ฉลาดกันเสียทีเรื่องกฐิน (๒) : อานิสงส์ของทายกทายิกาผู้ทอดกฐิน๒. อานิสงส์ของทายกทายิกาผู้ทอดกฐิน
อานิสงส์ของทายกทายิกาผู้ทอดกฐิน มีเหตุผลเกี่ยวพันอยู่กับต้นเหตุที่ทำให้เกิดพุทธานุญาตที่กลายมาเป็นประเพณีทอดกฐินอยู่ในทุกวันนี้ สรุปความตามที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ก็คือ
คราวหนึ่ง ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เชตวันเมืองสาวัตถี ภิกษุชาวเมืองปาฐาจำนวน ๓๐ รูปชวนกันเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ไปได้แค่เมืองสาเกตก็พอดีถึงกำหนดกาลจำพรรษา ต้องพักอยู่ที่เมืองสาเกต ๓ เดือน ออกพรรษาแล้วก็รีบเดินทางต่อไปยังเมืองสาวัตถี แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลาท้ายฤดูฝน ยังมีฝนชุกอยู่ หนทางก็เฉอะแฉะมาก ภิกษุกลุ่มนี้จึงไปถึงเชตวันในสภาพสะบักสะบอม สบงจีวรเลอะเทอะไปตามๆ กัน
ด้วยเหตุที่เกิดขึ้นนี้ จึงทรงมีพุทธานุญาตว่า
อนุชานามิ ภิกฺขเว วสฺสํ วุตฺถานํ ภิกฺขูนํ กฐินํ อตฺถริตุํ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาแล้วได้กรานกฐิน_________________________________________________
ที่มา : กฐินขันธกะ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๕ ข้อ ๙๖
คำในพระพุทธานุญาตว่า
“อนุชานามิ … กฐินํ อตฺถริตุํ = เราอนุญาตให้กรานกฐิน”
ในทางปฏิบัติ ก็คือ ให้ทำจีวรเพื่อเปลี่ยนจีวรชุดเดิมที่ใช้มาตลอดปี
วิธีการ คือ ให้ภิกษุที่จำพรรษาอยู่ด้วยกันช่วยกันหาผ้ามารวมกันเป็นของกลางที่เรียกว่า “ของสงฆ์” แล้วช่วยกันทำให้เป็นไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งเพียงผืนเดียว คือ จะเป็นสบง จีวร หรือสังฆาฏิอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แล้วพร้อมใจกันยกให้ภิกษุรูปหนึ่งที่จำพรรษาอยู่ด้วยกัน
เรื่องนี้ ต้องเข้าใจสภาพสังคมในสมัยพุทธกาลที่ผ้าหายากมาก เครื่องนุ่งห่มของพระเป็นผ้าเก่าที่เขาใช้แล้วทิ้งแล้ว เก็บมาเย็บเข้าเป็นผืนใช้นุ่งห่ม ทั้งนี้เพื่อขจัดความมักมากอยากสวยงามหรูหรา เป็นวิธีครองชีพที่ขัดเกลาอย่างยิ่ง เมื่อเป็นผ้าเก่า เอามาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม ซ้ำมีได้เพียงชุดเดียว อายุการใช้งานก็ย่อมสั้นกว่าผ้าปกติ ปีหนึ่งเปลี่ยนทีหนึ่งจึงนับว่าเป็นภาระที่จำเป็นจริงๆ
@@@@@@@
ถ้าศึกษาเหตุการณ์สมัยโน้นจะพบว่า กุลบุตรที่มีศรัทธาจะอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้ต้องพบกับปัญหาเรื่องการจัดหาหรือจัดเตรียมเครื่องนุ่งห่มอยู่เสมอ บางรายไม่ทันได้บวช เสียชีวิตลงในขณะที่กำลังแสวงหาผ้าอยู่นั่นเอง ที่น่าจะรู้จักกันดีคือ ท่านพาหิยทารุจีริยะ
พาหิยทารุจีริยะ : พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เกิดในครอบครัวคนมีตระกูลในแคว้นพาหิยรัฐ ลงเรือเดินทะเลเพื่อจะไปค้าขาย เรือแตกกลางทะเลรอดชีวิตไปได้ ขึ้นมาอาศัยอยู่ที่เมืองท่าสุปปารกะ แต่หมดเนื้อหมดตัว ต้องแสดงตนเป็นผู้หมดกิเลสหลอกลวงประชาชนเลี้ยงชีวิต
ต่อมาพบพระพุทธเจ้า ทูลขอให้ทรงแสดงธรรม พระองค์ทรงแสดงวิธีปฏิบัติต่ออารมณ์ที่รับรู้ทางอายตนะทั้งหก พอจบพระธรรมเทศนาย่นย่อนั้น พาหิยะก็สำเร็จอรหัต แต่ไม่ทันได้อุปสมบท กำลังเที่ยวหาบาตรจีวร เผอิญถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดเอาสิ้นชีวิตเสียก่อน ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางตรัสรู้ฉับพลัน______________________________________________
ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต
อีกท่านหนึ่ง ชื่อปุกกุสาติ เราอาจจะไม่ค่อยคุ้น แต่มีเรื่องบันทึกไว้ในธาตุวิภังคสูตร ขอสรุปความมาเล่าไว้ดังนี้
ปุกกุสาติเป็น “ราชา” อยู่ในเมืองตักสิลา ได้สดับว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ตัดสินใจสละราชสมบัติถือเพศบรรพชิต “อุทิศพระพุทธเจ้า” (คือไม่รู้จักพระพุทธเจ้า แต่ตั้งใจบวชตามอย่างพระพุทธเจ้า) แล้วจาริกร่อนเร่มาจนถึงเมืองราชคฤห์ พักอยู่ในโรงช่างหม้อ
พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นอุปนิสัยจึงเสด็จไปที่นั่น ปุกกุสาติไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า จนเมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดจึงรู้ว่าท่านผู้นี้คือพระพุทธเจ้า ทูลขอบวช พระพุทธองค์ตรัสให้ไปหาบาตรและจีวรให้ครบก่อน เรื่องลงเอยเหมือนกัน คือ ปุกกุสาติถูกโคขวิดสิ้นชีวิตขณะกำลังเที่ยวแสวงบาตรจีวร_________________________________________________________
ที่มา : ธาตุวิภังคสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ พระไตรปิฎกเล่ม ๑๔ ข้อ ๖๗๓-๖๙๗
หมายเหตุ : เรื่องพระเจ้าปุกกุสาตินี่เอง คือ ที่ฝรั่งเอาเค้าเรื่องไปเขียนเป็นนิยายเรื่อง “กามนิต” ฉากในบทที่ ๒ “พบ” บทที่ ๑๘ “ในห้องโถงบ้านช่างหม้อ” และบทที่ ๒๑ “ในท่ามกลางความเป็นไป” จำลองเหตุการณ์จากธาตุวิภังคสูตรตรงๆ
@@@@@@@
คำสอบถามอันตรายิกธรรมในพิธีอุปสมบทถึงกับยกเรื่องผ้าขึ้นมาถามว่า “ปริปุณฺณนฺเต ปตฺตจีวรํ = บาตรและจีวรมีครบแล้วหรือ” แสดงให้เห็นว่าเรื่องผ้าคือเครื่องนุ่งห่มเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะผ้าเป็นสิ่งจำเป็นเช่นนี้ การช่วยกันหาผ้า ช่วยกันทำจีวร แล้วยกให้เพื่อนพระที่จำพรรษาอยู่ด้วยกัน จึงเป็นการแสดงถึงความสามัคคีมีน้ำใจอย่างยิ่งของสงฆ์
เพราะการผลัดเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มประจำปีเป็นเรื่องจำเป็นที่สุดของภิกษุเช่นนี้ ชาวบ้านจึงถือว่า การถวายผ้าในฤดูกาลเช่นนี้ได้อานิสงส์แรง นอกจากเป็นการสงเคราะห์พระให้สามารถผลัดเปลี่ยนผ้าได้สะดวกขึ้นแล้ว ยังเท่ากับเป็นช่วยส่งเสริมความสมัครสามัคคีในหมู่สงฆ์อย่างสำคัญอีกทางหนึ่งด้วย
น้ำหนักความสำคัญของบุญกฐินที่พูดกันว่า “ได้อานิสงส์แรง” ก็อยู่ที่ตรงจุดนี้ คือช่วยให้พระท่านเปลี่ยนไตรจีวรชุดใหม่ได้ด้วยความสะดวก
เรื่องภิกษุชาวเมืองปาฐาผู้เป็นต้นเหตุเรื่องกฐินนี้เราเอ่ยอ้างถึงกันทุกปีเมื่อถึงฤดูกฐิน แต่เรายกมาเล่ากันในฐานะเป็นตำนาน ส่วนมากมองข้ามความสำคัญของเรื่อง นั่นคือ การผลัดเปลี่ยนไตรจีวรเป็นหัวใจของกฐิน กฐินทุกวันนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการผลัดเปลี่ยนไตรจีวรแต่ประการใดทั้งสิ้น แต่ไปให้ความสำคัญกับจำนวนเงินที่ถวายในการทอดกฐิน
“องค์กฐิน” คือผ้ากฐิน แต่เวลานี้มีคนจำนวนมากที่เข้าใจไปว่า พุ่มเงินที่แห่แหนกันไปนั่นคือ “องค์กฐิน” เหตุที่เราหลงทางกันไปไกลถึงเพียงนี้ก็เพราะไม่ได้ศึกษาความเป็นมาของกฐินประการหนึ่ง แม้ศึกษา ก็มองข้ามจุดสำคัญของเรื่องไปอีกประการหนึ่ง จึงควรบอกย้ำกันว่า กฐินเป็นฤดูกาลเปลี่ยนผ้า ไม่ใช่หน้าหาเงิน
เวลานี้ถึงกับมีผู้เสนอให้เทศกาลกฐินเป็น “เทศกาลระดมทุนพัฒนาวัด” แทนที่จะบอกกันว่า การแปลงพุทธานุญาตเรื่องกฐินให้กลายเป็นฤดูกาลหาเงินนั้นไม่ถูกต้อง เราก็กลับพากันสนับสนุนให้กลายเป็นเรื่องถูกต้องดีงามไปเสียอีก
กฐินมีช่วงเวลาเพียงเดือนเดียว ถ้าจะคิดระดมทุนพัฒนาวัดทำไมไม่คิดทำในช่วงเวลาอื่นซึ่งมีเวลาอีกเกือบทั้งปี แล้วจะต้องเอาพุทธานุญาตเรื่องกฐินมาเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนไปทำไม คิดหาทางระดมทุนด้วยวิธีอื่นๆ จะไม่เป็นการฉลาดกว่าดอกหรือ.?
@@@@@@@
อานิสงส์สำคัญอีกประการหนึ่งของทายกทายิกาผู้ทอดกฐิน ซึ่งผมเชื่อว่า คนส่วนมากแทบจะไม่ได้เฉลียวใจเลยก็คือ ทอดกฐินคือ การถวายสังฆทาน เวลานี้เราถวายสังฆทานกันด้วยวิธีที่คลาดเคลื่อนจนกู่ไม่กลับแล้ว นั่นคือ เอาถังหรือกล่องหรือหีบห่อที่เรียกกันว่า “ชุดสังฆทาน” ไปถวายพระ นั่นคือถวายสังฆทาน ใครจะถวายสังฆทาน ต้องมีถังหรือกล่องหรือหีบห่อที่เรียกกันว่า “ชุดสังฆทาน” ไปถวาย จึงจะเป็นสังฆทาน ถ้าไม่มี ไม่ใช่สังฆทาน
นอกจากหลงทางว่าทอดกฐินคือ การระดมเงินแล้ว สังฆทานเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราหลงทางกันมากที่สุด ทั้งสองเรื่องนี้ไม่มีใครคิดจะกู่ให้กลับมาที่เดิม มีแต่สนับสนุนให้หลงเตลิดไกลออกไปทุกที ทอดกฐิน ควรถือเป็นโอกาสถอยกลับมาเรียนรู้เรื่อง “สังฆทาน” ที่ถูกต้องกันบ้าง
ทำความเข้าใจง่ายๆ การให้อะไรกันมี ๒ ลักษณะ คือ ให้เป็นของส่วนตัว กับ ให้เป็นของส่วนรวม
- ให้เป็นของส่วนตัว คือ ผู้รับได้รับแล้วเอาไปใช้เป็นของส่วนตัว ภาษาวิชาการเรียกว่า “ปาฏิบุคลิกทาน” บางทีเรียกสั้นๆ ว่า “บุคลิกทาน” (บุก-คะ-ลิก-กะ-ทาน)
- ให้เป็นของส่วนรวม คือผู้รับได้รับแล้วเอาของนั้นไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งได้ประโยชน์คนเดียว ภาษาวิชาการเรียกว่า “สังฆทาน” (สัง-คะ-ทาน)
จะเป็นทานประเภทไหน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งของที่ให้ แต่ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ให้ ว่ามีเจตนาจะให้แบบ “บุคลิกทาน” หรือจะให้แบบ “สังฆทาน”
เพราะฉะนั้น จึงไม่มีสิ่งของชนิดไหนๆ ที่มีชื่อเรียกว่า “สังฆทาน” หรือ “ชุดสังฆทาน” อย่างที่เราถูกคนค้าหลอกให้เรียกกันผิดๆ เพียงเพื่อจะได้ขายสินค้าได้มากๆ
และเพราะฉะนั้น จึงไม่มีสิ่งของชนิดไหนๆ ที่เรียกชื่อเป็นภาษาบาลีว่า “สังฆะทานานิ” อย่างที่ผู้นำกล่าวถวายพากันกล่าวผิดๆ กันทั่วโลก
@@@@@@@
คำว่า “ชุดสังฆทาน” ก็ดี คำว่า “อิมานิ มะยัง ภันเต สังฆะทานานิ …” ก็ดี จึงระบาดอยู่ได้ โดยอาศัยความไม่รู้ ความไม่ใฝ่รู้ และความไม่คิดจะแก้ไขให้ถูกต้อง ถือโอกาสใช้เทศกาลกฐินมาเรียนรู้กันใหม่ว่า กฐินเป็นสังฆทาน เพราะเป็นการถวายผ้าแก่สงฆ์ คือถวายเป็นส่วนรวมหรือเป็นของกลางของสงฆ์ ไม่จำเพาะเจาะจงแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
คำอปโลกน์กฐินที่พระท่านกล่าวในพิธีถวายกฐิน จะมีข้อความตอนหนึ่งว่า
"… ผ้ากฐินทานกับทั้งผ้าอานิสงสบริวารทั้งปวงนี้ … เป็นของบริสุทธิ์ดุจเลือนลอยมาโดยนภากาศแล้วและตกลงในท่ามกลางระหว่างสงฆ์ จะได้จำเพาะเจาะจงแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็หามิได้ …"
เป็นการยืนยันว่า ทอดกฐินเป็นสังฆทาน เวลาทอดกฐินจึงควรเข้าใจและตั้งจิตเจตนาว่า เรากำลังถวายให้เป็นสังฆทาน เปิดหัวใจให้กว้าง จะศรัทธาภิกษุรูปไหน หรือจะไม่ชอบภิกษุรูปไหน ไม่เอามาเป็นประมาณ ตั้งใจถวายแก่สงฆ์สถานเดียว
นั่นแหละ ทายกทายิกาผู้ทอดกฐินก็จะได้อานิสงส์อันเกิดจากการถวายสังฆทานเป็นส่วนพิเศษเพิ่มขึ้นอีกประการหนึ่ง
ตอนต่อไป : สังฆกรรมกฐินใช้สงฆ์ปัญจวรรคขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย , ๔ สิงหาคม ๒๕๖๕ ,๑๔:๑๒ น.
website :
dhamma.serichon.us/2022/08/05/ฉลาดกันเสียทีเรื่องกฐิ-2/ Post date : 5 สิงหาคม 2022 , By admin.