ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หน้าที่ของครู ทั้งให้ความรู้ และให้เครื่องคุ้มภัย  (อ่าน 1016 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


หน้าที่ของครู ทั้งให้ความรู้ และให้เครื่องคุ้มภัย

อย่างไรก็ตาม เหนือสิ่งอื่นใดในการที่ท่านอาจารย์เสฐียร พันธรังษี ได้ทำงานเหล่านั้น งานสำคัญของท่านก็คือการเป็นครูอาจารย์นั่นเอง หมายความว่า ผลงานทั้งหมด กิจกรรมทั้งหมด และความรู้สึกนึกคิดจิตใจของท่านนั้น แสดงออกมาในฐานะของครูอาจารย์ คือการที่เป็นผู้ให้คำแนะนำสั่งสอน และจากฐานนี้เองก็ทำให้ท่านเป็นที่เคารพนับถือของลูกศิษย์ลูกหา ที่มีอยู่จำนวนมากมาย และมีความกตัญญู ดังที่ได้มาแสดงออกร่วมกันบำเพ็ญกุศลในโอกาสนี้

เป็นธรรมดาในสังคมไทยของเรานี้ ซึ่งเป็นสังคมที่มีความเคารพนับถือครูอาจารย์มาก ยิ่งครูอาจารย์ท่านเป็นผู้ทำหน้าที่อย่างดีเท่าใด ศิษย์ก็ยิ่งมีความเคารพนับถือ มีความกตัญญูมากเท่านั้น สำหรับท่านอาจารย์เสฐียร พันธรังษี นั้นก็จะไม่ต้องกล่าวมาก เพราะว่าการที่ลูกศิษย์มาช่วยกันตั้งมูลนิธิให้ท่านเป็นต้นนี้ ก็เป็นหลักฐานอย่างดีที่แสดงถึงความเคารพรักต่อท่านแล้ว

ทีนี้ถ้าเรามาดูในแง่ของการทำหน้าที่ของครูอาจารย์ มองกว้างๆ ออกไป ท่านอาจารย์เสฐียร พันธรังษี ก็ปฏิบัติตามหลักการของพระพุทธศาสนา หน้าที่ของครูอาจารย์นั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วในคัมภีร์ทีฆนิกาย พระสูตรสำคัญที่กล่าวเรื่องนี้ ก็คือ สิงคาลกสูตร หรืออีกชื่อหนึ่งว่า สิคาโลวาทสูตร ที่แสดงถึงการทำงานหรือทำหน้าที่ของครูอาจารย์ไว้ในหลักธรรมเรื่องทิศหก มี ๕ ประการด้วยกัน

เราเรียนกันมาในหนังสือเรียนนักธรรมชั้นตรี ซึ่งท่านแปลให้อ่านกันง่ายๆ จำง่ายๆ ว่า
    (๑) แนะนำดี
    (๒) ให้เรียนดี
    (๓) บอกศิลปให้สิ้นเชิง ไม่ปิดบังอำพราง
    (๔) ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง
    (๕) ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย (คือ จะไปทางทิศไหนก็ไม่อดอยาก)

@@@@@@@

หลักปฏิบัติหมวดนี้มี ๕ ข้อ และ ๕ ข้อนี้ถือว่า เป็นหน้าที่ของครูอาจารย์

หน้าที่ของครูอาจารย์เป็นเรื่องสำคัญที่ว่า ถ้าทำถูกต้องแล้วจะช่วยให้ศิษย์มีชีวิตที่เจริญงอกงาม เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ ถ้าเรามาวิเคราะห์หน้าที่ ๕ ประการ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ก็อาจจะมองเห็นอะไรที่มันกว้างขวางออกไปอีก อาจจะมีนัยที่ลึกซึ้งลงไปซึ่งจะเรียนกันได้หลายชั้นก็ได้ จะขยายนัยกันไปอย่างไรก็ต้องยกเอาบาลีมาพิจารณา

เริ่มตั้งแต่ข้อหนึ่งบอกว่า สุวินีตํ วิเนนฺติ ที่ท่านแปลอย่างง่ายๆ ให้เราเรียนในชั้นนักธรรมตรีว่าแนะนำดี แนะนำดีนี้ ถ้าแปลตามศัพท์ สุวินีตํ วิเนนฺติ ก็จะแปลยักเยื้องไปได้อีกอย่างหนึ่ง ให้เป็นข้อความที่ยาวขึ้นว่า ฝึกอบรมให้เป็นผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างดี หรือใช้คำสมัยใหม่ก็คือ ฝึกอบรมให้เป็นผู้มีการศึกษาดี อันนี้ประการที่หนึ่ง

ต่อไปข้อที่สองบอกว่า สุคหิตํ คาหาเปนฺติ ให้ถือเอาโดยเป็นการถือเอาอย่างดี หมายความว่าให้เรียนได้อย่างดี คือไม่ว่าจะสอนวิชาที่เป็นข้อมูลความรู้หรือทักษะอะไรต่างๆ อย่างใดให้ ก็รับถ่ายทอดได้อย่างแม่นยำครบถ้วน และมีความเข้าใจชัดเจน

ต่อไปข้อที่สามบอกว่า สพฺพสิปฺเปสุ ตํ สมกฺขายิโน ภวนฺติ ในหนังสือเรียนนักธรรมตรี ท่านแปลให้จำกันง่ายๆ ว่า บอกศิลปให้สิ้นเชิง ไม่ปิดบังอำพราง

ทีนี้ถ้าเราดูตามศัพท์ก็มีแง่ให้พิจารณาเพิ่มขึ้น พอดีว่าข้อนี้แปลก ในอรรถกถาไม่อธิบาย หน้าที่ข้อที่สามของครูอาจารย์นี่ ไม่มีคำอธิบายในอรรถกถา แต่เราลองมาแปลดู

สพฺพสิปฺเปสุ ตํ สมกฺขายิโน ภวนฺติ อาจจะแปลว่า เป็นผู้บอกความรู้แก่ศิษย์นั้นอย่างสม่ำเสมอในศิลปะทั้งปวงก็ได้ คือเป็นผู้บอกกล่าวถ่ายทอดวิชาให้อย่างสม่ำเสมอ ทำหน้าที่เป็นประจำสม่ำเสมอก็ได้

อีกนัยหนึ่ง จะแปลว่า เป็นผู้บอกความรู้ให้ศิษย์นั้น เป็นผู้เสมอเท่ากันกับตัวท่านในศิลปะทั้งปวงก็ได้ ถ้าแปลอย่างนี้ ก็ตรงกับนัยที่ท่านแสดงไว้ คือสอนศิลปให้สิ้นเชิง ไม่ปิดบังอำพราง ให้มีความรู้เท่ากับท่าน

หรือจะแปลว่า บอกความรู้ให้อย่างเหมาะสมพอดีในศิลปะทั้งปวง หมายความว่ารู้ความเหมาะสมของลูกศิษย์นี้ว่าจะเรียนอะไรได้แค่ไหนก็สอนให้พอเหมาะก็ได้

หรืออีกนัยหนึ่งก็แปลว่า เป็นผู้บอกความรู้ให้อย่างสมดุลในศิลปวิทยาทั้งปวง หมายความว่า วิทยาการทั้งหลายมีความประสานสอดคล้องสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน จะต้องรู้จักความสมดุลด้วย คือสอนอย่างมีดุลยภาพในวิชาการทั้งหลาย เรื่องความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างวิชาการต่างๆ นี้ ในสมัยหลังให้ความสำคัญมาก โดยนัยนี้ ก็จะต้องมีการบอกศิลปวิทยาหรือสอนความรู้ให้อย่างที่เรียกว่ามีดุลยภาพด้วย อันนี้ก็เป็นข้อซึ่งอาจจะฝากไว้ช่วยกันพิจารณาต่อไป



ต่อไปข้อที่สี่ว่า มิตฺตามจฺเจสุ ปฏิเวเทนฺติ แปลว่า ประกาศให้ปรากฏในมิตรและอำมาตย์ทั้งหลาย มิตฺต ก็คือเพื่อนฝูง อมจฺจ แปลว่าผู้ร่วมงาน รวมแล้วก็หมายความว่าในวงผู้รู้จักคุ้นเคยหรือเกี่ยวข้องในสังคมนั่นเอง ถ้าว่าอย่างสมัยใหม่ ก็คือนำลูกศิษย์เข้าสู่สังคม

ในสมัยปัจจุบันนี้ถือว่า หน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของการศึกษาก็คือ socialization การนำคนเข้าสู่สังคม หมายความว่า หน้าที่อย่างหนึ่งของครูอาจารย์ก็คือ การนำลูกศิษย์เข้าสู่สังคมให้ปรากฏตัวแสดงตัวเป็นที่ยอมรับในสังคม รู้จักเข้าสังคม มีคุณความดีความสามารถอะไร ก็ยกย่องทำให้ปรากฏ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะดำเนินชีวิตให้มีความสุขความเจริญในอนาคตต่อไป

ประการสุดท้าย ข้อที่ห้าว่า ทิสาสุ ปริตฺตาณํ กโรนฺติ แปลว่า ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย อรรถกถาท่านอธิบายไว้เยอะแยะ ข้อนี้เป็นข้อที่อรรถกถาอธิบายไว้มากที่สุด ในหนังสือเรียนนักธรรมตรีของเรา ท่านแปลไว้สั้นๆ ว่า ทำความป้องกันในทิศทั้งหลายคือ จะไปทางทิศไหนก็ไม่อดอยาก อันนี้ก็เป็นความหมายขั้นหนึ่ง หมายความว่า นอกจากสอนแล้วก็ดูแลเอาใจใส่ลูกศิษย์ด้วย

แต่เมื่อแปลดูจับใจความแล้ว หน้าที่ข้อนี้ก็คือการที่จะให้ลูกศิษย์สามารถไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ เอาตัวอยู่รอดในสังคมได้ และดำเนินชีวิตอยู่ด้วยดีในสังคมต่อไป ข้อนี้ ก็เป็นหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของครู และในการที่จะทำให้ลูกศิษย์อยู่รอดปลอดภัยในสังคม ดำเนินชีวิตไปได้ด้วยดีนั้น

สิ่งสำคัญประการที่หนึ่งก็คือ จะต้องสอนวิชาให้ศิษย์เอาไปปฏิบัติหรือใช้การได้จริง ไม่ใช่สอนสักว่าผ่านๆ ต้องสอนให้เขาทำได้จริง ปฏิบัติได้จริงด้วย ถ้าเป็นอาชีพก็เป็นการฝึกสอนที่ทำให้เขามีความชำนิชำนาญนำไปใช้เลี้ยงชีวิตได้จริง

อย่างการศึกษาในยุคปัจจุบัน เวลานี้มีการติเตียนกันอย่างหนึ่งว่า สอนไปแล้วบางทีลูกศิษย์เรียนได้ไปแต่ทฤษฎี ปฏิบัติไม่ได้ เวลาออกไปแล้วทำอาชีพไม่ได้ ต้องไปเรียนใหม่ ไม่สามารถสู้คนที่เขาฝึกมาด้วยประสบการณ์ โดยไม่มีพื้นความรู้ จบเพียง ป. ๔ เท่านั้น แต่เขาอยู่ในวงงานนั้นและทำได้ดีกว่า ข้อบกพร่องนี้เกิดขึ้นเพราะว่าไม่มีการฝึกงานที่แท้ ไม่มีการสอนในภาคปฏิบัติกันจริงจัง

เพราะฉะนั้น ความหมายส่วนหนึ่งในข้อนี้ก็คือการที่จะต้องสอนให้ศิษย์ปฏิบัติได้จริง จนกระทั่งเอาไปประกอบเป็นอาชีพเลี้ยงตัวได้ แล้วเขาจึงจะไม่อดอยาก ไม่แร้นแค้น อยู่ได้ด้วยดีในสังคม เป็นการสร้างเครื่องคุ้มครองในสารทิศให้แก่เขาได้จริง

อีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เขาอยู่รอดปลอดภัยในสังคม ก็คือการรับรองความรู้ให้ อาจจะเอื้อมไปถึงการรับรองความประพฤติด้วย การรับรองในสมัยนี้ก็ออกมาในรูปแบบของการให้ใบประกาศนียบัตรและใบสำคัญต่างๆ ฉะนั้น การให้ใบประกาศนียบัตร ปริญญาบัตร และให้ใบรับรองความประพฤติ ก็อยู่ในข้อที่ห้านี้เอง เป็นสาระของการกระทำความคุ้มครองหรือป้องกันในทิศทั้งหลาย คือให้ลูกศิษย์อยู่รอดปลอดภัยในสังคม ดำเนินชีวิตด้วยดีได้ต่อไป

@@@@@@@

การศึกษามีหน้าที่หลักใหญ่ คือสอนให้เป็นคนดีที่เก่ง

ที่ว่ามานี้เป็นหน้าที่ ๕ ประการของครู ซึ่งจะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เฉพาะครูเท่านั้น โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาทุกแห่งก็จะต้องทำหน้าที่นี้ ในที่นี้อยากจะเน้นความสำคัญ ๒ ประการ ข้อหนึ่งกับข้อสองนี่น่าเน้นมาก แล้วดูการเรียงลำดับของท่านด้วย

    ข้อที่ ๑. สุวินีตํ วิเนนฺติ แนะนำหรือฝึกฝนให้เป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนอบรมอย่างดี ให้เป็นคนมีการศึกษาดี เป็นข้อที่เน้นหนักในด้านจริยธรรม
    ข้อที่ ๒. สุคหิตํ คาหาเปนฺติ ให้รับเอาความรู้ได้อย่างดี นี้เป็นข้อที่เน้นในแง่ของวิชาการ

    ตกลงว่ามีจุดเน้นสองข้อ ข้อที่หนึ่งเอาจริยธรรมนำมาก่อน ฝึกฝนอบรมให้เป็นคนดี ให้เป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีแล้ว เป็นคนที่เรียกได้ว่า educated man คือ เป็นคนที่มีการศึกษาดี
    สุวินีต ถ้าแปลอย่างศัพท์สมัยใหม่ ก็ educated นั่นเอง จะต้องพยายามหาทางว่า ทำอย่างไรจะสอนเขาให้เป็นคนมีการศึกษาที่แท้จริง ให้เป็นคนที่ได้มีการฝึกฝนอบรมพัฒนาแล้วทั้งทางกาย ทางสังคม ทางจิตใจ และทางปัญญา อย่างนี้จึงจะเป็นคนที่มีการศึกษา ทั้งนี้จุดเน้น ก็คือ จริยธรรม มาเป็นอันดับแรก

    แล้วข้อที่สองก็เน้นในด้านความรู้ หมายความว่าการที่พระพุทธเจ้าตรัสข้อหนึ่งและข้อสองมานี้ แสดงถึงการที่ครูจะต้องรับผิดชอบทั้งความรู้และความประพฤติของนักเรียน คือทั้งวิชชาและจรณะ

ข้อสังเกตสำคัญคือ การที่ท่านเอาข้อว่าด้วยความประพฤติ หรือ "จรณะ" ขึ้นก่อน คือเอา สุวินีตํ วิเนนฺติ ขึ้นก่อน แล้วจึงมาถึง สุคหิตํ คาหาเปนฺติ แสดงว่า ต้องเน้นเรื่องความประพฤติ

ในอรรถกถาท่านอธิบายไว้ ที่ว่าแนะนำให้เป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนอบรมดีนี้เป็นอย่างไร ท่านยกตัวอย่าง เช่น สอนหรือแนะนำแม้กระทั่งว่า ควรจะนั่งอย่างไร ควรจะยืนอย่างไร ควรจะบริโภคอาหารอย่างไร นี้ก็คือ การฝึกอบรมแม้แต่ในเรื่องกริยามารยาท หรือเรื่องจริยธรรมทั้งหมดนั้นเอง รวมถึงการประพฤติตัว การอยู่ร่วมสังคมในแง่ต่างๆ อันนี้เป็นหน้าที่ขั้นพื้นฐานของครูอาจารย์ จริยธรรม เป็นข้อนำหน้า

แล้วข้อที่สองคือ "วิชชา" จึงตามมา ก็ได้ทั้งวิชชาและจรณะ พูดอย่างง่ายๆ ว่า ให้เป็นคนดีเป็นพื้นฐานก่อน แล้วให้เป็นคนเก่งด้วย จะได้เป็นคนดีที่เก่ง

เพียงข้อหนึ่งและข้อสองนี้ก็มากมายแล้ว สำหรับการทำหน้าที่ของครูอาจารย์และสถาบันการศึกษา ต่อจากนั้นยังมีตามมาอีกตั้งสามข้อเป็นส่วนพิเศษ สองข้อแรกนี้เป็นการให้ทั้งความรู้และความประพฤติ

ในแง่ของความรู้หรือวิชาการ และความประพฤติหรือจรณะหรือจริยานี้ สำหรับข้อสองคือในแง่ของความรู้ นั้นว่าที่จริงก็ไม่ใช่ความรู้อย่างเดียวเท่านั้นที่ครูจะให้ แต่พร้อมกับความรู้ที่เป็นวิชาการนั้น จะต้องมีอะไรอีกอย่างหนึ่งติดมาด้วยเป็นคู่กัน คือความรู้กับความคิด เพราะฉะนั้น ข้อที่สองจึงแยกออกไปเป็นความรู้และความคิด

ความรู้และความคิดนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ให้แต่ความรู้อย่างเดียว ถ้าไม่ให้ความคิดด้วยก็ไม่พอ ผู้ที่มีการศึกษาจะต้องคิดเป็นด้วย

ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าครูเป็นกัลยาณมิตร กัลยาณมิตร นั้นนอกจากให้ความรู้ข้อมูลแก่ศิษย์ คือให้สุตะแล้ว จะต้องฝึกให้รู้จักคิดด้วย ให้สุตะก็คือให้ข้อมูล ตัวความรู้ ตัววิชาการ ฝึกให้รู้จักคิด คือจะต้องชักนำให้เกิดโยนิโสมนสิการด้วย คือฝึกให้รู้จักคิดรู้จักพิจารณา รู้จักไตร่ตรองโดยแยบคายอย่างที่เขาเรียกกันในสมัยนี้ว่าคิดเป็น ครูอาจารย์จะต้องให้ทั้งความรู้และความคิด



ครูอาจารย์เป็นฐานให้ ศิษย์ขึ้นไปเหยียบยืนก็สูงพลัน

การที่ครูอาจารย์ทำหน้าที่แม้เพียงแค่ให้ความรู้และความคิด หรือชักนำในการที่จะมีความรู้และความคิดนี้ ก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมหาศาลแล้ว แม้ครูทำหน้าที่เพียงสองอย่างนี้ก็เป็นผู้มีพระคุณที่ศิษย์ควรกตัญญูเป็นอย่างยิ่ง ขอให้มองดูคุณค่าของความรู้และความคิดนี้ ถ้าเรามองดูให้ลึกซึ้งแล้ว มันเป็นสิ่งที่สำคัญเหลือเกิน ถ้าเราเปรียบในแง่ของความได้เปรียบระหว่างครูอาจารย์กับลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็เป็นผู้ที่ได้เปรียบอย่างยิ่ง

วิชาความรู้บางอย่างนี่ ครูอาจารย์กว่าจะค้นกว่าจะคิดขึ้นมาได้ใช้เวลานานเหลือเกิน และแรงงานก็หนัก หมายความว่าทั้งหนักและนาน กว่าจะได้ความรู้นั้นมา ความคิดก็เช่นกัน ค้นคิดอยู่นั่นแหละ บางคนนี้เรื่องเดียว ทุ่มเทเวลาและแรงงานให้กับเรื่องนั้นตลอดชีวิตจึงสำเร็จผล แต่พอเอามาสอนลูกศิษย์เพียงชั่วโมงเดียวลูกศิษย์ก็ได้ไปหมดแล้ว นี่คือผลของหยาดเหงื่อแรงงานและเวลาของอาจารย์ทั้งชีวิต ลูกศิษย์รับเอาไปเดี๋ยวเดียวก็ได้หมด

เพราะฉะนั้นเราจะต้องนึกว่า ครูอาจารย์นี่เหนื่อยและหนักเพียงไร แล้วคุณค่าแห่งชีวิตของท่านทั้งหมดก็มารวมอยู่ที่วิชาการและความคิดที่ให้แก่เรา เพราะฉะนั้น ในแง่นี้ลูกศิษย์ก็ควรจะมีความกตัญญู รู้คุณ ซาบซึ้งในคุณความดีของท่านเป็นอย่างมาก ในแง่ความคิดก็เช่นเดียวกัน

ในแง่ความรู้ เมื่ออาจารย์ใช้เวลาและแรงงานมากมายหมดไปแล้ว ได้ความรู้มาแค่นั้น แล้วเอามาให้ลูกศิษย์ ลูกศิษย์ใช้เวลานิดเดียวและแรงงานนิดเดียวได้มา ต่อจากนั้นลูกศิษย์ก็มีเวลาและมีโอกาสที่จะไปหาความรู้อื่นมาเสริม ขยายความรู้กว้างขวางออกไป นี่เป็นความได้เปรียบประการที่หนึ่ง

ประการที่สอง ในแง่ของความคิด อาจารย์จะมองจะพิจารณาเรื่องอะไร ก็เอาความคิดของตัวเข้าพิจารณาจนเต็มที่แล้ว เมื่อได้ผลของความคิดมา ก็เอามาบอกแก่ลูกศิษย์ ความคิดของตัวหรือผลผลิตของวิจารณญาณเอาออกมา บอกลูกศิษย์เดี๋ยวเดียวก็หมด

แต่ลูกศิษย์ซึ่งเป็นผู้มอง เมื่อได้รับผลอันนี้ไปแล้ว เสร็จแล้วตัวเองมีแง่คิดของตัวเองอย่างไร ก็เป็นส่วนเพิ่มเข้ามาอีก ธรรมดาคนแต่ละคนก็ย่อมมีความคิดของตัวเอง โดยมีแง่มุมมองของตน ตนเองมีแง่มุมมองอย่างอื่นก็ได้ส่วนของตนเองเสริมเข้าไปอีก เพราะฉะนั้น ถ้าอาจารย์มีหนึ่ง ลูกศิษย์ก็ได้อย่างน้อยสอง

ในแง่ความรู้ อาจารย์หามานานได้เล็กน้อย แต่ลูกศิษย์มีเวลาไปหาเพิ่มต่อได้มากมาย ในแง่ความคิด อาจารย์มีหนึ่งแต่ลูกศิษย์ขยายเป็นสอง เพราะฉะนั้นลูกศิษย์ก็ย่อมได้เปรียบอาจารย์ จึงเป็นธรรมดาที่ลูกศิษย์ควรจะดีกว่าอาจารย์ ถ้ามองในแง่นี้แล้ว ย่อมเป็นธรรมดาที่ลูกศิษย์จะต้องดีกว่าอาจารย์

ถ้าลูกศิษย์ไม่ดีกว่าอาจารย์แล้ว โลกไม่เจริญ และแสดงว่าลูกศิษย์นั้นไม่มีความสามารถ เพราะอะไร เพราะว่าของที่เขาหยิบเป็นผลสำเร็จเอามายื่นให้ตัวเองรับไปเดี๋ยวเดียวยังรับไม่ได้ บางทีแม้แต่รับก็ไม่ได้ อย่าว่าถึงจะไปสานสืบขยายต่อไป

มองอย่างนี้แล้ว ก็เป็นเรื่องที่ว่า ลูกศิษย์ควรจะมีความรู้และความคิดที่เจริญงอกงามยิ่งกว่าอาจารย์ ซึ่งเป็นธรรมดาของการสร้างสรรค์อารยธรรมที่ควรจะเป็นอย่างนั้น "พูดเปรียบง่ายๆ ในแง่หนึ่ง เหมือนครูอาจารย์เป็นฐานให้ แล้วลูกศิษย์ขึ้นไปยืน ก็ย่อมสูงเลยขึ้นไป"

นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ยกมากล่าว เพื่อให้เห็นว่า เพียงแต่ครูอาจารย์ทำหน้าที่ข้อที่หนึ่งและข้อที่สองที่ว่า สุวินีตํ วิเนนฺติ ฝึกอบรมให้เป็นคนที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างดี และ สุคหิตํ คาหาเปนฺติ ให้ได้รับความรู้เป็นอย่างดี เพียงแค่นี้ก็มีพระคุณมากมาย แม้แต่เพียงข้อสองข้อเดียวก็เป็นเรื่องมหาศาลอยู่แล้ว เพราะทำให้ศิษย์มีฐานที่จะสร้างสรรค์ความเจริญพัฒนาทั้งแก่ชีวิตของตนเองและแก่สังคมได้สืบต่อไป

@@@@@@@

ความกตัญญู คือเอาดีจากครูให้ได้มากที่สุด

ทีนี้เรามามองดูว่าศิษย์ควรจะทำอย่างไรจึงจะสามารถรับความรู้ของอาจารย์ได้หมดและเป็นศิษย์ที่ดีกว่าครู ดีกว่าครูในแง่ที่ว่าสามารถพัฒนาสร้างสรรค์ยิ่งขึ้นไปโดยที่ยังเห็นคุณค่าของครู คือเป็นศิษย์ที่กตัญญูแล้วก็มีคุณค่าของตนเองด้วย

เพราะฉะนั้น เพื่อสนองน้ำใจที่ดีงามของครูผู้มีพระคุณอย่างที่กล่าวมา ศิษย์ควรจะทำตนให้เป็นคนดีมีน้ำใจต่อครูด้วยการทำหน้าที่ของตนเองให้ถูกต้องสมบูรณ์ และหน้าที่ของศิษย์นั้นพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้แล้วเป็นคู่กัน ทรงสอนไว้สำหรับอาจารย์ห้า และก็สอนไว้สำหรับลูกศิษย์ห้า เช่นเดียวกัน

เมื่อลูกศิษย์ทำหน้าที่ของตนเองตามหลักปฏิบัตินี้ มองในแง่หนึ่งก็เหมือนกับว่าไปปรนนิบัติเอาใจครูอาจารย์ ซึ่งในส่วนหนึ่งเราจะเห็นว่า เป็นอย่างนั้น แต่ที่จริงการกระทำอย่างนั้น เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่ตัวลูกศิษย์เอง การที่ลูกศิษย์ไปปรนนิบัติแสดงความกตัญญูเคารพครูอาจารย์นั้น ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ชีวิตของลูกศิษย์เอง แล้วก็จะเป็นประโยชน์ในการสืบทอดวิชาการ คือทำประโยชน์ให้แก่วิชาการไปด้วย

หน้าที่ของลูกศิษย์ หรือข้อปฏิบัติของศิษย์ต่ออาจารย์ ก็ดังเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว มีห้าข้อเช่นเดียวกัน ในหนังสือเรียนนักธรรมตรีขั้นต้น ท่านก็แปลให้เราจำกันง่ายๆ บอกว่ามีอะไรบ้าง โดยไม่ต้องอธิบายขยายความ กล่าวคือ ศิษย์แสดงน้ำใจต่ออาจารย์หรือปฏิบัติอาจารย์

     ๑. ด้วยลุกขึ้นยืนรับ
     ๒. ด้วยเข้าไปยืนคอยรับใช้
     ๓. ด้วยเชื่อฟัง
     ๔. ด้วยอุปัฏฐาก
     ๕. ด้วยเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ

อันนี้เป็นการแปลเพื่อให้เราเรียนในขั้นต้น ทีนี้เราก็มาดูในภาษาบาลี

ข้อที่ ๑. อุฏฺฐาเนน ได้แก่การลุกขึ้นยืนรับ ข้อนี้ตรงกับที่เราเรียน คือการแสดงความเคารพนั่นเอง การแสดงความเคารพเป็นเบื้องต้นของการที่เราให้ความสำคัญแก่สิ่งที่เราเกี่ยวข้อง พอเราให้ความสำคัญแก่สิ่งนั้น เราก็จะเกิดความตั้งใจเอาจริงเอาจัง เพราะฉะนั้น เมื่อพบครูอาจารย์ เราก็ให้ความสำคัญแก่ท่าน พอให้ความสำคัญด้วยการแสดงความเคารพแล้ว ต่อจากนั้นเราก็พร้อมที่จะรับฟัง มีความตั้งใจฟังหรือเล่าเรียนอย่างจริงจัง ต่อจากลุกรับแสดงความเคารพ ให้ความสำคัญแล้ว

@@@@@@@

ข้อที่ ๒. อุปฎฺฐาเนน ท่านให้ไว้สั้นๆ ว่า เข้าไปยืนคอยรับใช้ แต่ อุปัฏฐานะ นี้คืออะไร แปลตามตัว ก็เข้าไปยืนใกล้ๆ อุปัฏฐานนี้เราแปลกันอย่างโบราณก็คือ เข้าไปเฝ้า การเฝ้านั้น มีความหมายอย่างไร ไม่ใช่เข้าไปบำรุงรับใช้อย่างเดียว อย่างเข้าไปเฝ้าพระราชา เฝ้านั้นในแง่หนึ่งก็รับใช้พระราชา แต่ความหมายที่แท้ก็คือทำราชการนั่นเอง ทำราชการก็คืองานหน้าที่เพื่อการแผ่นดินหรือเพื่อประเทศชาติ

ฉะนั้น การที่เข้าไปเฝ้าไปยืนใกล้ชิดนี่มันมีความหมายถึง การไปคอยรับฟังสิ่งที่ท่านจะบอกให้เรา ไปปรึกษาหารือ เผื่อว่าเรามีอะไรเป็นข้อสงสัยก็ไปไถ่ถามท่าน มีอะไรที่จะทำได้ก็จะได้ทำ พูดง่ายๆ เข้าไปหา หรือเข้าไปอยู่ใกล้ชิด

การที่จะรับความรู้จากอาจารย์ ตลอดจนซึมซาบในเรื่องความประพฤติของท่าน และในบุคลิกลักษณะของท่านได้อย่างดี ก็ต้องเข้าไปมีความใกล้ชิด การเข้าไปยืนอยู่ใกล้ก็คือเข้าไปอยู่ใกล้ชิดนั่นเอง ในอรรถกถาท่านยังอธิบายเพิ่มเติมไว้ด้วยว่า ศิษย์ควรเข้าไปยืนอยู่ใกล้ (คือเข้าไปหาอาจารย์) วันละสามเวลา ไม่นับที่เข้าไปเพื่อเรียนศิลปวิทยาต่างหาก ว่าอย่างนั้น

นี่แสดงว่า การที่ท่านบอกไว้อย่างนี้ ก็เพื่อให้ลูกศิษย์นั้นเก็บจากอาจารย์ได้หมดสิ้น เรียบไม่มีเหลือหรอ หลักการนี้ก็คือการที่จะให้ลูกศิษย์ได้จากอาจารย์ให้ครบ เพราะการเรียนสมัยโบราณเป็นการเรียนตัวต่อตัว การที่กำหนดหน้าที่เข้าไปเลยว่า ให้เข้าไปอยู่ใกล้ๆ คอยอยู่ใกล้ชิด จึงเป็นวิธีการที่ดีที่จะได้รับเอาความรู้ ศิลปวิทยา ตลอดจนคำแนะนำสั่งสอนทุกด้านทั้งวิชชาและจรณะเอามาให้ครบถ้วนทั้งหมด อุปัฏฐานะนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

ในพระไตรปิฎกมีข้อความกล่าวถึงอาคารสำคัญหลังหนึ่งในวัด คือ อุปัฏฐานศาลา ซึ่งเราแปลกันมาว่า ศาลาเป็นที่บำรุง ศาลาเป็นที่บำรุงอันนี้ใช้งานอย่างหนึ่งก็คือเป็นหอฉัน แต่เวลาบ่ายหลังจากพระฉันแล้วใช้เป็นอะไร พระพุทธเจ้าเคยเสด็จไปที่อุปัฏฐานศาลา

พระภิกษุรูปหนึ่งกำลังแสดงธรรมให้พระภิกษุรูปอื่นๆ ในที่ประชุมฟัง พระองค์เห็นว่าพระภิกษุรูปนั้นแสดงธรรมค้างอยู่ พระองค์ก็ไม่เข้าไปขัด พระองค์ก็ประทับยืนอยู่ข้างนอก รอจนกระทั่งพระภิกษุรูปนั้นแสดงธรรมจบแล้ว พระองค์จึงทรงกระแอมไอและเสด็จเข้าไป แล้วก็ทรงอนุโมทนาการที่ภิกษุรูปนั้นได้แสดงธรรมให้เพื่อนภิกษุฟัง อย่างนี้เป็นต้น

อุปัฏฐานศาลาก็แปลว่า ศาลาเป็นที่ประชุมนั่นเอง คือเป็นที่มาเล่าเรียน มาฟังหาความรู้ และมาประชุมสังสรรค์พบปะสนทนา และสากัจฉาอะไรต่างๆ เพราะฉะนั้น อุปัฏฐานนี่น่าจะแปลกันให้กว้าง การเข้าไปยืนใกล้ชิดนี้ ย่อมหมายถึงการเข้าไปหา เพื่อจะได้เข้าไปรับความรู้ก็ตาม ปรึกษาหารือก็ตาม สำเหนียกทุกอย่างที่จะเป็นประโยชน์ก็ตาม รวมความก็คือ การใกล้ชิดอาจารย์ที่จะเป็นประโยชน์ในทางการศึกษาทุกอย่างนั่นเอง นี่เป็นอุปัฏฐานะ

ข้อ ๓. สุสฺสูสาย ที่แปลกันว่า เชื่อฟังนั้น ถ้าถือตามตัวอักษรก็แปลว่า ฟังด้วยดี ฟังด้วยดี ก็มีความหมายหลายอย่าง อย่างหนึ่งก็คือ ตั้งใจฟัง อย่างหนึ่งก็คือสำเหนียก สำเหนียกก็คือการรู้จักกำหนดเลือกเอาส่วนที่เป็นประโยชน์จากสิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง เอามาใช้ประโยชน์ได้ อย่างที่บอกว่า สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา เป็นต้น

ข้อ ๔. ปาริจริยาย ในหนังสือเรียนนักธรรมชั้นตรี ท่านแปลไว้ว่า ด้วยอุปัฏฐาก อุปัฏฐากนี้ที่จริงเป็นคำแปลของข้อที่สองคือ อุปัฏฐาเนน แต่ท่านยกไปเป็นคำแปลของ ปาริจริยาย ปาริจริยาย ก็คือการปรนนิบัตินั่นเอง หมายความว่า ข้อนี้เป็นการรับใช้ส่วนตัว เป็นการใกล้ชิดมากขึ้นไปอีก โดยการที่เอาใจใส่ดูแลความเป็นอยู่ของท่าน ท่านบอกว่าตั้งแต่ตื่นเช้าก็เอาไม้สีฟันไปให้ดังนี้เป็นต้น

นี่คือหลักการอยู่ร่วมกันที่ทางการศึกษาสมัยโบราณถือว่าเป็นการเรียนตัวต่อตัว และให้อาจารย์กับลูกศิษย์เหมือนพ่อกับลูก เพราะฉะนั้น ความหมายของการอยู่ใกล้ชิดกันประการหนึ่งก็คือ การเอาใจใส่ต่อความเป็นอยู่ส่วนตัวของกันและกัน

ข้อ ๕. สกฺกจฺจํ สิปฺปํ ปฏิคฺคหเณน ถือเอาหรือรับเอาศิลปวิทยาโดยเคารพ ที่ว่าโดยเคารพก็คือ โดยตั้งใจทำจริงทำจัง ไม่ใช่ทำเล่นๆ หมายความว่า ตั้งใจเล่าเรียนนั่นเอง เมื่อตั้งใจเล่าเรียน ก็เป็นการทำหน้าที่ของเราต่อวิชาการนั้นเอง ข้อปฏิบัตินี้มองในแง่หนึ่งก็เป็นการปฏิบัติต่อครูอาจารย์ แต่ที่จริงก็คือเป็นการปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลทางวิชาการ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง และเป็นประโยชน์แก่วิชาการในการที่จะสืบทอดวิชาการนั้นให้คงอยู่สืบต่อไปด้วย

ลูกศิษย์นั้นมีหน้าที่ในการขยายวิชาการ ถ้าหากว่าลูกศิษย์มีความสามารถปฏิบัติถูกต้องตามหน้าที่ ๕ ประการนี้แล้ว ก็จะสามารถรับการถ่ายทอดวิชาการได้อย่างดี และจะเป็นลูกศิษย์ที่สามารถขยายวิชาการนั้นให้รุ่งเรือง เฟื่องฟูยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมจากรุ่นของอาจารย์อีก แล้ววิชาการนั้นจึงจะเป็นหลักสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ

อันนี้ก็เป็นข้อปฏิบัติต่างๆ ที่นำมากล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่มาในพระบาลี แต่เรายกมาเพื่อจะมาวิจารณ์ หรือว่ามาขยายความกัน ก็ได้กล่าวมาเป็นเวลาพอสมควร






Thank to :-
Photo : pinterest
URL : https://www.watnyanaves.net/en/book-full-text/18
บทความ : กระแสธรรม เพื่อชีวิตและสังคม, เรื่อง "หน้าที่ของครู ทั้งให้ความรู้ และให้เครื่องคุ้มภัย" (ยกมาเพียงส่วนหนึ่ง)
บรรยายโดย : พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ในโอกาสบำเพ็ญกุศลปัญญาสมวาร อุทิศ ศาสตราจารย์เสฐียร พันธรังสี ณ ตึกมหาธาตุวิทยาลัย วัดมหาธาตุ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๓๔
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 31, 2022, 06:53:15 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ