« เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2021, 08:58:37 am »
0
หลักจรณะ ๑๕ | เสขปฏิปทา | ทางดำเนินไปสู่ความหลุดพ้นจรณะ ๑๕
๑. สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล.
๒. อินทริยสังวร สำรวมอินทรีย์.
๓. โภชนมัตตัญญุตา รู้ความพอดีในการกินอาหาร.
๔. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรของผู้ตื่นอยู่.
๕. สัทธา ความเชื่อ.
๖. หิริ ความละอายแก่ใจ.
๗. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผิด.
๘. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ฟังมาก. คือได้รับศึกษา
๙. วิริยะ ความเพียร.
๑๐. สติ ความระลึกได้.
๑๑. ปัญญา ความรอบรู้.
๑๒. ปฐมฌาน ฌานที่หนึ่ง.
๑๓. ทุติยฌาน ฌานที่สอง.
๑๔. ตติยฌาน ฌานที่สาม.
๑๕. จตุตถฌาน ฌานที่สี่.
_____________
ม. ม. ๑๓/๒๖.
อธิบาย : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงอธิบายไว้ในธรรมภาษิตว่า จรณะนั้น ได้แก่ ปฏิปทา คือ ทางเป็น เครื่องบรรลุวิชชา เป็นศัพท์แปลก เทียบด้วยศัพท์จรณะที่แปลว่าอวัยวะเป็นเครื่องเดิน ได้แก่ เท้า ไม่ใช่เรียกปฏิปทาทั่วไป.
มรรคมีองค์ ๘ เป็นจรณะแห่งความรู้อริยสัจ ๔
ฌาน ๔ เป็นจรณะโดยลำดับแห่งวิชชา ๓
วิชชาเบื้องต้นเป็นจรณะแห่งวิชชา
เบื้องปลายในเสขปฏิปทาสูตรแสดงจรณะเป็นสาธารณะ โดยชื่อว่า เสขปฏิปทา คือ ทางดำเนินแห่งพระเสขะ.
@@@@@@@
ในเสขปฏิปทาสูตร แสดงไว้โดยบุคคลาธิษฐาน ถือเอาความในนิทเทสแห่งสูตร โดยธรรมาธิษฐาน ดังนี้ :-
๑. สีลสัมปทา ได้แก่ การสำรวมในปาฏิโมกข์ ประกอบด้วยอาจาระและโคจร เห็นภัยในความผิดแม้น้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย.
๒. อินทริยสังวร ได้แก่ การสำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา, หู,จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ ไม่ให้ความยินดียินร้ายครอบงำ ในเมื่อตาเห็นรูปเป็นต้น.
๓. โภชนมัตตัญญุตา ได้แก่ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในการกินอาหารแต่พอสมควร ไม่มากไม่น้อย พิจารณาแล้วจึงกินอาหารและเพ่งประโยชน์อันจักเกิดแต่อาหารนั้น ไม่บริโภคโดยสะเพร่าและโดยอำนาจความมักกินเป็นต้น.
๔. ชาคริยานุโรค ได้แก่ การประกอบความเพียร ไม่เห็นแก่ หลับนอนเกินไป หรือไม่ยอมให้ความง่วงเหงาซบเซาเข้าครอบงำ
ท่านแสดงไว้ว่า...
กลางวันชำระจิตจากนีวรณ์ด้วยเดินบ้าง นั่งบ้างตลอดวัน.
กลางคืน แบ่งเป็น ๓ ยาม
- ยามต้น ชำระจิตอย่างนั้น,
- ยามกลาง พักผ่อน นอนตะแคงข้างขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะมนสิกาสัญญาว่าจะลุกขึ้น,
- ยามที่สุด ลุกขึ้นทำความเพียรอย่างยามต้น.
ในบาลีไม่ได้กำหนดไว้ว่า ยามละกี่โมง แต่ในอรรถกถามโนรถปูรณีแสดงว่า คืนและวัน แบ่งเป็น ๖ ส่วน.
ตื่นทำความเพียร ๕ ส่วน นอนหลับ ๑ ส่วน คือ ตื่น ๒๐ ชั่วโมง หลับ ๔ ชั่วโมง.
พิจารณาดูว่า เวลาที่หลับน้อยนัก ไม่น่าจะพอ แต่ท่านผู้ทำความสงบเช่นนั้น ไม่ได้ทำกิจการหยาบ หลับเท่านั้นจะพอกระมัง.? ขอนักปฏิบัติธรรมจงพิจารณาดูเถิด.
๕. สัทธา ได้แก่ ความเชื่อความตรัสรู้ของพระตถาคต ตามนัยแห่งบทพุทธคุณ น่าจะหมายความว่าเชื่อเหตุผล ส่วนในอรรถกถาแจกสัทธาเป็น ๒ คือ กัมมสัทธา เชื่อกรรม ๑, วิปากสัทธา เชื่อผลแห่งกรรม ๑ , ยังไม่พบว่า แบ่งสัทธาเป็น ๓ หรือ ๔ ไว้ในคัมภีร์ไหน น่าจะเก็บรวบรวมขึ้นโดยนัยบาลีและอรรถกถานั้น ๆ.
๖. หิริ ได้แก่ ความละอายต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต.ในอรรถกถาเปรียบด้วยหญิงสาวผู้มีสกุลไม่อาจแตะต้องของโสโครก น่า จะถือเอาความว่า สยะแสยงต่อเหตุ คือบาปทุจริต.
๗. โอตตัปปะ ได้แก่ ความเหรงกลัวความผิดและความชั่วโดยนัยแห่งหิริ. ในอรรถกถาเปรียบด้วยคนขลาด ไม่กล้าเข้าใกล้อสรพิษ น่าจะถือเอาความว่า กลัวผลแห่งบาปทุจริต.
๘. พาหุสัจจะ ได้แก่ ความเป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก คือได้ฟังธรรมซึ่งไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยพยัญชนะ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง.
พหุสุตมีองค์ ๕ คือ :-
[๑] พหุสฺสุตา ได้ยินได้ฟังมาก.
[๒] ธตา ทรงจำได้.
[๓] วจสา ปริจิตา ท่องไว้ด้วยวาจา.
[๔] มนสานุเปกฺขิตา เอาใจจดจ่อ.
[๕] ทิฏฺฐิยา สุปฏิวิทฺธา ขบด้วยทิฏฐิ.
๙. วิริยะ ได้แก่ เพียรละอกุศลธรรมและยังกุศลธรรมให้เกิดใช้กำลังบากบั่น ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม.
๑๐. สติ ได้แก่ สติรักษาตัว และระลึกถึงกิจที่ทำและคำพูดแล้วแม้นานได้.
๑๑. ปัญญา ได้แก่ อริยปัญญาที่รู้ความเกิดความดับแห่งสังขารสามารถชำแรกกิเลสทำให้สิ้นทุกข์ได้.
๑๒. ฌาน ๔ นี้ มีอธิบายแล้วในหมวด ๔ ผู้ปรารถนาพึงดูในหมวดนั้น.
ขอบคุณ :
dhamma.serichon.us/2021/11/10/หลักจรณะ-๑๕-นำไปสู่ความพ/ posted date : 10 พฤศจิกายน 2021 ,By admin.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 12, 2021, 09:08:30 am โดย raponsan »

บันทึกการเข้า

ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ