
ที่กล่าวมานี้คือ การปฏิบัติที่ถูกต้องชอบธรรม ต่อเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งคนที่มีความสามารถ และมีคุณธรรมที่ทำได้อย่างนี้ ย่อมเป็นบุคคลที่มีค่า เป็นสมบัติของสังคม เพราะคนเช่นนี้เกิดมีขึ้นแล้ว ก็เป็นผู้ที่ช่วยให้สังคมนั้น มีความสุขความเจริญ กระจายประโยชน์ให้แพร่หลาย
เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ‘สัตบุรุษ’ แปลว่า ‘คนดี’ เกิดขึ้นในที่ใด ก็เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์สุขแก่คนจำนวนมาก เปรียบเหมือนมหาเมฆหลั่งฝนใหญ่ลงมา ยังมหาปฐพีให้ชุ่มฉ่ำ และช่วยให้พืชพันธุ์ธัญญาหาร เจริญงอกงาม อุดมสมบูรณ์ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน สิ่งที่ไม่เคยเป็นประโยชน์ เขาก็มาทำให้เป็นประโยชน์ สิ่งที่ไม่มีเขาก็ทำให้มีขึ้นมา และทำให้มีขึ้น ในลักษณะที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชีวิตและสังคมด้วย
อันนี้แหละคือความหมายของถ้อยคำที่เรียกว่า ‘เศรษฐี’ เศรษฐีโดยธรรมก็จะเป็นคนที่มีลักษณะอย่างนี้ เราอาจจะแปล ‘เศรษฐี’ นั้นว่า เป็นคนที่ประเสริฐในเรื่องทรัพย์ คือ มีความสามารถในการสร้างสรรค์และจัดสรรทรัพย์ แต่ต้องเป็นไปโดยธรรม ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ทั้งสามประการ
ถ้าเป็นคนที่ตรงข้าม ก็คือ หนึ่ง ในแง่ของการทำให้เกิดมี และเพิ่มพูนโภคทรัพย์ เขาก็ทำไม่ได้ไม่เป็น หรือทำโดยไม่สุจริต โดยแย่งชิงเบียดเบียนผู้อื่น ประการที่สอง ในแง่ของเป้าหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง แทนที่จะนำมาเป็นเครื่องมือขยายขอบเขตหรือขยายโอกาสในการที่จะทำประโยชน์สุข ให้แพร่หลายกว้างขวาง ก็มุ่งแต่จะนำมาใช้เป็นเครื่องบำรุงบำเรอความสุขของตนเองและประการที่สาม แม้มีขึ้นมาแล้ว ก็ไม่รู้จักบริหาร ไม่รู้จักจัดสรร ได้แต่ทำให้ละลายหายสูญไป หรือได้แต่หวงแหนเก็บไว้ เข้าคติที่ในทางธรรมท่านบอกว่า ‘เหมือนกับสระโบกขรณีที่มีน้ำใส มีชายฝั่งอันน่ารื่นรมย์ แต่เป็นถิ่นที่อมนุษย์ครอบครอง ไม่มีใครสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้’
ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นเกิดแก่สัตบุรุษ แก่คนดี ผู้มีคุณธรรม และมีความสามารถในการบริหาร ก็จะเหมือนกับสระน้ำโบกขรณี ที่มีน้ำใสแจ๋ว และมีชายฝั่งอันน่ารื่นรมย์ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้รับประโยชน์ สามารถที่จะมาดื่ม มากิน มาใช้ แล้วก็มาพักผ่อนที่ริมสระนั้น ทำให้มีความสุขความสดชื่นเบิกบานได้ อันนี้ ก็เป็นคติเกี่ยวกับเรื่องของการปฏิบัติต่อทรัพย์ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ไม่ควรจะมองข้ามในการปฏิบัติธรรม
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา ทั้งสามประการนี้ เรียกว่า เป็นการปฏิบัติถูกต้องต่อโภคทรัพย์ในระดับ ‘โลกิยะ’ นอกจากนี้ ยังมีการปฏิบัติถูกต้องชอบธรรม อีกระดับหนึ่ง คือ ระดับที่เป็นโลกุตตระ หรือ ระดับเหนือโลก ได้แก่การที่มีปัญญารู้เท่าทันธรรมดาของสังขาร หรือ เข้าใจกฎธรรมชาติ แห่งความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป รู้ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว แม้จะครอบครองทรัพย์สมบัติ ก็ครอบครองด้วยปัญญาที่รู้เท่าทันนั้น ไม่มีความยึดติดถือมั่น มีลักษณะอย่างที่ท่านเรียกว่า ‘ไม่สยบมัวเมา ไม่ตกเป็นทาส ไม่อยู่ใต้อำนาจครอบงำของทรัพย์สินสมบัติของตนเอง จนกระทั่งทำให้เกิดความทุกข์’
@@@@@@@
การปฏิบัติเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ยาก เป็นเรื่องของจิตใจที่พัฒนาในระดับโลกุตตระ ซึ่งมีความหมายว่า ทำอย่างไร เมื่อต้องเกี่ยวข้องกับทรัพย์แล้ว จิตใจของตนเองนี้จะเป็นจิตใจที่ยังคงเป็นอิสระเสรีอยู่ได้ อย่างที่เรียกว่า ‘เป็นนายของโภคทรัพย์’ ไม่ตกเป็นทาสของโภคทรัพย์ ถ้าทำได้อย่างนี้ จิตใจก็จะมีความสดใสเบิกบาน แม้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับทรัพย์อยู่ ก็จะมีความเกี่ยวข้องในฐานที่ว่า ไม่ปล่อยให้อิทธิพลของทรัพย์เข้ามาครอบงำจิตใจของตนเอง เป็นจิตใจที่เบิกบาน สดใส ได้ตลอดเวลา
ถ้าผู้ใด ปฏิบัติถูกต้องต่อทรัพย์สมบัติได้ทั้งสองระดับนี้ ก็เป็นบุคคลที่ชื่อว่า ปฏิบัติถูกต้องสมบูรณ์ ตามหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการอาศัยสิ่งที่มีอยู่ในโลก นำมาสร้างสรรค์ประโยชน์สุขให้เกิดแก่ชาวโลก และพร้อมกันนั้นตนเองก็เป็นอิสระ ไม่ถูกสิ่งนั้นครอบงำด้วย
ถ้าหากว่าเป็นไปในทางตรงกันข้าม บุคคลนั้นก็จะมีพฤติกรรมในลักษณะที่ว่า มุ่งมาแสวงหา รวบรวมเอา หรือแม้แต่อาจจะใช้คำรุนแรงว่า กอบโกยเอาสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ เพื่อมาบำรุงบำเรอตนฝ่ายเดียว พร้อมทั้งในเวลาเดียวกันนั้น จิตใจของตนเองก็ตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นด้วย ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้องอย่างนี้ ชีวิตนั้น ก็ไม่มีคุณค่าอย่างแท้จริง และเมื่อถึงคราวจากโลกนี้ไป ก็เป็นการจากไปอย่างที่เรียกว่า ไม่เป็นอิสระเสรี
แต่ถ้าปฏิบัติถูกต้องครบทั้งสองระดับนี้ ทางพระท่าน เรียกว่า เป็นผู้มีชัยในโลกทั้งสอง คือ ทั้ง ‘โลกนี้’ และ ‘โลกหน้า’ เป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์สุขอันยิ่งใหญ่แก่โลกด้วย และตนเองก็ประสบประโยชน์สุขสูงสุด คือเป็นอิสระเสรีอยู่เหนือโลกด้วย นับเป็นความสุขที่แท้จริง คือ ให้เกิดสุขทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น และเป็นความสุข ทั้งในระดับในโลกและระดับเหนือโลก นี้เป็นความหมายของการปฏิบัติถูกต้องชอบธรรม ต่อเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ดังที่อาตมภาพได้กล่าวมา
สำหรับคนที่ได้ปฏิบัติถูกต้องต่อเรื่องทรัพย์ดังที่ได้กล่าวมา คือสามารถทำให้ทรัพย์สินเกิดมีขึ้น และเจริญเพิ่มพูนขึ้นโดยชอบธรรมด้วย ปฏิบัติต่อทรัพย์ โดยเป็นอุปกรณ์ในการที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์สุขให้เกิดขึ้นด้วย แล้วก็สามารถบริหารจัดสรรทรัพย์นั้น ให้เป็นไปในทางที่ก่อประโยชน์อย่างแท้จริงด้วย เมื่อกาลเวลาผ่านไป ท่านผู้นี้ ผู้ได้ปฏิบัติถูกต้องแล้ว มารำลึกถึงตนเอง ในแง่ที่เกี่ยวกับทรัพย์สมบัติ ก็จะมีความปลาบปลื้มปีติยินดี
ดังคาถาที่อาตมภาพได้ยกขึ้นมากล่าวในเบื้องต้น ว่า ‘ภุตฺตา โภคา ภฏา ภจฺจา’ เป็นต้น ที่พระสงฆ์นำมาอนุโมทนา ในบางคราวบางโอกาส เช่นเมื่อได้รับนิมนต์ไปฉันภัตตาหารในงานทำบุญอุทิศกุศล
ซึ่งเป็นการบอกกล่าวสอนธรรมแนะนำคำสอนของพระพุทธเจ้าแก่ญาติโยมด้วย คือบอกให้รู้ว่า ถ้าเราปฏิบัติต่อทรัพย์สินเงินทองอย่างถูกต้องแล้ว เราจะเกิดความรู้สึกสบายใจ เกิดปีติอิ่มใจ อย่างที่ว่าสามารถกล่าวกับตนเองว่า ‘ภุตฺตา โภคา ภฏา ภจฺจา’ เป็นต้น คือ อิ่มใจร่าเริงใจว่า ‘โภคทรัพย์ที่ควรจะใช้จ่าย เราก็ได้กินใช้จ่ายมาบริโภคให้เป็นประโยชน์แล้ว คนที่เราควรรับผิดชอบเลี้ยงดู เราก็ได้เลี้ยงดูรับผิดชอบแล้ว ประโยชน์ที่ควรจะทำจากทรัพย์นี้ เราก็ได้ทำแล้ว’
ผู้ใดที่พิจารณาตนเอง เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินเงินทองแล้ว สามารถมีความสบายใจ พูดกับตนเองได้อย่างนี้ ท่านเรียกว่า เป็นผู้มีชัยในโลกนี้ และถ้ามีจิตใจเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำด้วยสิ่งเหล่านั้น ก็ถือว่า มีชัยในโลกหน้าด้วย
พุทธศาสนิกชน เมื่อได้สดับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็จะได้ปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง โดยเริ่มตั้งแต่สิ่งที่ตนต้องเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันนี้เอง มีทรัพย์สินสมบัติเงินทอง เป็นต้น และเมื่อปฏิบัติธรรมในเบื้องสูงก็จะส่งผลย้อนกลับมา ถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันด้วย ท่านที่เจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสมาธิ บำเพ็ญสมถภาวนาตลอดจนกระทั่ง เจริญวิปัสสนาภาวนา ก็เพื่อทำจิตใจให้เป็นอิสระเสรีหลุดพ้น
เมื่อท่านปฏิบัติได้ผลจนเป็นผู้มีจิตใจเป็นอิสระเสรีแล้ว แม้ท่านจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สมบัติ ท่านก็จะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจครอบงำ ไม่เป็นทาสของทรัพย์สมบัติเหล่านั้น แต่จะทำให้ท่านมีความสามารถมากยิ่งขึ้นในการที่จะปฏิบัติต่อทรัพย์สมบัติให้เป็นคุณเป็นประโยชน์ทั้งแก่ชีวิตและแก่สังคมยิ่งขึ้นไป
@@@@@@@
อาตมภาพได้บรรยายมาในธรรมกถา โดยมีความมุ่งหมายเพื่อนำเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สมบัติเงินทองนี้ มาเป็นเครื่องเตือนสติเสริมปัญญาแก่พุทธศาสนิกชน ในโอกาสที่ท่านทั้งหลาย ได้มาบำเพ็ญกุศล ทำบุญร่วมกัน เพื่ออุทิศแก่ คุณบัญชา ล่ำซำ ผู้ได้ล่วงลับจากไป
คุณบัญชา ล่ำซำ เป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติงานมา ในฐานะผู้บริหาร มีหน้าที่จัดสรรและจัดการเกี่ยวกับเรื่องโภคทรัพย์ ผลงานที่เป็นรูปธรรมปรากฏ ก็คือ ธนาคารกสิกรไทย ดังที่ได้ปรากฏอยู่นี้ ธนาคารนั้น เป็นสถาบันสำคัญทางเศรษฐกิจ และมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติ ความเจริญก้าวหน้าอย่างถูกต้องของธนาคาร ก็จะทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าแก่เศรษฐกิจของประเทศชาติด้วย
คุณบัญชา ล่ำซำ ท่านได้ดำเนินกิจการของธนาคารมาด้วยความขยันหมั่นเพียร และด้วยความสามารถในการบริหาร จนกระทั่งทำให้ธนาคารกสิกรไทยนั้น ได้เจริญรุ่งเรืองงอกงามมา ดังปรากฎทางสื่อมวลชนที่กล่าวขวัญถึงว่า ได้เจริญก้าวจากการเป็นธนาคารอันดับที่ ๙ ขึ้นมาเป็นธนาคารอันดับที่ ๒ มีสาขามากมายทั่วประเทศถึง ๓๘๐ แห่งโดยประมาณ นับเป็นความดีเด่น ที่เกิดจากความสามารถของท่าน เรียกว่า เป็นความสำเร็จที่น่าปลื้มใจ
เมื่อกิจการที่เจริญก้าวหน้านี้มาอำนวยประโยชน์แก่สังคมขยายกว้างออกไป ก็นับว่าเป็นคุณค่าแห่งชีวิตของท่าน ซึ่งเป็นความดีงาม และความดีงามนี้จะสำเร็จได้ ก็ต้องอาศัยคุณธรรมในใจของท่านนั่นเอง กล่าวคือความมีจิตใจที่ประกอบด้วยสติปัญญาและเมตตากรุณา เป็นต้น ซึ่งนำไปสู่ความคิดที่จะเอื้อเฟื้อช่วยเหลือเกื้อกูลต่อสังคม ซึ่งท่านได้แสดงออกแล้วในบทบาทด้านต่างๆเกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคม ดังปรากฏในกิจการหลายอย่างนอกเหนือจากธนาคารด้วย ดังที่อาตมภาพได้ยกตัวอย่างมาแสดงแล้ว
จึงนับว่าเป็นสิ่งที่ญาติมิตร ครอบครัว ควรจะรำลึกถึงด้วยความยินดี ด้วยความมีปีติอิ่มใจ เมื่อมีปีติอิ่มใจแล้ว ก็จะเป็นเครื่องบรรเทาความเศร้าโศกอาลัยลงได้ประการหนึ่ง นอกจากนั้น ก็จะทำให้จิตใจมีความเบิกบาน ผ่องใส ซึ่งเป็นกุศลธรรม เมื่อมีจิตใจแช่มชื่น เบิกบาน ด้วยการรำลึกถึงคุณความดีของท่านผู้ล่วงลับแล้ว ก็เป็นการปฏิบัติถูกต้องตามหลักการของการประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลนี้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ทางพระศาสนาคือ การบูชาคุณความดีของท่านผู้ล่วงลับ และนอกเหนือจากการบูชาคุณความดี ก็คือ การที่ได้อุทิศกุศลให้แก่ท่านสมเจตนา
เพราะฉะนั้น ในวาระนี้ อาตมภาพจึงขอเชิญชวนญาติมิตรทั้งหลาย ตั้งต้นแต่ครอบครัวเป็นต้นไป รวมทั้งชาวพนักงานธนาคารกสิกรไทยทุกท่าน ขอจงร่วมใจกัน ตั้งจิตเป็นกุศล น้อมรำลึกถึงคุณความดีของคุณบัญชา ล่ำซำ แล้วตั้งใจอุทิศกุศลที่ได้บำเพ็ญแล้วทั้งหมดตลอดมา ตั้งแต่วาระที่ท่านล่วงลับจากไป ขอให้ท่านได้อนุโมทนาบุญกุศลที่เจ้าภาพทุกท่านได้บำเพ็ญแล้ว และขอให้ท่านประสบประโยชน์สุข เจริญในสุขสมบัติในสัมปรายภพ ยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดกาลนาน
อาตมภาพวิสัชชนาพระธรรมเทศนาพอสมควรแก่เวลา ยุติลงแต่เพียงเท่านี้ เอวัง ก็มี ด้วยประการฉะนี้Thank to :-
Photo : pinterest
URL :
https://www.watnyanaves.net/en/book-full-text/18บทความ : กระแสธรรม เพื่อชีวิตและสังคม เรื่อง "ทรัพย์สิน : มุมสำคัญของการปฏิบัติธรรม"
บรรยายโดย : สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
หมายเหตุ : พระธรรมเทศนานี้ แสดงในวันพระราชทานเพลิงศพ นายบัญชา ล่ำซำ ณ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๕ (ในการพิมพ์ครั้งนี้ ขอโอกาสละรายละเอียดผลงานของท่านผู้ล่วงลับ)