Wednesday Child แปลกแยก โดดเดี่ยว เพราะว่าฉันเป็น ‘ลูกคนกลาง’ จริงหรือ.?
Summary
๐ นอกจาก Wednesday Child จะหมายความถึงเด็กที่เกิดวันพุธ (ซึ่งในเพลงกล่อมเด็กทำนายว่า ‘ต้องทุกข์ระทม’) แล้ว อีกนัยหนึ่งยังเป็นคำที่ใช้เปรียบเปรยถึงการเป็น ‘ลูกคนกลาง’ ด้วย ซึ่งตามความเข้าใจของคนทั่วไปก็คือ วันพุธเป็นวันที่อยู่กลางสัปดาห์พอดี เมื่อพูดถึง Wednesday Child คนส่วนใหญ่ -โดยเฉพาะคนไทย- จึงมักเข้าใจตรงกันว่า กำลังกล่าวถึงลูกคนกลาง
๐ ผลการรีวิวงานวิจัยในต่างประเทศกว่า 200 ชิ้นที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์และลำดับการเกิด พบว่า เป็นเรื่องปกติสำหรับลูกคนกลางที่จะรู้สึกแปลกแยก -ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการที่เรียกว่า Middle Child Syndrome- เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับลูกคนโต หรือลูกคนเล็ก ลูกคนกลางมักเป็นคนเงียบขรึม หรือมีบุคลิกภาพหม่นหมอง และรู้สึกว่าตัวเองไม่เท่าเทียมกับพี่น้องคนอื่นๆ บ่อยครั้งจึงพยายามทำตัวแตกต่างเพื่อให้โดดเด่นออกมา
๐ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า ในชีวิตจริง ลูกคนโตก็อาจมีนิสัยเหมือนลูกคนเล็ก และลูกคนกลางก็อาจไม่ได้มีอาการ Middle Child Syndrome เสมอไป
Illustration : Nuttal-Thanatpohn Dejkunchorn
เพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์หลังเผยแพร่ทาง Netflix ซีรีส์ Wednesday ก็ขึ้นชาร์ตซีรีส์ยอดนิยมในหลายประเทศ ข้อมูลจาก variety.com สื่อบันเทิงของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์หลังออกฉาย Wednesday ก็มียอดวิวผ่านแพลตฟอร์มสูงถึง 341.2 ล้านชั่วโมง
จึงไม่น่าแปลกใจหากเราจะเห็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ เวนส์เดย์ แอดดัมส์ (Wednesday Addams) ลูกสาวสุดแซ่บไม่แคร์โลกจากครอบครัว Addams Family อยู่ในสื่อต่างๆ มากมาย เพราะเรื่องราวของเวนส์เดย์ไม่เพียงแต่น่าสนใจและชวนติดตาม แต่คำว่า Wednesday ซึ่งเป็นชื่อของเธอ ที่มาจากท่อนหนึ่งของเพลงกล่อมเด็กโบราณที่ว่า “Wednesday’s child is full of woe - เด็กวันพุธผู้ทุกข์ระทม” ก็จุดกระแสสังคมให้สนใจคำกล่าวนี้ได้ไม่น้อย
นอกจาก Wednesday Child จะหมายความถึงเด็กที่เกิดวันพุธ (ซึ่งในเพลงกล่อมเด็กทำนายว่า ‘ต้องทุกข์ระทม’) แล้ว อีกนัยหนึ่งยังเป็นคำที่ใช้เปรียบเปรยถึงการเป็น ‘ลูกคนกลาง’ ด้วย ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่พบหลักฐานว่าใครเป็นผู้เริ่มใช้ และเพราะอะไรถึงเปรียบลูกคนกลางว่าเป็นเด็กวันพุธ แต่ตามความเข้าใจของคนทั่วไปก็คือ วันพุธเป็นวันที่อยู่กลางสัปดาห์พอดี เมื่อพูดถึง Wednesday Child คนส่วนใหญ่ -โดยเฉพาะคนไทย- จึงมักเข้าใจตรงกันว่ากำลังกล่าวถึงลูกคนกลาง
คลิกดู "เวนส์เดย์ แอดดัมส์ | ตัวอย่างซีรีส์อย่างเป็นทางการ | Netflix."
ไดที่ https://youtu.be/AqfZsoJNPLw
ถึงแม้ว่า เวนส์เดย์ แอดดัมส์ ในซีรีส์ จะไม่ได้เกิดวันพุธ (เธอเกิดวันศุกร์ที่ 13) หนำซ้ำยังเป็นลูกคนโต ไม่ใช่ลูกคนกลางอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เธอก็มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายอาการที่เรียกว่า Middle Child Syndrome อยู่หลายข้อ นับตั้งแต่ความรู้สึกเป็นคนนอก-แปลกแยก ความกล้าที่จะเสี่ยง การชอบแข่งขัน ไปจนถึงการมีทักษะการเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา
อย่างไรก็ตาม คำว่า Middle Child Syndrome ไม่ใช่การวินิฉัยทางการแพทย์ แต่เป็นคำที่ อัลเฟรด แอดเลอร์ (Alfred Adler) นักจิตบำบัดชาวออสเตรียน บัญญัติขึ้นในช่วงปี 1900 เพื่อใช้ในงานวิจัยเกี่ยวกับทฤษฎีลำดับการเกิดต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ
แม้ทฤษฎีของแอดเลอร์จะได้รับการตอบรับอย่างดีในยุคสมัยหนึ่ง แต่เมื่อมาถึงปัจจุบันก็อาจถูกตั้งคำถามว่าทฤษฎีดังกล่าวกำลัง ‘เหมารวม’ (Stereotype) เกินไปหรือเปล่า เพราะขนาด เวนส์เดย์ แอดดัมส์ ที่เป็นลูกคนโต ก็ยังมีบุคลิกบางอย่างเหมือนลูกคนกลาง (แม้ว่าเธอจะเป็นตัวละครในซีรีส์)
แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าในชีวิตจริง ลูกคนโตก็อาจมีนิสัยเหมือนลูกคนเล็ก และลูกคนกลางก็อาจไม่ได้มีอาการ Middle Child Syndrome เสมอไป
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
Middle Child Syndrome เพราะเป็นลูกคนกลางจึงโดดเดี่ยว.?
หากเปรียบเทียบลูกคนคนกลางเป็นเหมือนวันในสัปดาห์ แน่นอนว่าทุกคนย่อมนึงถึงวันพุธ
วันพุธเป็นวันทำงานที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใส่ใจ หรือจะเรียกว่าไม่ค่อยรู้สึกรู้สาอะไรกับวันนี้ ก็คงไม่ผิดนัก เพราะขณะที่หลายคนเบื่อหน่ายวันจันทร์ ยอมรับชะตากรรมวันอังคาร เริ่มเบิกบานวันพฤหัสฯ สุดคึกคักเมื่อถึงวันศุกร์ ส่วนวันพุธนั้นอาจเป็นแค่วันกลางสัปดาห์ที่ไม่น่าตื่นเต้นอะไร คล้ายๆ กับการเกิดเป็นลูกคนกลางนั่นเอง
อัลเฟรด แอดเลอร์ อธิบายลำดับการเกิดที่มีผลต่อบุคลิกภาพของลูกคนกลางไว้ว่า เนื่องจากพ่อแม่ผ่านความตื่นเต้นจากการมีลูกคนแรกไปแล้ว เมื่อมีลูกคนกลางจึงไม่ได้ตื่นเต้นเท่าใดนัก ในขณะเดียวกันหากมีน้องคนเล็ก พ่อแม่ก็มักใส่ใจน้องมากกว่า เนื่องจากเด็กที่สุดในบ้าน ลูกคนกลางจึงเหมือนติดอยู่ระหว่างความภูมิใจของพ่อแม่ที่มีต่อลูกคนโต และความห่วงใยที่พ่อแม่มีให้ลูกคนเล็ก ส่วนตัวเองนั้นกลับรู้สึกไร้ค่า ไร้ตัวตน ไม่ได้รับความรักเพียงพอ จนอาจส่งผลให้มีความภูมิใจในตัวเองต่ำ
"การศึกษาพบว่า 85% ของลูกคนกลาง มักเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากกว่าลูกคนโต และถึงจะโดดเดี่ยวแปลกแยก แต่การศึกษาของแอดเลอร์ พบว่า ลูกคนกลางมักมีความมั่นคงทางอารมณ์มากที่สุดในหมู่พี่น้อง"
ซูซาน เดกเจส-ไวต์ (Suzanne Degges-White) จากมหาวิทยาลัยนอร์ธเทิร์นอิลินอยส์ สหรัฐฯ อธิบายเพิ่มเติมว่า แม้ไม่ได้คำนึงถึงลำดับการเกิด แต่ถึงอย่างนั้น เด็กแต่ละคนในครอบครัวก็มักได้รับการปฏิบัติจากพ่อแม่แตกต่างกันไป ลูกคนโตมักได้รับอภิสิทธิ์ของการเป็น ‘ลูกคนเดียว’ จนกระทั่งลูกคนกลางถือกำเนิด ส่วนลูกคนเล็กก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษจากพ่อแม่และพี่ๆ ในฐานะ ‘เบบี้’ ของครอบครัว อีกทั้งยังอาจได้อภิสิทธิ์การเป็นลูกคนเดียว เมื่อพี่ๆ โตหมดแล้ว แต่สำหรับลูกคนกลางนั้น แทบไม่ได้มีช่วงเวลา ‘ลูกคนเดียว’ ที่ได้รับความสนใจเต็มที่จากพ่อแม่เหมือนพี่น้องคนอื่นๆ พวกเขาจึงต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองได้รับความสนใจจากพ่อแม่บ้าง
ทั้งนี้ผลการรีวิวงานวิจัยในต่างประเทศกว่า 200 ชิ้นที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์และลำดับการเกิด (A Review of 200 Birth-Order Studies: Lifestyle Characteristics) พบว่า เป็นเรื่องปกติสำหรับลูกคนกลางที่จะรู้สึกแปลกแยก เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับลูกคนโต หรือลูกคนเล็ก ลูกคนกลางมักเป็นคนเงียบขรึม หรือมีบุคลิกภาพหม่นหมอง และรู้สึกว่าตัวเองไม่เท่าเทียมกับพี่น้องคนอื่นๆ บ่อยครั้งจึงพยายามทำตัวแตกต่างเพื่อให้โดดเด่นออกมา
อย่างไรก็ตาม ลูกคนกลางก็มีส่วนที่ได้เปรียบ เนื่องจากการอยู่กลางระหว่างพี่น้อง ทำให้พวกเขาเรียนรู้การเจรจาต่อรอง เป็นผู้ประสานความขัดแย้ง และมีความเห็นอกเห็นใจสูง การศึกษาพบว่า 85% ของลูกคนกลาง มักเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากกว่าลูกคนโต และถึงจะโดดเดี่ยวแปลกแยก แต่การศึกษาของแอดเลอร์ พบว่า ลูกคนกลางมักมีความมั่นคงทางอารมณ์มากที่สุดในหมู่พี่น้อง
Middle Child Syndrome เรื่องจริงหรือแค่ทฤษฎี.?
หากถามลูกคนกลางว่า Middle Child Syndrome มีจริงไหม คำตอบส่วนใหญ่ที่มักได้รับจากลูกคนกลางคือ ‘จริง’
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทฤษฎีลำดับการเกิดที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพนั้น เป็นที่รู้จักมานานร่วมศตวรรษ จึงไม่แปลกหากผู้คนที่พยายามหาคำตอบให้บุคลิกภาพ หรือพฤติกรรมต่างๆ ของตัวเอง จะนำทฤษฎีนี้มาอธิบายพฤติกรรม เพราะจะว่าไปแล้วทฤษฎีลำดับการเกิดที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพ ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เข้าใจง่าย และมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด จึงมีแค่การตอบคำถามว่า..
“ทำไมเราถึงเป็นคนแบบนี้”
“ก็เพราะฉันเป็นลูกคนกลางไง”
เพราะแม้มันจะดูเหมารวม แต่ก็เข้าใจได้ง่ายกว่าทฤษฎีใดๆ
ดังนั้น การอธิบายบุคลิก หรือพฤติกรรมของตัวเองผ่านลำดับการเกิด จึงเหมือนเป็นดาบสองคม เพราะในแง่หนึ่ง การอธิบายบุคลิกภาพโดยอิงจากลำดับการเกิด อาจช่วยทำให้เราเข้าใจต้นตอของพฤติกรรมต่างๆ ของตัวเอง เพื่อหาทางปรับปรุงพัฒนาแก้ไขให้ดีขึ้นได้ แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นการเหมารวมที่นำไปสู่การด่วนสรุป ว่าเพราะลำดับการเกิดทำให้เราเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ จนรู้สึกว่าแก้ไขไม่ได้ กลายเป็นภาวะยอมจำนนที่กักขังตนเองจากการพัฒนาไปสู่การเป็นคนที่ดีกว่าเดิม
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
หยุดตีตราลูกคนกลาง (คนโตและคนเล็ก)
ลำดับการเกิดอาจส่งผลต่อบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยคนเราไม่มากก็น้อย แต่ต้องไม่ลืมว่า คงไม่ใช่ลำดับการเกิดเพียงอย่างเดียวที่หล่อหลอมตัวตนของคนคนหนึ่ง เพราะนอกจากลำดับการเกิดแล้ว ประสบการณ์ สภาพแวดล้อม สิ่งที่พบเจอในชีวิต ล้วนส่งผลต่อความเป็นเราในแง่ใดแง่หนึ่งเสมอ
มีความเป็นไปได้ว่า ลำดับการเกิดที่มีอิทธิพลต่อบุคลิกของคนเรา อาจมาจากความคาดหวังที่เกิดขึ้นโดยการเหมารวมของสังคม กล่าวคือ สังคมมักคาดหวังให้ลูกคนโตเป็นผู้นำ มีความรับผิดชอบ ดังนั้น การเลี้ยงดูของพ่อแม่จึงเป็นไปในแนวทางนั้น หรือสังคมคาดหวังว่าลูกคนกลางมักมีลักษณะนิสัยโดดเดี่ยว แปลกแยก จึงอาจมองลูกคนกลางด้วยอคติ ซึ่งยิ่งตอกย้ำความรู้สึกเป็นคนนอกของครอบครัวให้เพิ่มขึ้น ขณะที่ลูกคนเล็กคือ ‘ลูกแหง่’ ของบ้าน ที่ไม่ว่าจะเติบใหญ่แค่ไหน ก็ยังเป็นเด็กน้อยอยู่เสมอ พ่อแม่จึงมักยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ปัญหาก็คือ ยิ่งเราเชื่อเรื่องลำดับการเกิดว่ามีผลต่อบุคลิกภาพ เราก็มักปฏิบัติตัวตามการเหมารวมนั้นๆ จนตอกย้ำให้ภาพของการเป็นลูกคนโต ลูกคนกลาง และลูกคนเล็ก ยิ่งหยั่งรากลึกในสังคมไปอีก จนละเลยต้นตอปัญหาที่แท้จริง เช่น ที่ลูกคนกลางรู้สึกแปลกแยก อาจเป็นเพราะพ่อแม่ไม่ใส่ใจเท่าที่ควร ปัญหานี้แก้ได้โดยการให้ความสำคัญกับลูกเท่ากัน แบ่งเวลาอย่างเท่าเทียม หาใช่การโยนความผิดไปที่ลำดับการเกิด เป็นต้น
"การทำความเข้าใจเรื่อง Middle Child Syndrome จึงไม่ควรเป็นไปเพื่อการตีตรา หรือเหมารวม แต่ควรเกิดขึ้นเพื่อทำความเข้าใจที่มาของพฤติกรรม และระลึกอยู่เสมอว่า ทุกคนสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นคนที่ดีกว่าเดิมได้"
โดยทั่วไปแล้วพ่อแม่ย่อมรักลูกเท่ากัน แต่ถึงอย่างนั้นพ่อแม่อาจปฏิบัติต่อลูกทุกคนไม่เหมือนกัน เพราะช่วงเวลาที่ลูกแต่ละคนเกิด แม้จะอยู่ในครอบครัวเดียวกัน แต่สภาพแวดล้อมในครอบครัวย่อมต่างไปแล้ว เช่น พ่อแม่อาจมีความพร้อมทุกด้านขณะมีลูกคนแรก แต่ประสบปัญหาการเงินขณะมีลูกคนกลาง และกอบกู้สถานการณ์ได้เมื่อมีลูกคนเล็ก หรืออาจเป็นในทางตรงกันข้าม เช่น ไม่พร้อมเมื่อมีลูกคนโต แต่ค่อยๆ มั่นคงขึ้นเมื่อมีลูกคนกลาง และคนเล็ก ยังไม่รวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่อาจเปลี่ยนไป – นี่เองจึงอาจเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมพี่น้องคลานตามกันมา เลี้ยงเหมือนๆ กัน จึงมีบุคลิกภาพต่างกัน
การทำความเข้าใจเรื่อง Middle Child Syndrome จึงไม่ควรเป็นไปเพื่อการตีตรา หรือเหมารวม แต่ควรเกิดขึ้นเพื่อทำความเข้าใจที่มาของพฤติกรรม และระลึกอยู่เสมอว่า ทุกคนสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นคนที่ดีกว่าเดิมได้
แม้พฤติกรรมแบบลูกคนกลาง หรือ Middle Child Syndrome จะไม่ใช่เรื่องผิด ตราบเท่าที่พฤติกรรมของเราไม่ได้ละเมิด หรือทำร้ายใคร แต่หากทุกคนต่างยึดติดอยู่กับสาเหตุที่ว่า ลำดับการเกิดทำให้เราเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ เราก็อาจเสียโอกาสที่จะพัฒนาตนเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเราจะเป็นลูกคนที่เท่าไรของครอบครัว แต่ในฐานะปัจเจกชน เราย่อมมีความสามารถที่จะเลือกได้ว่า เราจะพัฒนาเป็นคนที่ดีกว่าเดิม หรือยึดติดกับลำดับการเกิด เพื่อใช้เป็นข้ออ้างให้กับพฤติกรรมด้านลบของตนเอง
อ้างอิง : dailymail.co.uk, choosingtherapy.com, webmd.com
Thank to :
https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/102532Everyday Life , Family & Relationships , Lifestyle
13 ธ.ค. 65 ,creator : สุภาวดี ไชยชลอ