ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “อู่ทอง” ที่หนีห่าไม่ใช่ “อู่ทอง” ที่ไปเป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงเก่า  (อ่าน 869 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ประดิษฐานอยู่ระหว่างบึงพระรามกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


“อู่ทอง” ที่หนีห่าไม่ใช่ “อู่ทอง” ที่ไปเป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงเก่า | สุจิตต์ วงษ์เทศ


พระเจ้าอู่ทอง สร้างอยุธยา มีเหตุจากนิทานท้องถิ่น แล้วถูกโยงให้เป็นประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คือประวัติศาสตร์สังคมส่วนที่เป็นท้องถิ่น (ซึ่งขาดหายไป) ของประวัติศาสตร์แห่งชาตินั่นเอง

พระเจ้าอู่ทองที่สร้างกรุงศรีอยุธยา ไม่ใช่ท้าวอู่ทองหนีโรคห่าไปจากเมืองอู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ตามที่ตำราเขียนบอกไว้ ท้าวอู่ทอง ครองเมืองอู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เป็นคนละองค์กับพระเจ้าอู่ทองที่สร้างกรุงศรีอยุธยา เพียงมีชื่ออู่ทองซ้ำกัน แต่ไม่เกี่ยวข้องกัน

พระเจ้าอู่ทอง, ท้าวอู่ทอง เป็นวีรบุรุษในตำนาน ไม่มีตัวตนอยู่จริง

@@@@@@@

พระเจ้าอู่ทอง สร้างอยุธยา

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ไปตรวจเมืองอู่ทอง (เมื่อ พ.ศ.2446) แล้วเขียนอธิบาย (เมื่อ พ.ศ.2448) ว่าพระเจ้าอู่ทองที่สร้างกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ.1893 ครองอยู่ก่อนที่เมืองอู่ทอง (อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี) มีอยู่ในคำนำพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา จะคัดมาดังนี้

    “มีตำนานทางเมืองสุพรรณบุรีเชื่อถือกันมาจนทุกวันนี้ว่า เดิมพระเจ้าอู่ทองอยู่ทางเมืองสุพรรณบุรี เมืองของพระเจ้าอู่ทองก็ยังมีอยู่ริมแม่น้ำจระเข้สามพัน ในระหว่างเมืองสุพรรณบุรีทุกวันนี้กับเมืองกาญจนบุรี
    ข้าพเจ้าได้ไปถึงเมืองอู่ทองเมื่อปีเถาะ จุลศักราช 1265 พ.ศ.2446 ได้เห็นเมืองโบราณมีเชิงเทินกำแพงเมืองใหญ่โต——-
    ความคิดเห็นเกิดแก่ข้าพเจ้าในครั้งนั้นว่า ที่เรียกในศิลาจารึกและหนังสือโบราณว่าเมืองสุพรรณภูมิหรือสุวรรณภูมินั้น จะหมายว่าเมืองอู่ทองนี้เอง มิใช่เมืองสุพรรณบุรีทุกวันนี้ที่ตั้งเมื่อภายหลัง
    คำว่าสุวรรณภูมิเป็นภาษามคธ แปลว่าที่เกิดทองหรือที่มีทอง ในภาษาไทยก็ตรงกับคำว่าอู่ทอง เช่นที่พูดกันว่าอู่ข้าวอู่น้ำ เพราะฉะนั้นชื่อเมืองอู่ทองนี้เป็นชื่อภาษาไทยของเมืองสุวรรณภูมินั้นเอง
    เมื่อคิดเห็นเช่นนี้ก็คิดเห็นตลอดไปว่าที่เรียกพระเจ้าอู่ทองนั้น เห็นจะไม่ใช่มาจากบรรทมเปลทองอย่างพงศาวดารว่าเป็นแน่แล้ว คงจะเป็นพระนามที่เรียกเจ้าผู้ปกครองเมืองอู่ทอง อย่างเราเรียกพระเจ้าเชียงใหม่ พระเจ้าน่าน เจ้าองค์ใดครองเมืองอู่ทองก็เรียกว่าพระเจ้าอู่ทองทุกองค์
    เพราะฉะนั้นพระเจ้าอู่ทองที่สร้างกรุงศรีอยุธยานี้ จะเป็นโอรสนัดดาสืบพระวงศ์มาแต่ผู้ใด และได้มีประวัติแต่เดิมมาอย่างไรก็ตาม เมื่อก่อนจะมาสร้างกรุงศรีอยุธยา คงเป็นเจ้าครองเมืองอู่ทอง หรือที่เรียกในภาษามคธว่าเมืองสุวรรณภูมิอยู่ก่อนจริงดังตำนานเมืองสุพรรณ
    ความคิดอย่างนี้ ข้าพเจ้าได้เขียนลงในรายงานตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรี พิมพ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปีมะเส็ง จุลศักราช 1267 พ.ศ.2448 ต่อมาสมาชิกในโบราณคดีสโมสรได้รับความคิดเห็นเช่นนี้ว่าเป็นถูกต้อง”


@@@@@@@

เหตุที่พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ อธิบายอีกยืดยาว จะคัดเฉพาะสาระสำคัญมาดังนี้

    “เมืองอู่ทองเป็นเมืองประเทศราชขึ้นสุโขทัยอยู่ก่อน ครั้นพระนครสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง——-พวกประเทศราชโดยมากคงจะคิดตั้งตัวเป็นอิสระ——-
    เมืองอู่ทองเห็นจะเป็นประเทศราชใหญ่อยู่แล้ว ความคิดที่จะตั้งตัวเป็นอิสระ น่าเข้าใจว่าจะได้มีมาแต่ครั้งพระเจ้าอู่ทององค์ก่อนแล้ว จะเห็นว่าพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีเป็นผู้มีสติปัญญาสามารถเข้มแข็ง ซึ่งควรเอาไว้เป็นคู่คิดการเป็นอิสระได้ จึงได้ยกพระราชธิดาให้
    เหตุที่น่าเห็นว่าความคิดที่จะตั้งตัวเป็นใหญ่ จะมีมาแต่ครั้งพระเจ้าอู่ทององค์ก่อนนั้น มีพยานที่จะเห็นได้ด้วยเมื่อพระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยาแล้ว ไม่ต้องทำสงครามรบพุ่งกับบ้านเมืองที่ใกล้เคียงเลย มีอาณาจักรข้างใต้ลงไปตลอดแหลมมลายู ทางตะวันตกก็ได้เมืองตะนาวศรีและเมืองทวาย ข้างเหนือปรากฏอาณาเขตขึ้นไปเพียงเมืองสรรค์ ข้างตะวันออกไปจนแดนขอม ข้อนี้ทำให้เห็นว่าจะมีอาณาเขตได้เท่านี้ จะต้องการเวลานานยิ่งกว่าเวลาที่มีในแผ่นดินพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดี เมื่อก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาเพียง 6 ปี
    ข้าพเจ้าเข้าใจว่าพอพระเจ้าอู่ทองพระองค์ก่อนเห็นว่าอำนาจสุโขทัยเสื่อมโทรมไม่มีทางที่จะกลับฟื้น เกรงพวกเมืองรามัญและเชียงใหม่จะคิดมาครอบงำเอาเมืองข้างใต้เป็นอาณาเขต จึงลงมือคิดรวบรวมหัวเมืองข้างใต้ขยายอาณาจักรมาหลายปีแล้ว เมื่อมอญตั้งเป็นอิสระได้ดีร้ายเมืองอู่ทองก็จะต้องแข็งเอาเมืองสุโขทัยบ้าง ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าอู่ทองพระองค์ก่อน ที่พระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีมาสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนั้น ประกอบด้วยเหตุหลายประการ
    ประการที่ 1 เพราะลำน้ำจระเข้สามพันตื้นเขิน ด้วยสายน้ำมาเดินเสียทางลำน้ำสุพรรณใหม่ ที่เมืองอู่ทองกันดารน้ำเข้าทุกที จนถึงขุดกระพังขังน้ำไว้เป็นอันมากก็ไม่มีน้ำพอใช้ จึงเป็นเหตุให้เกิดความไข้เจ็บ จนถึงเป็นโรคห่า พระเจ้าอู่ทองเห็นจะเยียวยาแก้ไขไม่ได้ จึงต้องทิ้งเมือง อพยพราชธานี จริงดังที่กล่าวมาในตำนานสุพรรณ——-”


@@@@@@@@

ร.5 ว่าไม่เกี่ยวกับท้าวอู่ทอง เมืองอู่ทอง

ร.5 เสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า เมื่อ พ.ศ.2451 มีพระราชหัตถเลขาเรื่องท้าวอู่ทอง เมืองอู่ทอง ว่าไม่ใช่พระเจ้าอู่ทอง สร้างกรุงศรีอยุธยา มีความตอนหนึ่ง (คัดมาจัดย่อหน้าใหม่) ดังนี้

    “ได้ถามเรื่องเมืองอู่ทองคือเมืองเก่า เจ้าอธิการแสง ตามที่ได้ไปเห็นและตามที่ได้ฟังเล่าว่าอู่ทองนั้นอยู่เมืองเก่า หนีห่าได้หนีขึ้นไปข้ามที่ตะพานหินวัดกร่าง ข้ามมาเดินทางฝั่งตะวันออก แล้วจึงลงไปตั้งเมืองกำแพงแสนและเมืองอื่นๆ ห่าก็ยังตามอยู่เสมอ เพราะห่านั้นเดินทีละย่างนกเขาเท่านั้น อู่ทองจึงได้มีเวลาสร้างบ้านสร้างเมืองได้ แต่ครั้นเมื่อเมืองสำเร็จแล้วห่าก็ตามไปถึง จึงต้องย้ายต่อไป ลงปลายนั้นว่าหนีออกทะเล ห่าก็ตามไปเอาจนได้
    ได้ถามว่าห่านั้นเป็นอย่างไร บอกว่าตามที่พูดนั้นเหมือนเป็นคน แต่เธอเข้าใจเองว่าเหมือนอหิวาตกโรค
    เมืองสุพรรณเดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่าผู้ใดสร้าง แต่ไม่ใช่อู่ทองสร้าง อู่ทองที่หนีห่าไม่ใช่อู่ทองที่ไปเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่กรุงเก่า เป็นอู่ทององค์อื่น อู่ทองมีหลายองค์เป็นตำแหน่งเจ้า
    ผู้ซึ่งสร้างวัดอู่ทองในลำน้ำสุพรรณก็เป็นอู่ทององค์หนึ่งต่างหากเหมือนกัน แต่จะมีลำดับและกำหนดเรียกเปลี่ยนกันอย่างไร สมัยเทียบกับครั้งใดคราวใดไม่ทราบไม่ได้ยินใครเล่า”


@@@@@@@@

พระเจ้าอู่ทอง ไม่ใช่ท้าวอู่ทอง

ครั้นหลัง พ.ศ.2500 มีนักปราชญ์และนักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศ ค้นคว้าวิจัยทางประวัติศาสตร์โบราณคดี แล้วพบหลักฐานและร่องรอยจำนวนมาก

สรุปสอดคล้องกันว่า กรุงศรีอยุธยามีขึ้นจากพัฒนาการทางเศรษฐกิจการเมืองของละโว้(ลพบุรี) และรัฐสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) ไม่เกี่ยวกับท้าวอู่ทอง นิทานท้องถิ่นของเมืองอู่ทองที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี






Thank to : https://www.matichonweekly.com/culture/article_26327
เผยแพร่ : วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2565
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ