ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "อานาปานสติ" สติปัฏฐานที่ พระพุทธองค์ทรงแนะนำ  (อ่าน 837 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



อานาปานสติ : สติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ

สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลี ตรัสบอกอสุภกรรมฐานแก่ภิกษุทั้งหลาย เมื่อได้เรียนกรรมฐานแล้ว ภิกษุเหล่านั้นก็เริ่มปฏิบัติกรรมฐาน ครั้นปฏิบัติไปได้สักระยะหนึ่ง ก็เกิดความรู้สึกอึดอัด เบื่อหน่าย รังเกียจร่างกายของตน จึงฆ่าตัวตายเองบ้าง ใช้กันและกันให้ฆ่าบ้าง ภิกษุบางกลุ่มก็ไปบอกตาเถนมิคลัณฑิกะให้ฆ่าบ้าง ตาเถนนั้นรับจ้างฆ่าภิกษุบางวันฆ่าไปถึง ๖๐ รูป ทำให้ภิกษุตายไปเป็นจำนวนมาก

พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อง ทรงรับสั่งให้พระอานนท์เรียกประชุมสงฆ์ ตรัสพรรณนาคุณของอานาปานสติว่า

   “อานาปานสติสมาธิแม้นี้ ที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นสภาพสงบประณีต สดชื่น เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข และทำอกุศลธรรมชั่วร้ายทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นแล้วๆ ให้อันตรธานไป สงบไปโดเร็ว”

จากนั้น พระพุทธองค์ตรัสสอน วิธีการเบื้องต้นแห่งวิธีปฏิบัติอานาปานสติว่า “ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า มีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า”

@@@@@@@

จากนั้นทรงสอนวิธีการปฏิบัติโดยละเอียด โดยให้กาหนดลมหายใจเข้าออก ๒ ขั้นใหญ่ ๑๖ ขั้นย่อย ดังนี้

ขั้นที่ ๑ มีสติกาหนดรู้ลมหายใจแบบรวม

    (๑) เมื่อหายใจออก-เข้ายาว ก็รู้ชัดว่า “หายใจออก-เข้ายาว”
    (๒) เมื่อหายใจออก-เข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า “หายใจออก-เข้าสั้น”

ขั้นที่ ๒ มีสติกาหนดรู้เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดของลมหายใจ

    (๓) สำเหนียกว่า “จะรู้ชัดกองลมทั้งปวง หายใจออก-เข้า”
    (๔) สำเหนียกว่า “จะระงับกายสังขาร หายใจออก-เข้า”
    (๕) สำเหนียกว่า “จะรู้ชัดปีติ หายใจออก-เข้า”
    (๖) สำเหนียกว่า “ชัดจะรู้สุข หายใจออก-เข้า”
    (๗) สำเหนียกว่า “จะรู้ชัดจิตตสังขาร หายใจออก-เข้า”
    (๘) สำเหนียกว่า “จะระงับจิตสังขาร หายใจออก-เข้า”
    (๙) สำเหนียกว่า “จะรู้ชัดจิต หายใจออก-เข้า”
  (๑๐) สำเหนียกว่า “จะยังจิตให้บันเทิง หายใจออก-เข้า”
  (๑๑) สำเหนียกว่า “จะตั้งจิตมั่น หายใจออก-เข้า”
  (๑๒) สำเหนียกว่า “จะเปลื้องจิต หายใจออก-เข้า”
  (๑๓) สำเหนียกว่า “จะพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง หายใจออก-เข้า”
  (๑๔) สำเหนียกว่า “จะพิจารณาเห็นความคลายออกได้ หายใจออก-เข้า”
  (๑๕) สำเหนียกว่า “จะพิจารณาเห็นความดับไป หายใจออก-เข้า”
  (๑๖) สำเหนียกว่า “จะพิจารณาเห็นความสลัดเสียได้ หายใจออก-เข้า”

@@@@@@@

อานาปานสติเป็นรากฐานทำให้สติปัฏฐาน ๔ ทั้งหมด และมีอานิสงส์สืบเนื่อง ทำให้หมวดธรรมอื่นๆ บริบูรณ์ ดังพระพุทธองค์ตรัสไว้ ในอานาปานสติสูตร ตอนหนึ่งว่า

    “อานาปานสติที่ภิกษุเจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก , อานาปานสติที่ภิกษุเจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อมทำสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์, สติปัฏฐาน ๔ ที่ภิกษุเจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อมทำโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ , โพชฌงค์ ๗ ที่ภิกษุเจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์”

นี้เป็นเหตุผลที่พระพุทธองค์ ทรงแนะนำกรรมฐานแบบอานาปานสติเป็นพิเศษ พระอรหันต์ที่ผ่านการบำเพ็ญอานาปานสติกรรมฐานอยู่นิตย์ ย่อมสามารถล่วงรู้ได้ว่า ตัวเองจะนิพพาน(ตาย)ในวันไหน เวลาไหน เช่น กรณีของพระติสสเถระ แห่งวัดโกฏิบรรพตวิหาร, พระมหาติสสเถระ แห่งวัดกรัญชนิยวิหาร, พระปิณฑปาติกติสสเถระ ในเทวปุตรัฐ ,และพระเถระสองพี่น้อง แห่งจิตตลบรรพตวิหาร






Thank to :-
Photo : pinterest
ที่มา : หนังสือ กรรมฐานในพระพุทธศาสนา : บทเรียนจากมหาสติปัฏฐานสูตรและความนิยมในสังคมไทย
โดย พระเทพวัชรบัณฑิต, ศ.ดร.อธิการบดี มจร
URL : https://www.mcu.ac.th/article/detail/35391
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ