 พุทธบุรีมณฑล และ นครหลวงสระบุรี 80 ปีต่อมา | กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์เมื่อ 80 ปีที่แล้ว ใน พ.ศ.2485 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ตัดสินใจย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯ ไปที่สระบุรี ก่อนปรับเปลี่ยนให้เป็นพุทธบุรีมณฑลแทนในเวลาต่อมา
พุทธบุรีมณฑล และ นครหลวงสระบุรี 80 ปีต่อมา | กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์เมื่อ 80 ปีที่แล้ว ใน พ.ศ.2485 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ตัดสินใจย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯ ไปที่สระบุรี ก่อนปรับเปลี่ยนให้เป็นพุทธบุรีมณฑลแทนในเวลาต่อมา
ความคิดเรื่องการย้ายเมืองหลวงนี้ก่อตัวอยู่ในความคิดของจอมพล ป.มาก่อนหน้านั้นหลายปีแล้ว
เห็นได้จากพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในปี 2479 ภายใต้รัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนา โดยมีจอมพล ป.เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
และการหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในปี 2480 เพื่อหาวิธีรับมือกับภัยทางอากาศ อันเป็นผลจากสงครามที่กำลังลุกลามบานปลายระหว่างจีนกับญี่ปุ่น และมีทีท่าว่าจะแผ่ขยายไปทั่วโลก จอมพล ป.ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมอยู่ในขณะนั้นจึงหยิบยกเรื่องการย้ายเมืองหลวงขึ้นมาอย่างจริงจัง
ต่อมาในปี 2481 เมื่อจอมพล ป.เป็นนายกรัฐมนตรี โครงการย้ายเมืองหลวงก็เงียบหายไปสักพัก กระทั่งปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2485 จากการตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาหาที่ตั้งเมืองหลวงใหม่
คณะกรรมการชุดนี้ซึ่งมี พล.ท.มังกร พรหมโยธี เป็นประธาน ได้ทำการสำรวจพื้นที่หลายแห่งเพื่อหาตัวเลือกที่ดีที่สุด ได้แก่ พิษณุโลก นครสวรรค์ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา
รวมทั้งพื้นที่ตรงกลางระหว่าง อ.แก่งคอย กับ อ.เมือง จ.สระบุรี ด้วย คุณสมบัติสำคัญของพื้นที่เมืองหลวงใหม่คือต้องไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากเกินไป ควรอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศ และต้องไม่ไกลจากลพบุรีซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางทางการทหาร
คุณสมบัติสำคัญของพื้นที่เมืองหลวงใหม่คือต้องไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากเกินไป ควรอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศ และต้องไม่ไกลจากลพบุรีซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางทางการทหาร
ในส่วนของลพบุรีนั้นเชื่อว่าจอมพล ป.ก็ปรารถนาให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการตั้งเมืองหลวงอยู่เหมือนกัน แต่ติดปัญหาเรื่องน้ำ เพราะลพบุรีขาดแคลนน้ำในหน้าแล้งและมีปัญหาน้ำท่วมในหน้าฝน
เงื่อนไขเรื่องน้ำเป็นจุดชี้ขาดสำคัญที่ทำให้จอมพล ป.จำเป็นต้องมองหาพื้นที่อื่น โดยเลือกระหว่างที่ดอนกับที่ลุ่ม ที่ดอนน้ำไม่ท่วมแต่แล้ง ที่ลุ่มไม่แล้งแต่น้ำจะท่วม
ในปี 2485 นี้เองได้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ขึ้นในพระนคร นับเป็นเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
การที่เมืองหลวงเกิดสภาวะเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาน้ำท่วมเป็นเรื่องใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเมืองหลวงอันเป็นศูนย์กลางของประเทศทุกด้าน
ด้วยเหตุนี้โครงการย้ายเมืองหลวงที่มีมาก่อนหน้าแล้วก็ยิ่งสมเหตุสมผลและมีน้ำหนักมากขึ้นไปอีก คณะกรรมการของ พล.ท.มังกร พรหมโยธี ได้กำหนดเกณฑ์ในการพิจารณาสถานที่ต่างๆ ขึ้นมา 12 ข้อ คือ 1) น้ำ 2) ไข้มาลาเรีย 3) ระดับพื้นดิน 4) ความร้อน ความหนาว ความชื้นของอากาศ 5) ลักษณะของดิน 6) จำนวนฝนที่ตก 7) ความอุดมสมบูรณ์ที่เกี่ยวกับอาหารการบริโภค 8 ) เนื้อที่ที่สามารถขยายตัวเมืองได้ 9) การคมนาคม 10) อุปนิสัยใจคอของบุคคลในจังหวัดนั้น 11) หลักทางยุทธศาสตร์ และ 12) ภาพ (วิว) ทั่วไปของเมือง
คณะกรรมการของ พล.ท.มังกร พรหมโยธี ได้กำหนดเกณฑ์ในการพิจารณาสถานที่ต่างๆ ขึ้นมา 12 ข้อ คือ 1) น้ำ 2) ไข้มาลาเรีย 3) ระดับพื้นดิน 4) ความร้อน ความหนาว ความชื้นของอากาศ 5) ลักษณะของดิน 6) จำนวนฝนที่ตก 7) ความอุดมสมบูรณ์ที่เกี่ยวกับอาหารการบริโภค 8 ) เนื้อที่ที่สามารถขยายตัวเมืองได้ 9) การคมนาคม 10) อุปนิสัยใจคอของบุคคลในจังหวัดนั้น 11) หลักทางยุทธศาสตร์ และ 12) ภาพ (วิว) ทั่วไปของเมือง
จะเห็นได้ว่าเกณฑ์ทั้ง 12 ข้อนั้นครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านกายภาพของพื้นที่และบุคลิกภาพหรืออุปนิสัยใจคอของผู้คน ทั้งด้านพลเรือนและทางด้านการทหาร ทั้งภูมิประเทศและภูมิอากาศ ทั้งการคมนาคมและชลประทาน
เรียกได้ว่าเป็นแผนปฏิบัติการที่ละเอียดลออและรวดเร็วฉับไวมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อรายงานการสำรวจเสร็จสิ้น จอมพล ป.กลับไม่ได้เลือกสถานที่ใดในรายงานเลย แต่กลับระบุโดยตรงลงไปที่พื้นที่สระบุรีแทน
โดยกล่าวว่า “เมืองหลวงควรเอาพระพุทธบาทสระบุรีเป็นหลักเมือง แล้วกำหนดเอาแม่น้ำป่าสักกับแม่น้ำลพบุรีเป็นเขต” ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจอมพล ป.เล็งพื้นที่นี้ไว้ในใจอยู่ก่อนแล้ว เมื่อไม่เห็นว่ามีตัวเลือกใดที่ดีไปกว่าพื้นที่นี้ จอมพล ป.จึงเลือกสระบุรีเป็นคำตอบสุดท้าย
และกลายมาเป็นโครงการ “นครหลวงสระบุรี” ในที่สุด
 นครหลวงสระบุรีกินอาณาบริเวณประมาณ 400 ไร่ มีขนาด 20 x 20 กิโลเมตร ทิศเหนือและทิศตะวันออกทอดยาวไปตามแนวถนนพหลโยธินหรือชื่อเดิมคือถนนประชาธิปัตย์ในพื้นที่ซึ่งปัจจุบันคือ อ.พระพุทธบาท และ อ.เฉลิมพระเกียรติ ส่วนด้านใต้ยึดตามแนวแม่น้ำป่าสักและทางรถไฟสายอีสาน ปัจจุบันอยู่ในเขต อ.เมือง อ.เสาไห้ และ อ.หนองแซง ส่วนทิศตะวันตกคือแนวทางรถไฟสายเหนือและแม่น้ำป่าสัก อยู่ในเขต อ.บ้านหมอ อ.หนองโดน จ.สระบุรี และ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา
นครหลวงสระบุรีกินอาณาบริเวณประมาณ 400 ไร่ มีขนาด 20 x 20 กิโลเมตร ทิศเหนือและทิศตะวันออกทอดยาวไปตามแนวถนนพหลโยธินหรือชื่อเดิมคือถนนประชาธิปัตย์ในพื้นที่ซึ่งปัจจุบันคือ อ.พระพุทธบาท และ อ.เฉลิมพระเกียรติ ส่วนด้านใต้ยึดตามแนวแม่น้ำป่าสักและทางรถไฟสายอีสาน ปัจจุบันอยู่ในเขต อ.เมือง อ.เสาไห้ และ อ.หนองแซง ส่วนทิศตะวันตกคือแนวทางรถไฟสายเหนือและแม่น้ำป่าสัก อยู่ในเขต อ.บ้านหมอ อ.หนองโดน จ.สระบุรี และ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งของนครหลวงสระบุรีก็คือผังเมืองที่ใหญ่โต งดงามอลังการ และออกแบบมาอย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้แนวคิด City Beautiful ของแดเนียล เบอร์แนม สถาปนิกชื่อดังในยุคนั้น
ผังเมืองของนครหลวงสระบุรีมีศูนย์กลางเป็นรูปทุ่นระเบิด คล้ายคลึงกับกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา และพระราชวังแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส
มีการวางตำแหน่งของสถานทูต โรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ราชการต่างๆ กระจายไปตามจุดต่างๆ ของเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในบริเวณทุ่นระเบิดที่มองเห็นการวางแนวอาคารเรียงรายไปตามถนนขนาดใหญ่และสวยงามเรียกว่า “บูเลอวาร์ด” (boulevard) แบบเดียวกับถนนราชดำเนิน นอกจากนี้ ยังมี “แลนด์มาร์ก” สำคัญของเมืองตามจุดตัดของถนน (node) ทั้งที่คาดว่าจะสร้างขึ้นมาใหม่ และที่ปรับเปลี่ยนจากสถานที่เดิม เช่น วัดพระพุทธบาท ฯลฯ ทั้งนี้ ศูนย์กลางนครหลวงอันเป็นรูปทุ่นระเบิดนั้นจะอยู่ในบริเวณแถวๆ หนองคณฑี-พุกร่าง-สร่างโศก-บ้านหมอในปัจจุบันนั่นเอง
นอกจากนี้ ยังมี “แลนด์มาร์ก” สำคัญของเมืองตามจุดตัดของถนน (node) ทั้งที่คาดว่าจะสร้างขึ้นมาใหม่ และที่ปรับเปลี่ยนจากสถานที่เดิม เช่น วัดพระพุทธบาท ฯลฯ ทั้งนี้ ศูนย์กลางนครหลวงอันเป็นรูปทุ่นระเบิดนั้นจะอยู่ในบริเวณแถวๆ หนองคณฑี-พุกร่าง-สร่างโศก-บ้านหมอในปัจจุบันนั่นเอง
ส่วนวัดพระพุทธบาทจะเป็นหลักเมืองและเป็นปูชนียสถานหลักไม่ต่างไปจากวัดพระแก้วในกรุงเทพฯ แต่จะมีสถานะแบบเดียวกันทุกประการหรือไม่ก็ไม่แน่ชัด
ประเด็นนี้ ศ.ดร.ชาตรี ประกิตนนทการ ให้ความเห็นว่า จอมพล ป.น่าจะมีความประสงค์ที่จะสร้างเมืองใหม่ให้หลุดพ้นไปจากระบอบเดิมและขนบความคิดที่ฝังซ้อนกันอยู่หลายชั้นในกรุงเทพฯ ซึ่งทำให้ยากต่อการสร้างพื้นที่ใหม่ สำนึกใหม่ วัฒนธรรมใหม่ ระเบียบแบบแผนใหม่ขึ้นมา การออกแบบและก่อร่างสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาจึงวางรากฐานใหม่ได้ง่ายกว่า แม้วัดพระพุทธบาทจะมีสถานะสำคัญในเมืองหลวงใหม่แต่ก็อาจไม่ได้ยกความคิด ระบอบ และระบบระเบียบทั้งหมดมาจากกรุงเทพฯ ทั้งกระบิ
ขณะที่สิทธา เลิศไพบูลย์ศิริ มองว่านครหลวงสระบุรีอาจเป็นตัวเลือกหนึ่งของจอมพล ป.มาตั้งแต่ต้น โดยชั่งใจระหว่างลพบุรีกับสระบุรีอันเป็นพื้นที่ติดกัน การที่สระบุรีถูกเลือกอาจเป็นแผนสอง เมื่อแผนหนึ่งคือลพบุรีมีปัญหาเรื่องน้ำที่แก้ไม่ตก หรือไม่สระบุรีก็เป็นพื้นที่เป้าหมายเริ่มแรกเลยก็ได้เมื่อพิจารณาว่าแนวความคิดในการสร้างเมืองหลวงแบบเมโทรหรือ “Metropolitan Area” อันแพร่หลายในโลกยุคนั้น
ซึ่งเมืองแบบเมโทรนี้จะกินอาณาบริเวณกว้างขวางกว่าเมืองใดเมืองหนึ่ง โดยขยายสาธารณูปโภคและความเจริญต่างๆ กินพื้นที่ไปสู่เมืองอื่นๆ โดยรอบด้วย เหมือนกับที่จังหวัดปริมณฑลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกรุงเทพฯ อย่างแยกไม่ออก น่าเสียดายที่แม้วางแผนมาอย่างดิบดี พร้อมทั้งลงมือวางแนวพื้นที่ด้วยหลักเขตคอนกรีตเสริมเหล็กรูปใบเสมาขนาดใหญ่ สูงราว 2 เมตร ประทับตราธรรมจักรด้านหนึ่ง และตัวอักษรจารึกว่า “หลักเขตนครหลวง” อีกด้านหนึ่ง
น่าเสียดายที่แม้วางแผนมาอย่างดิบดี พร้อมทั้งลงมือวางแนวพื้นที่ด้วยหลักเขตคอนกรีตเสริมเหล็กรูปใบเสมาขนาดใหญ่ สูงราว 2 เมตร ประทับตราธรรมจักรด้านหนึ่ง และตัวอักษรจารึกว่า “หลักเขตนครหลวง” อีกด้านหนึ่ง
แต่สถานการณ์สงครามโลกที่พลิกผัน ทำให้ญี่ปุ่นตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ จนปรากฏเค้าลางความพ่ายแพ้อย่างเด่นชัด
จอมพล ป.จึงพลิกแผนการใหม่โดยย้ายเมืองหลวงจากสระบุรีไปที่เพชรบูรณ์แทนเนื่องจากมีชัยภูมิที่เหมาะสมในเชิงยุทธศาสตร์มากกว่าสระบุรีที่เปิดโล่งและสามารถถูกข้าศึกโจมตีได้จากทุกทิศทุกทาง และเรียกโครงการใหม่ที่เพชรบูรณ์ว่า “นครบาลเพชรบูรณ์”
ขณะที่นครหลวงสระบุรีเดิมก็ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็น “พุทธบุรีมณฑล” นครศักดิ์สิทธิ์ที่จอมพล ป.มุ่งหวังให้เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนา และเป็นเขตปลอดทหารที่ขวางกั้นไม่ให้ทหารญี่ปุ่นบุกเข้ามาถึงลพบุรีและเพชรบูรณ์ได้ ภายใต้แผนสู้กลับของจอมพล ป.ที่เก็บไว้เป็นความลับสุดยอดจนกระทั่งสงครามยุติ
ปัจจุบันหลักเขตนครหลวงเหล่านี้ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็นบ้าง แต่ทว่า อยู่ในสภาพอันน่าสลดสังเวชเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการถูกปล่อยให้กลืนหายไปในพงหญ้า ทุ่งนา ผืนป่า ทางเท้า ถนนหนทาง จนผู้สัญจรผ่านไปมาไม่มีทางรู้ได้เลยว่านี่คือโบราณวัตถุชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์
หลักเขตนครหลวงอันเกรียงไกรนอกจากยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุแล้ว ยังถูกทอดทิ้งไร้การเหลียวแลราวกับแท่งอิฐแท่งปูนไร้ค่า โครงการทั้งหมดนี้ถึงกาลอวสานครั้งแรกเมื่อ 80 ปีก่อน จากการที่ร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดจัดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์แพ้ในการออกเสียงลงมติในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2487 ไปด้วยคะแนน 48 ต่อ 36
โครงการทั้งหมดนี้ถึงกาลอวสานครั้งแรกเมื่อ 80 ปีก่อน จากการที่ร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดจัดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์แพ้ในการออกเสียงลงมติในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2487 ไปด้วยคะแนน 48 ต่อ 36
ส่วนร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดพุทธบุรีมณฑลก็พ่ายแพ้เช่นกัน ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2487 ด้วยคะแนน 43 ต่อ 41
ทำให้จอมพล ป.ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่นั่นไม่ใช่ลมหายใจสุดท้ายของโครงการนี้
นครหลวงสระบุรีและพุทธบุรีมณฑลถึงกาลอวสานอย่างแท้จริงในปี 2565 หรือ 80 ปีต่อมา เมื่อชิ้นส่วนเหล่านี้กลายเป็นแท่งปูนขยะที่ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำ และเมื่อถึงวันที่ไม่เหลือข้อมูลความรู้ใดไว้ให้ศึกษาอีกต่อไป เมื่อนั้นลมหายใจสุดท้ายของโครงการนี้ก็จะหมดสิ้นลง
ปิดฉากอภิมหาโปรเจ็กต์ของ “แมวเก้าชีวิต” ผู้มีชีวิตโลดโผนดั่งนิยายไปตลอดกาล
หมายเหตุ : ผู้สนใจเรื่องนี้สามารถติดตามเนื้อหาและข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบันทึกการเสวนา “ดินแดนในจินตนาการ : นครหลวงสระบุรีและพุทธบุรีมณฑล พระพุทธบาท สระบุรี กับความพยายามเป็นศูนย์กลางประเทศแห่งใหม่ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม” โดยชาตรี ประกิตนนทการ สิทธา เลิศไพบูลย์ศิริ และกฤตภาศ ศักดิษฐานนท์ รวมทั้งเนื้อหาอื่นๆ ได้ทาง www.facebook.com/saraburipeople2022 และ www.youtube.com/@saraburipeople2022
ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 ธันวาคม 2565
คอลัมน์ : Agora
ผู้เขียน   : กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์
เผยแพร่ : วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2565
URL : 
https://www.matichonweekly.com/column/article_630195?utm_source=dablefacebook กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์ : 
https://www.facebook.com/bintokrit