ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ป้องกัน การเกิดภาวะสติแตก  (อ่าน 806 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ป้องกัน การเกิดภาวะสติแตก
« เมื่อ: สิงหาคม 29, 2022, 06:44:48 am »
0




ป้องกัน การเกิดภาวะสติแตก


ภาวะสติแตก คือ อะไร.?

หลายคนอาจจะเคยเป็นหรือเคยพบเห็นคนใกล้ตัวที่อยู่ ๆ ก็ระเบิดอารมณ์โกรธเกรี้ยว ขาดสติ ทำอะไรแบบไม่ยั้งคิด ทั้งโดยการใช้คำพูดเสียหายด่ากราดคนไม่เลือกหน้า ออกกำลังด้วยการขว้างปาทำลายสิ่งของจนเสียหาย นั่งเซื่องซึมเหม่อลอย หรือร้องไห้คร่ำครวญกรีดร้องเหมือนคนเสียสติ   

ภาวะสติแตก เป็นคำเรียกทั่วไปที่แสดงถึงภาวะทางจิตใจ อาการทางร่างกายและพฤติกรรมที่แสดงออกชั่วคราว เพื่อทำการตอบสนองต่อความวิตกกังวล หรือความเครียดอย่างรุนแรง

ซึ่งแม้จะไม่ถูกนับรวมว่าเป็นโรคทางจิตเวช แต่ถือเป็นสัญญาณเตือนของอาการเจ็บป่วยทางจิตใจที่เรารู้จักกันดี เช่น โรคซึมเศร้า โรคแพนิค หรือโรคไบโพลาร์ ที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยเพื่อทำการป้องกันรักษาอย่างถูกต้องตามลำดับ


สาเหตุที่เกิด

มักมีสาเหตุจากการเผชิญหน้าหรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีผลทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ อย่างที่คาดหวัง

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เกิดความรู้สึกผิดหวังเสียใจต่อเรื่องบางเรื่องอย่างรุนแรง นั่นเอง จนทำให้เกิดความเครียดและความกดดันของคนเราอาจแตกต่างกันไป เช่น ความคับข้องใจในชีวิต เกี่ยวกับปัญหาครอบครัว ความรัก การงาน การเงิน การเรียนหรือสุขภาพ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหัน เช่น คนที่รักจากไป ตกงาน เงินไม่พอใช้จ่าย รู้ว่าป่วยเป็นโรคร้ายแรง บางคนมีปากเสียงกับคนในครอบครัว หรือได้รับการดูถูกเหยียดหยาม จนรู้สึกด้อยค่า

มีบางเรื่องที่ดูเหมือนจะไกลตัวออกไป แต่ทำให้คนเราสติแตกได้เช่นกัน เช่น การถูกรุกล้ำกรอบความคิดหรือความแน่นแฟ้นของความรู้สึกเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน การท้าทายความเชื่อในระเบียบความดีงามทางสังคม หรือความชื่นชอบทางการเมือง จนเกิดการลุกฮือขึ้นทำร้ายกัน ก็มีตัวอย่างให้เห็นถึงภาวะขาดสติของผู้คนมาแล้วมากมาย สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นกลไกป้องกันตัว เพื่อความอยู่รอดตามธรรมชาติของคนเรา เมื่อเกิดความเครียดรุนแรงและไม่รู้ว่าจะระบายออกมาได้อย่างไร

สมองจะช่วยปรับสภาพการรับรู้ชั่วคราว โดยการเปลี่ยนแปลงระดับสารเคมีในสมอง ซึ่งส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่แตกต่างออกไปในขณะนั้นเพื่อพาเราออกจากสภาวะที่กดดัน โดยหาวิธีปลดปล่อยพลังงานออกไปหรือหยุดนิ่งเหม่อลอยคิดถึงเรื่องที่มีความสุข
 
@@@@@@@

ข้อเสีย

แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากตกอยู่ในภาวะสติแตกที่สะท้อนออกมาจากพฤติกรรม ซึ่งรับมือได้ยากและไม่เป็นที่พึงประสงค์ของคนรอบตัว และเพื่อนร่วมงาน จนทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก เนื่องจากการจมอยู่กับความวิตกกังวล และความรู้สึกสิ้นหวัง ขาดพลังงานและแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตประจำวัน ส่งผลต่อสถานะความน่าเชื่อถือ สมรรถภาพในการทำงาน และความสัมพันธ์ที่ราบรื่นกับบุคคลอื่นด้วย

อาการทางร่างกายที่ตอบสนองต่อความเครียดรุนแรงยังส่งผลกับปัญหาสุขภาพในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นภาวะความดันโลหิตสูง ระบบลำไส้และทางเดินอาหารแปรปรวน โรคอ้วนจากความอยากอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไป

ด้วยเหตุนี้ หากรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในภาวะสติแตกจนอาจเป็นอาการของโรคทางจิตเวช ก็ควรพบจิตแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม


ปรับจิตให้มีสติ เริ่มต้นป้องกันแก้ไขรักษา

ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรที่คนเราจะรู้สึกว่า มีบางเรื่องที่ไม่สามารถรับมือหรือจัดการกับปัญหาและความเครียดในชีวิตได้ในบางครั้ง ดังนั้น การยอมรับความเป็นไป และตั้งสติไม่ปล่อยอารมณ์ข้ามเขตอันตราย ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตสักเล็กน้อยก็ดูจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

@@@@@@@

วิธีสร้างสติ ปรับอารมณ์

1. ยิ้มรับความเป็นไป ประเมินตัวเอง รู้จักปล่อยวางและยืดหยุ่นกับความคาดหวังให้เหมาะสมกับสถานการณ์ แยกแยะและตระหนักถึงสิ่งที่สามารถเราควบคุมได้และไม่ได้ออกจากกัน ยิ้มรับความเป็นไป หากมีบางสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม หรือมีสิ่งที่พยายามทำเต็มความสามารถแล้วแต่ไม่เป็นดังที่หวัง

2. สร้างความมั่นใจในตัวเอง หลีกเลี่ยงหรือออกจากสถานการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดความเครียด จัดสรรเวลาทำกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ตัวเองชื่นชอบ ที่มีความสนใจ หรือสิ่งใหม่ ๆ ที่ได้ท้าทายพลังความคิดและความสามารถเพื่อช่วยสร้างความมั่นใจและตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง
 
3. สร้างช่องทางระบายความเครียด ภาวะสติแตกเป็นการระบายความเครียดตามกลไกทางร่างกาย ที่สามารถเลี่ยงได้ เมื่อเราสร้างช่องทางระบายอื่นขึ้นมาแทน เช่น พูดคุยกับคนความคิดบวก ๆ ที่รักและห่วงใยเรา ซึ่งสามารถให้แง่คิดดี ๆ มากกว่ายุยง อาจเดินทางท่องเที่ยวหรือทำกิจกรรมผ่อนคลาย ที่สร้างรอยยิ้มและความสุข

4. ฝึกฝนความคิดและสมาธิ มองโลกในแง่ดีและคิดแต่สิ่งดี ๆ เสมอ ทุกปัญหามีทางออกให้ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละเรื่อง การหมั่นฝึกฝนสมาธิด้วยเทคนิคต่าง ๆ เช่น การอยู่กับปัจจุบันด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ จะช่วยให้จิตใจสามารถจดจ่อกับตัวเอง และสิ่งที่ทำจนมีสติรู้ตัวคิดดีทำดีได้

5. ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและการพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากจะช่วยสร้างเสริมสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงเพื่อลดความกังวลจากการเจ็บป่วยแล้ว ยังช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจด้วยการมุ่งมั่นใส่ใจในการดูแลตัวเองอีกทางหนึ่งด้วย

อย่างไรก็ตามยังมีอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างกำลังใจมหาศาลคือ ความเข้าใจของคนในครอบครัวและคนใกล้ชิด ที่จะช่วยประคับประคอง ให้ทุกคนผ่านช่วงเวลา ที่ยากลำบากไปได้





ขอขอบคุณ :-
แหล่งข้อมูล : ป้องกัน การเกิดภาวะสติแตก ได้ดัดแปลงจาก บทความเรื่อง ระวัง! อย่าเป็นคนสติแตก ที่มา ผู้จัดการ ออนไลน์ Posted By Nitayaporn/Bungon/Thongpet/Kanchana เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562
website : https://www.trueplookpanya.com/dhamma/content/91492
Posted By มหัทธโน | 29 มี.ค. 65
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ