางการก็แก้ปัญหาด้วยการให้ทุนเลี้ยงชีพและทุนทำมาหากินแก่พวกขโมย

การแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้กลายเป็นผลร้ายเกินคาด นั่นคือ ประชาชนพากันขโมยของผู้อื่นแล้วให้ทางการจับ เพราะรู้ว่าเมื่อขโมยแล้วถูกจับ ทางการจะสงเคราะห์ให้ทุนเลี้ยงชีพและทุนทำมาหากิน การผิดศีลข้ออทินนาทานจึงแพร่ระบาดไปทั่วแผ่นดิน

ทางการเห็นว่าใช้วิธีนั้นเท่ากับส่งเสริมให้คนเป็นขโมย ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา จึงยกเลิกวิธีให้ทุน เปลี่ยนเป็นใช้มาตรการเด็ดขาด ใครขโมย ถูกจับได้ ประหารชีวิต! กรรมวิธีในการประหารชีวิตกระทำดังนี้

ตํ ปุริสํ ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหุํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา
ใช้เชือกเหนียวๆ จับหัวขโมยนั้นเอามือไพล่หลังมัดให้แน่น

ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา
โกนศีรษะให้โล้นด้วยมีดโกน

ขรสฺสเรน ปณเวน รถิยาย รถิยํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ ปริเนตฺวา
แล้วพาตระเวนตามถนน ตามตรอก พร้อมทั้งตีกลองประหารเสียงอึกทึกครึกโครม

ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา
ออกทางประตูด้านทักษิณ

ทกฺขิณโต นครสฺส สุนิเสธํ นิเสเธสุํ มูลฆจฺฉํ อกํสุ สีสมสฺส ฉินฺทึสุ ฯ
ตัดศีรษะขโมยนั้นที่นอกเมืองทิศทักษิณ (ทั้งนี้เท่ากับ) เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดขโมยขึ้นอีก (และ) เป็นการขุดรากถอนโคนกันเลย

______________________________________________
ที่มา: จักกวัตติสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๔๐

@@@@@@@

ถึงตอนนี้ ผมเห็นว่ามีเรื่องที่ควรอภิปรายกัน ๒ เรื่อง คือเรื่องการบริหารงานด้วยความความเห็นส่วนตัว และเรื่องโทษประหาร

เรื่องที่ ๑. ในเมื่อนำหลักจักรวรรดิวัตรกลับมาใช้แล้ว ทำไมพระราชาองค์ที่ ๘ จึงไม่ใช่หลัก “ธนานุประทาน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิวัตรด้วย ทำไมจึงยกเลิกหรือละเว้นไปเสีย การไม่ใช้วิธี “ธนานุประทาน” นี้เองที่เป็นเหตุให้เกิดปัญหาใหญ่คือความยากจน ความยากจนทำให้เกิดขโมย ขโมยทำให้เกิดโทษประหาร

สันนิษฐานว่า น่าจะสืบเนื่องมาจากพระราชาองค์ที่ ๘ ทรงใช้ “สมต” หรือความเห็นส่วนพระองค์ปกครองบ้านเมือง และความเห็นส่วนพระองค์นั้นยังฝังอยู่ในพระทัย พูดง่ายๆ ว่า ยังอยากทำอะไรตามความคิดเห็นส่วนตัวอยู่นั่นเอง – มัน “มัน” ดี

หลักจักรวรรดิวัตรจะว่าอย่างไรก็ไม่ขัดข้อง แต่ขอปรับแก้ตรงนี้หน่อย-นี่คือ ใช้ความเห็นส่วนตัว อันที่จริง เพราะปกครองบ้านเมืองด้วยความเห็นส่วนตัวนั่นเองจึงเกิดปัญหา กลับมาใช้หลักจักรวรรดิวัตรก็ถือว่ากลับตัวได้ทัน แต่กลับมาพลาดตรงที่-ยังอุตส่าห์เอาความเห็นส่วนตัวเข้าไปแก้ไขหลักจักรวรรดิวัตรเสียอีก จึงทำให้เกิดปัญหาอีก ทั้งๆ ที่่น่าจะเฉลียวใจได้ตั้งแต่แรก

“ความเห็นส่วนตัว” นี้ ดูเหมือนว่าเราในสมัยนี้จะให้ความสำคัญกันมากอยู่ เหมือนกับจะพูดกันเป็นหลักว่า-ต้องเคารพความเห็นส่วนตัวของกันและกัน นั่นคือ เคารพด้วยเหตุผลเพียงว่า-มันเป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น ความเห็นนั้นจะถูกจะผิดไม่ต้องคำนึง

ค่านิยม-เคารพความเห็นส่วนตัวด้วยเหตุผลแบบนี้ ผมว่ามีอันตรายแฝงอยู่มากถ้าหากไม่ใช้เกณฑ์ถูกผิดเป็นเครื่องตัดสินกันไว้บ้าง อะไรที่เป็น “ความเห็นส่วนตัว” จะกลายเป็นถูกไปหมด-ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าไม่ถูก แต่เพราะความเกรงใจ-ให้เกียรติกัน จึงไม่กล้าค้าน สภาพอย่างนี้ก็คือที่เราพูดกันเล่นๆ (แต่คือความเป็นจริง) ว่า ไม่ใช้หลักการ แต่ใช้หลักกู

@@@@@@@

การบริหารส่วนรวมโดยใช้ความเห็นส่วนตัว ในบัดนี้กลายเป็นความชอบธรรมชนิดหนึ่งไปแล้ว ที่เห็นได้ชัดมากก็คือในหน่วยงานที่ผู้บริหารมาสู่ตำแหน่งด้วยการแต่งตั้ง (แม้แต่ที่ใช้ระบบเลือกตั้งซึ่งหลักการดี แต่เวลาปฏิบัติจริงกระบวนการเพื่อให้ได้รับเลือกตั้งก็ถูกทำให้ผิดเพี้ยนจนเห็นกันว่าเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งไม่ใช่อะไรเลย หากแต่คือเห็นการทำผิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วนั่นเอง!)

ที่น่าคิดอย่างยิ่งก็คือ วัด-ซึ่งเป็นแหล่งที่่ทำหน้าที่ศึกษาจักกวัตติสูตรโดยตรง และควรจะตระหนักถึงโทษภัยของการบริหารส่วนรวมโดยใช้ความเห็นส่วนตัวมากกว่าแหล่งอื่น กลับเป็นแหล่งที่บริหารงานโดยใช้ความเห็นส่วนตัวโดดเด่นมากเป็นพิเศษ นั่นก็คือวัด (แทบ) ทุกวัดบริหารวัดโดยใช้ความเห็นส่วนตัวของเจ้าอาวาสเป็นหลัก วัดจะไปทางไหน จะเป็นวัดแนวไหน ขึ้นอยู่กับนโยบายของเจ้าอาวาสแต่เพียงผู้เดียว เปลี่ยนเจ้าอาวาส ทิศทางของวัดก็เปลี่ยน

แต่ทั้งนี้อาจจมียกเว้นบ้างเฉพาะวัดที่มีหลักการของวัดชัดเจนแน่นอนอยู่ก่อนแล้วว่า-วัดนี้มีอะไรบ้าง ห้ามมีอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง ห้ามทำอะไรบ้าง อุปมาเหมือนมีหลักจักรวรรดิวัตรกำหนดไว้ดีแล้ว เจ้าอาวาสเพียงทำหน้าที่กำกับดูแลให้เป็นไปตามหลักการนั้นๆ เท่านั้น-เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิมีหน้าที่ปฏิบัติตามจักรวรรดิวัตรนั่นเอง วัดไหนทำได้อย่างนี้ ก็รอดตัวไป มีบ้างเหมือนกัน แต่น้อยอย่างยิ่ง

หน่วยราชการที่นิยมบริหารงานโดยใช้ความเห็นส่วนตัวเด่นชัดมาก ก็คือหน่วยทหาร อาจเป็นเพราะธรรมชาติของทหารต้องการความเด็ดขาด จริงจัง ทันที ซึ่ง “ความเห็นส่วนตัว” สามารถตอบสนองลักษณะงานแบบนี้ได้ดีที่สุด
ทหารไม่ชอบที่จะมานั่งประชุมถามกันว่าเอาไงดี แต่ชอบที่จะให้สั่งออกไปเลยว่าเอางี้


@@@@@@@

กรมในสมัยผมต้องเป็นอย่างนี้ ผมจะเอายังงี้ กองทัพในสมัยผมต้องเป็นอย่างนี้ ผมจะเอายังงี้ เพราะฉะนั้น พอเปลี่ยนเจ้ากรม เปลี่ยนผู้บัญชาการ ทิศทางของกองทัพก็มักจะเปลี่ยนไปด้วย และส่วนมากก็จะประกาศย้ำด้วยว่า ผมเกษียณแล้วใครจะเอายังไงก็ตามใจ ผมไม่ยุ่งด้วย แต่สมัยผม ผมจะเอาอย่างนี้ คือ ท่านมองอนาคตของหน่วยงานแค่เวลาที่ท่านยังอยู่ในราชการเท่านั้น ต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร “ผมไม่ยุ่งด้วย” สมบัติของแผ่นดินจึงเหมือนกับเป็นของเล่นส่วนตัว เล่นเสร็จ ท่านก็ทิ้ง ก็ท่านบอกแล้ว “ผมไม่ยุ่งด้วย”

ถ้าขยายให้กว้างไปถึงการบริหารแผ่นดิน ก็เหมือนกับประกาศว่า “ผมพ้นตำแหน่งไปแล้ว ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรผมไม่ยุ่งด้วย แต่เมื่อผมยังอยู่ในตำแหน่ง ผมจะเอาอย่างนี้”

ผลที่เกิดขึ้นจากการบริหารงานแบบนี้ก็คือ ไม่มีนโยบายอะไรที่ยั่งยืนถาวร-ซึ่งในหลายๆ เรื่องควรต้องมี ตัวอย่างเช่น
    ผู้บริหารบ้านเมือง จะอบรมกลมเกลาปลูกฝังเด็กไทย ให้มีลักษณะนิสัยเป็นเช่นไร.?
    ไม่มีใครบอกได้ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครกำหนด ไม่มีใครทำ ไม่มีใครรับผิดชอบ พวกหนึ่งมาแล้วก็ไป นโยบายที่เคยทำก็หายตามไปด้วย พวกที่มาใหม่ก็มาคิดนโยบายใหม่ พวกแล้วพวกเล่า เด็กไทยจะมีลักษณะนิสัยอย่างไรก็ปล่อยกันไปตามบุญตามกรรม

    แล้วจะแก้ไขกันอย่างไร.?
    ความจริงทางแก้นั้นมีอยู่ นั่นคือหลักอปริหานิยธรรม อยู่ในข้อแรกนั่นเลย คือ
    อภิณฺหสนฺนิปาตา สนฺนิปาตพหุลา
    หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์

__________________________________________________
ที่มา : มหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ ข้อ ๖๘

@@@@@@@

อยากจะใช้ความเห็นส่วนตัวรึ ได้เลย แต่ต้องเอามาคัดกรองกันก่อนในที่ประชุม ไม่ใช่พอคิดได้ก็สั่งตูม ฟันชัวะ แบบนั้นพลาดได้ง่าย ช่วยกันคัดกรองก่อน พลาดยากหน่อย แต่หน่วยงานของเราก็แทบจะไม่ได้เอาหลักอปริหานิยธรรมมาใช้ – พูดอย่างไม่เกรงใจ อาจไม่รู้จักด้วยซ้ำไป ยิ่งการประชุมหารือก่อนตัดสินใจสั่งการด้วยแล้ว ยิ่งแทบไม่มี ส่วนมากเราชอบคิดคนเดียว สั่งคนเดียว ใหญ่คนเดียว แล้วเราก็บอกกันว่าแบบนั้นคือนักบริหารที่มีประสิทธิภาพ

สมัยยังรับราชการ ผมเคยเป็นผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ผมใช้หลัก “หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์” ประชุมผู้บริหารภายในกองทุกสัปดาห์ ยึดหลักการ-อนุศาสนาจารย์ทหารเรือจะทำอะไรหรือจะไม่ทำอะไร ต้องออกไปจากโต๊ะประชุม ไม่ใช่ออกไปจากความต้องการของผู้อำนวยการ

    ผลปรากฏว่า เสียงตอบรับกลับมาคือ-นาวาเอกทองย้อยเป็นนักวิชาการที่ดี แต่เป็นนักบริหารที่ห่วยแตก
    เรายังติดอยู่กับระบบ-ผมจะเอายังงี้ ชัวะ
    คุณต้องทำยังงี้ ชัวะ
    ต้องเอายังงี้ ชัวะ
    ชัวะ ชัวะ ชัวะ
    แบบนี้จึงจะเป็นนักบริหารที่มีประสิทธิภาพ

หลักอปริหานิยธรรมปลูกไม่ขึ้นในการบริหารงานของหน่วยราชการไทย แต่ก็ไม่แน่ ถ้าปลูกถูกวิธี อาจจะขึ้นงามดีก็เป็นได้

ที่ว่ามานี้คือ เรื่องที่ควรอภิปรายกันเรื่องแรก-การบริหารงานด้วยความความเห็นส่วนตัว ส่วนเรื่องที่ ๒.เรื่องโทษประหาร ขอยกไปไว้ตอนหน้าครับ





ขอขอบคุณ :-
บmความของ ; นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ,๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๔ ,๑๕:๔๓ น.
web : dhamma.serichon.us/2021/08/24/จักกวัตติสูตรศึกษา-๑๓/
Posted date : 24 สิงหาคม 2021 By admin.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: จักกวัตติสูตรศึกษา ตอนที่ ๑๑-๑๕
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2021, 10:08:28 am »
0



จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๔) : ดำเนินความตามจักกวัตติสูตร

เรื่องที่ควรอภิปรายแทรก ๒ เรื่อง คือ เรื่องการบริหารงานด้วยความความเห็นส่วนตัว ได้ว่ามาแล้วในตอนก่อน อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องโทษประหาร จะได้อภิปรายในตอนนี้ ต้นเรื่องก็คือพระราชาองค์ที่ ๘ ปกครองบ้านเมืองผิดพลาด ประชาราษฎร์ยากจนลง จึงเกิดอทินนาทาน-การขโมยขึ้น ตอนแรกจับขโมยได้ ให้ทุนไปเลี้ยงตัว+ตั้งตัว ตอนหลังขโมยมากขึ้น รับมือไม่ไหว เลยเปลี่ยนเป็น-จับขโมยได้ ประหารชีวิต เป็นอันว่าการลงโทษด้วยการประหารชีวิตเริ่มใช้กันมาตั้งแต่สมัยมนุษย์มีอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี

ขอให้สังเกตว่า ยุคสมัยนั้นมนุษย์ทำชั่วกันเรื่องเดียวคืออทินนาทาน-การขโมย แต่ลงโทษถึงขั้นประหารชีวิต

ประเด็นที่ชวนคิดก็คือ สมัยเราท่านทุกวันนี้มนุษย์ทำชั่วได้สารพัดรูปแบบ พูดได้ว่าไม่มีความชั่วอะไรที่คนในสมัยนี้จะไม่ทำ แต่ที่เรารู้กันก็คือ ปัจจุบันนี้มีการรณรงค์ให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยอ้างว่าการประหารชีวิตเป็นวิธีที่ป่าเถื่อน และอ้างหลักทฤษฎีต่างๆ ที่สรุปว่าการประหารชีวิตไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง

เรื่องนี้ชวนให้คิดเทียบกับทฤษฎีครูตีเด็ก ซึ่งนักการศึกษาส่วนหนึ่งบอกว่า การตีเด็กไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง การสอนเด็กให้เป็นคนดีมีความรู้ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเฆี่ยนตี อันที่จริงเขาพูดว่าการตีเด็กเป็นวิธีที่ผิด หรือผิดพลาด หรือจะว่าเป็นวิธีที่เลวทรามต่ำช้าด้วยซ้ำไป-เทียบกับโทษประหารที่เขาบอกว่าเป็นวิธีที่ป่าเถื่อน

ขอย้ำไว้ก่อนนะครับว่า ที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะอภิปรายว่า โทษประหารถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี ควรใช้หรือควรยกเลิก และไม่ได้มีความมุ่งหมายจะให้ถกเถียงกันว่า ครูตีเด็กถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี ใครอยากถกเถียงประเด็นนั้นโปรดไปเปิดเวทีกันที่อื่น


@@@@@@@

ในที่นี้ผมเพียงชวนคิดตรงจุดที่ว่า สมัยที่คนมีคุณธรรมมาก ทำชั่วกันเรื่องเดียวคือลักขโมย เขาใช้โทษประหารชีวิตได้ อ้างว่าเพื่อตัดรากถอนโคน สมัยที่คนเสื่อมจากคุณธรรม ทำชั่วได้ทุกเรื่อง แต่ใช้โทษประหารชีวิตไม่ได้ อ้างว่าป่าเถื่อน มันเหมือนกับจะผิดฝาผิดตัว หรือกลับตาลปัตรกันอย่างไรอยู่ ใช่หรือไม่
    เทียบให้เห็นชัดๆ ขำๆ
    ทะเลาะวิวาท : จำคุกตลอดชีวิต
    ฆ่าคน : ว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไป
    คล้ายๆ กับจะเป็นแบบนั้น

อย่างไรก็ตาม ผมมีความคิดเห็นบางประการเกี่ยวกับกรณีรณรงค์ให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต ความคิดเห็นของผมก็คือ คนทำผิดไม่ว่าจะในระดับ-ควรว่ากล่าวตักเตือน หรือระดับควรจำคุก (จริงๆ) ตลอดชีวิต ก็คือคนที่มีความบกพร่องทางศีลธรรม จริยธรรม หรือความประพฤติที่ถูกที่ควร ไม่ระดับใดก็ระดับหนึ่ง ถ้าคนเรามีศีลธรรมคุณธรรมกันมากๆ การทำผิดก็จะมีน้อยลง จะเหลือแต่ที่ทำด้วยความจำเป็น หรือด้วยเหตุสุดวิสัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ทำโดยสันดาน

ความคิดเห็นของผมก็คือ ถ้าเรามีเรี่ยวแรง มีกำลัง มีทุนรอนถึงขนาดที่สามารถรณรงค์ให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตได้ เราก็ควรจะมีเรี่ยวแรง มีกำลัง มีทุนรอนที่สามารถรณรงค์ให้มีการอบรมกล่อมเกลาผู้คนในสังคมให้รักศีลธรรม ให้เห็นความสำคัญของศีลธรรม และให้ประพฤติปฏิบัติศีลธรรมกันมากๆ ด้วย ใช่หรือไม่

ทั้งนี้เพราะความบกพร่องทางศีลธรรมนั่นเองเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนเราทำผิดจนถึงต้องติดคุกหรือถูกประหารชีวิต ใช่หรือไม่

@@@@@@@

เพราะฉะนั้น ถ้าผู้คนในสังคมรักศีลธรรม เห็นความสำคัญของศีลธรรม และประพฤติปฏิบัติศีลธรรมกันมาก การทำผิดก็จะมีน้อยลง ยิ่งผิดถึงขั้นควรถูกลงโทษประหารชีวิตด้วยแล้วคงจะมีน้อยที่สุดหรือแทบจะไม่มีเลย ใช่หรือไม่ และเมื่อไม่มีใครทำผิดให้ต้องถูกลงโทษประหารชีวิต ก็ย่อมจะไม่มีใครต้องไปรณรงค์ให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตให้เหน็ดเหนื่อยสิ้นเปลือง ใช่หรือไม่ เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุต้นตอจริงๆ ใช่หรือไม่

และกลุ่มที่ควรเป็นแกนนำ เป็นกลุ่มนำ เพื่อให้พวกเราทุกภาคส่วนช่วยกันรณรงค์ให้มีการอบรมกล่อมเกลาผู้คนในสังคมให้รักศีลธรรม ให้เห็นความสำคัญของศีลธรรม และให้ประพฤติปฏิบัติศีลธรรมกันมากๆ ก็ควรจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่รณรงค์ให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตนั่นเอง ใช่หรือไม่

หวังว่าคงไม่มีใครออกมาบอกว่า – ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้า
ตอนหน้า : ดำเนินความตามจักกวัตติสูตรต่อไป





ขอขอบคุณ :-
บทวความของ : นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ,๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๔ ,๑๙:๒๑ น.
web : dhamma.serichon.us/2021/08/24/จักกวัตติสูตรศึกษา-๑๔/
posted date : 24 สิงหาคม 2021 admin   
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: จักกวัตติสูตรศึกษา ตอนที่ ๑๑-๑๕
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2021, 10:26:48 am »
0




จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๕) : ดำเนินความตามจักกวัตติสูตร

สรุปความที่ผ่านมาว่า พระราชาองค์ที่ ๘ ปกครองบ้านเมืองผิดพลาด ผู้คนยากจนจึงเกิดขโมยกันขึ้น ตอนแรกจับขโมยได้ก็ให้ทุนไปทำมาหากิน ผู้คนพากันขโมยให้ถูกจับเพื่อจะได้ทุนจากทางบ้านเมือง ทางการเห็นว่าขโมยกันมากนักก็เปลี่ยนนโยบาย ใครขโมย จับได้ ประหารชีวิต โดยหวังว่าจะเป็นการตัดต้นตอของปัญหา

ปรากฏว่า ผลกลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือคราวนี้พวกขโมยก็ระวังตัวกันมากขึ้น ขโมยแล้วต้องไม่ให้จับได้ เพราะถ้าถูกจับได้ ตายสถานเดียว วิธีที่พวกขโมยใช้ก็คือ ขโมยของใครก็ฆ่าเจ้าทรัพย์เสียด้วยเพื่อไม่ให้มีเจ้าทุกข์โยงมาเอาผิดกับตัวได้

แรกเริ่มเดิมที ขโมยเพื่อประทังชีวิต ต่อมา ขโมยเพื่อหวังผล ไม่ได้หวังทรัพย์จากการขโมย แต่หวังให้ทางการสงเคราะห์ คือแกล้งขโมย ลงท้าย ขโมยจริง หวังทรัพย์จากการขโมย คือขโมยเป็นอาชีพ ซ้ำฆ่าเจ้าของทรัพย์เสียด้วย กลายเป็นว่า นอกจากจะทำชั่วด้วยการขโมย – ซึ่งตอนนี้กลายเป็นปล้นกันไปแล้ว มนุษย์ยังเพิ่มการทำชั่วอีกอย่างหนึ่ง คือ ฆ่ากัน

จากสภาพสังคมที่มนุษย์มีศีลธรรมเต็มเปี่ยม ก็เริ่มทำชั่วคือ
(๑) อทินนาทาน ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย ตามติดมาด้ว
(๒) ปาณาติบาต ยังชีวิตเพื่อนมนุษย์ให้ตกล่วง


@@@@@@@

จากเดิมอายุขัยของมนุษย์ ๘๐,๐๐๐ ปี ก็ค่อยๆ ลดลงเหลือ ๔๐,๐๐๐ ปี ถ้าใช้เกณฑ์ “๑๐๐ ปีผ่านไปอายุขัยลดลง ๑ ปี” จากแปดหมื่นจนกระทั่งเหลือสี่หมื่น จะต้องใช้เวลากี่ล้านปี ตลอดช่วงเวลาดังว่านี้แหละ ที่มนุษย์ทำชั่วกันเพียง ๒ เรื่องเท่านั้น คือ อทินนาทานและปาณาติบาต

เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๔๐,๐๐๐ ปี ความชั่วอีกชนิดหนึ่งก็เริ่มเกิดขึ้น กล่าวคือ คนที่ลักขโมยปล้นฆ่าเขา เมื่อถูกจับก็หาทางรอดด้วยการปฏิเสธว่าตนไม่ได้ทำ น่าจะมีคนปฏิเสธด้วยวิธีการที่แนบเนียนจนทางการเชื่อว่าไม่ได้ทำผิดจริง (ทั้งๆ ที่ทำผิดจริง) และปล่อยตัวไป ทำให้คนเห็นกันว่า ทำผิดแล้วไม่ยอมรับเป็นวิธีที่ช่วยให้รอดได้ มนุษย์จึงเริ่มทำชั่วขึ้นอีกอย่างหนึ่ง คือมุสาวาท กล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง คือโกหกหลอกลวงกัน

ในที่สุด ปาณาติบาต อทินนาทาน และมุสาวาท ก็เป็นเรื่องที่ทำกันแพร่หลาย จากอายุขัยของมนุษย์ ๔๐,๐๐๐ ปี ก็ค่อยๆ ลดลงเหลือ ๒๐,๐๐๐ ปี ตลอดช่วงเวลาดังว่านี้ มนุษย์ทำชั่วกันเพียง ๓ เรื่องเท่านั้น คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน และมุสาวาท

เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๒๐,๐๐๐ ปี ความชั่วอีกชนิดหนึ่งก็เริ่มเกิดขึ้น นั่นคือการโกหกหลอกลวงกันด้วยวิธีการที่พลิกแพลง คือผู้คนเริ่มใส่ร้ายกันเพื่อเอาตัวรอดบ้าง เพื่อทำความพินาศแก่ผู้อื่นบ้าง ปิสุณาวาจา คือการส่อเสียดใส่ร้ายกล่าวหากันด้วยเรื่องไม่จริงก็เกิดขึ้นทั่วไป จากอายุขัยของมนุษย์ ๒๐,๐๐๐ ปี ก็ค่อยๆ ลดลงเหลือ ๑๐,๐๐๐ ปี ตลอดช่วงเวลาดังว่านี้ มนุษย์ทำชั่วกัน ๔ เรื่อง คือ
    ปาณาติบาต > ฆ่ากัน
    อทินนาทาน > ลักขโมยจี้ปล้นกัน
    มุสาวาท > โกหกหลอกลวงกัน
    ปิสุณาวาจา > ส่อเสียด ใส่ร้าย ยุยง กล่าวหากัน

@@@@@@@

จะเห็นได้ว่า ความชั่วเหล่านี้มี “อาวุโส” ไม่เท่ากัน
    อทินนาทานอาวุโสสูงสุด มนุษย์ทำมาตั้งแต่อายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี
    ปาณาติบาต รองลงมาจากอทินนาทาน ทำมาไล่ๆ กัน
    มุสาวาท มนุษย์ทำมาตั้งแต่อายุขัย ๔๐,๐๐๐ ปี (ช่วงอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี มนุษย์ยังโกหกกันไม่เป็น)
    และล่าสุด ปิสุณาวาจา คือส่อเสียด ใส่ร้าย ยุยง กล่าวหากัน มนุษย์ทำมาตั้งแต่อายุขัย ๒๐,๐๐๐ ปี

    ยัง ยังไม่หยุดแค่นั้น
    เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๑๐,๐๐๐ ปี ความชั่วอีกชนิดหนึ่งก็เริ่มเกิดขึ้น
    ตอนนี้อยากให้ฟังสำนวนจากพระสูตรโดยตรง ท่านว่าไว้ดังนี้

    เตสํ สตฺตานํ อายุปิ ปริหายิ วณฺโณปิ ปริหายิ
    แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย

    เตสํ อายุนาปิ ปริหายมานานํ วณฺเณนปิ ปริหายมานานํ วีสติวสฺสสหสฺสายุกานํ มนุสฺสานํ ทสวสฺสสหสฺสายุกา ปุตฺตา อเหสุํ
    เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑๐,๐๐๐ ปี

    ทสวสฺสสหสฺสายุเกสุ ภิกฺขเว มนุสฺเสสุ เอกิทํ สตฺตา วณฺณวนฺตา โหนฺติ เอกิทํ สตฺตา ทุพฺพณฺณา
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี บางพวกมีผิวพรรณวรรณะดี บางพวกมีผิวพรรณวรรณะไม่ดี

    ตตฺถ เย เต สตฺตา ทุพฺพณฺณา เต วณฺณวนฺเต สตฺเต อภิชฺฌายนฺตา ปเรสํ ทาเรสุ จาริตฺตํ อาปชฺชึสุ ฯ
    ในสองพวกนั้น พวกที่มีผิวพรรณวรรณะไม่ดีก็เพ่งเล็งพวกที่มีผิวพรรณวรรณะดี จึงเกิดการประพฤติล่วงละเมิดในคู่ครองของคนอื่นขึ้น

________________________________________________
ที่มา : จักกวัตติสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๔๔

@@@@@@@

ความในพระสูตรตอนนี้น่าสังเกตอย่างยิ่ง โดยเฉพาะตอนที่ว่า “บางพวกมีผิวพรรณวรรณะดี บางพวกมีผิวพรรณวรรณะไม่ดี” เพราะนี่คือจุดกำเนิดของความชั่วที่เรียกว่า “กาเมสุมิจฉาจาร”

หมายความว่า ก่อนหน้านั้น คือตั้งแต่มนุษย์มีอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี ก่อนจะถึง ๑๐,๐๐๐ ปี รูปร่างหน้าตาของมนุษย์สะสวยงดงามเสมอกันหมด ผู้ชายไม่มีใครหล่อกว่าใคร ผู้หญิงไม่มีใครสวยกว่าใคร

เพราะฉะนั้น คู่ครองเขากับคู่ครองเราจึงมีรูปสมบัติทัดเทียมกัน ความคิดที่จะไปละเมิดคนที่ไม่ใช่คู่ครองของตนจึงไม่เกิด ก็ในเมื่อของเราก็ดีเท่าๆ กับของเขา แล้วจะต้องไปมองหาของใครอื่นอีกทำไมกันเล่า – ใช่หรือไม่
มีหนึ่งแล้วก็อยากได้สองล่ะ เป็นไปได้ไหม?

ตามความในพระสูตรท่านว่า ความคิดชนิดนั้นยังไม่เคยเกิดขึ้นในใจมนุษย์ นั่นคือ แม้จนถึงตอนนี้ ความชั่วที่มนุษย์ทำกันก็มีแค่ ๔ เรื่องเท่านั้น มนุษย์ยังไม่รู้จักความละโมบโลภมาก แต่ครั้นเมื่อมนุษย์เริ่มหล่อไม่เท่ากัน สวยไม่เท่ากัน การมองเห็น “เมียเขาสวยกว่าเมียเรา” “ผัวเขาหล่อกว่าผัวเรา” ก็เริ่มเกิดขึ้น

คำในพระสูตรตรงที่ว่า “ทุพฺพณฺณา เต วณฺณวนฺเต สตฺเต อภิชฺฌายนฺตา – พวกที่มีผิวพรรณวรรณะไม่ดีก็เพ่งเล็งพวกที่มีผิวพรรณวรรณะดี” มีนัยว่า การเอาใจใส่เรื่องรูปร่างหน้าตาเริ่มจะมีขึ้น พวกที่ไม่สวยไม่หล่อก็คงพยายามหาทางทำให้สวยให้หล่อ การเสริมสวยเสริมหล่อน่าจะมีจุดกำเนิดที่ตรงนี้

มองจากจุดนี้ อาจกล่าวได้ว่า การที่มนุษย์พยายามทำให้ร่างกายดูงามดูดีนั่นเองคือรากเหง้าของปัญหา “กาเมสุมิจฉาจาร” แต่นี่เป็นแค่ “มุมมอง” ซึ่งแต่ละคนมีสิทธิ์เห็นต่างไปจากนี้ได้นะครับ

@@@@@@@

สรุปว่า จากอายุขัยของมนุษย์ ๑๐,๐๐๐ ปี ก็ค่อยๆ ลดลงเหลือ ๕,๐๐๐ ปี ตลอดช่วงเวลานี้ มนุษย์ทำชั่วกัน ๕ เรื่อง คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน มุสาวาท ปิสุณาวาจา และกาเมสุมิจฉาจาร

เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๕,๐๐๐ ปี มีความชั่วที่ประพฤติกันแพร่หลายเพิ่มขึ้นอีก ๒ อย่าง คือ ผรุสวาจา การด่าทอกันด้วยคำหยาบคาย และ สัมผัปปลาปะ กล่าวถ้อยคำเหลวไหลไร้สาระ อายุขัยก็ลดลงเหลือ ๒,๐๐๐ ปี ถึง ๒,๕๐๐ ปี

จากอายุขัย ๕,๐๐๐ ปี ถึง ๒,๕๐๐ ปี มนุษย์ทำชั่วกัน ๗ เรื่อง คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน มุสาวาท ปิสุณาวาจา กาเมสุมิจฉาจาร ผรุสวาจา และ สัมผัปปลาปะ

เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๒,๕๐๐ ปี ลักษณะนิสัยที่ประพฤติกันแพร่หลายคือ อภิชฌา ความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว และ พยาบาท โกรธแค้นคิดร้ายต่อกัน อายุขัยก็ลดลงเหลือ ๑,๐๐๐ ปี

จากอายุขัย ๒,๕๐๐ ปี ถึง ๑,๐๐๐ ปี มนุษย์ทำชั่วกัน ๙ เรื่อง คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน มุสาวาท ปิสุณาวาจา กาเมสุมิจฉาจาร ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ อภิชฌา และ พยาบาท

เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๑,๐๐๐ ปี ลักษณะนิสัยที่ประพฤติกันแพร่หลายคือ มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชั่วเป็นดี คือคนทั่วไปยอมรับกันว่าการที่ทำความผิดเช่นนั้นๆ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เห็นความประพฤติที่ปราศจากธรรมเป็นความถูกต้อง และเห็นความเชื่อความเห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงว่าเป็นความเชื่อความเห็นที่ถูกต้อง
อายุขัยก็ลดลงเหลือ ๕๐๐ ปี

    จากอายุขัย ๑,๐๐๐ ปี ถึง ๕๐๐ ปี มนุษย์ทำชั่วกัน ๑๐ เรื่อง คือ
    (๑) ปาณาติบาต
    (๒) อทินนาทาน
    (๓) มุสาวาท
    (๔) ปิสุณาวาจา
    (๕) กาเมสุมิจฉาจาร
    (๖) ผรุสวาจา
    (๗) สัมผัปปลาปะ
    (๘) อภิชฌา
    (๙) พยาบาท และ
    (๑๐) มิจฉาทิฏฐิ

ยังไม่หมดครับ ความชั่วหรือลักษณะนิสัยที่วิปริตผิดปกติของมนุษย์ยังจะเกิดขึ้นอีก และจะน่าสยดสยองขึ้นเรื่อยๆ แต่หยุดพักหายใจไว้ตรงนี้ก่อน





ขอขอบคุณ :-
บทความของ : นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ,๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๔ ,๑๘:๑๒ น.
web : dhamma.serichon.us/2021/08/24/จักกวัตติสูตรศึกษา-๑๕/
Posted date : 24 สิงหาคม 2021 ,By admin.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ