ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระเจ้าหลีกเคราะห์ เก่าถึง สมัยพระญาแสนภู จริงหรือ.?  (อ่าน 1030 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



พระเจ้าหลีกเคราะห์ เก่าถึงสมัยพระญาแสนภูจริงหรือ.? (1)

“พระเจ้าหลีกเคราะห์” คือ พระประธานในวิหารวัดพระเจ้าตนหลวง ต.ศรีเตี้ย อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน ชาวบ้านโฮ่งเดิมเรียกพระองค์นี้ว่า “พระเจ้าหลีกเคราะห์” มาก่อน แต่เนื่องด้วยขนาดของพระพุทธรูปที่ใหญ่โตมาก ทำให้ต่อมาคนหันไปนิยมเรียกว่า “พระเจ้าตนหลวง” แทน

ในบทความนี้ ขออนุญาตเรียกนามเดิม ด้วยเหตุผลสองประการ

ประการแรก : เพื่อป้องกันความสับสนกับพระเจ้าตนหลวงองค์ที่รู้จักกันดีของวัดศรีโคมคำ จ.พะเยา

และอีกประการหนึ่ง : ปัจจุบันทางวัดเองก็มีความประสงค์ที่อยากกลับไปใช้ชื่อดั้งเดิมคือ “พระเจ้าหลีกเคราะห์” อีกครั้ง โดยพยายามทำเรื่องถึงสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติหลายหนแล้ว แต่ถูกปฏิเสธกลับมา ด้วยเหตุผลที่ว่า ชื่อดังกล่าวอาจทำให้ประชาชนเกิดความงมงายได้ ทั้งๆ ที่ชื่อนี้เป็นชื่อดั้งเดิมจริงขององค์พระพุทธรูปมาก่อน อย่างน้อยก็ราวกึ่งศตวรรษ (ตั้งแต่บูรณะเสร็จปี 2505 เป็นต้นมาก็เรียกว่าพระเจ้าหลีกเคราะห์มาโดยตลอด)

ประเด็นที่อยากแลกเปลี่ยนในบทความนี้ก็คือ จริงหรือไม่ที่พระเจ้าหลีกเคราะห์มีอายุเก่าแก่ถึงปี พ.ศ.1909 ตามที่ทางวัดบอกเล่าประวัติ สิ่งที่น่าตื่นเต้นยิ่งไปกว่านั้น คือตัวเลขศักราชนี้ไม่ได้ระบุในตำนาน แต่ทางวัดยืนยันยังว่าเป็นการพบตัวอักขระลายลักษณ์อีกด้วย

ถ้าเป็นความจริงตามนี้ ก็เท่ากับว่า “ศิลาจารึกที่วัดพระยืน” ต.เวียงยอง อ.เมืองลำพูน ซึ่งทำสถิติในฐานะที่เป็นจารึกตัวอักษรไทล้านนา (หรืออักษรฝักขาม) ชิ้นเก่าแก่ที่สุดที่พบบนแผ่นดินล้านนาขณะนี้ ระบุศักราช พ.ศ.1912 จำต้องถูกล้มแชมป์ลงไปหรือเช่นไร ด้วยการพบจารึกที่เก่ากว่า 3 ปี (พ.ศ.1909) ที่บ้านโฮ่งนี้ ใช่หรือไม่.? เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ชวนติดตามค้นหาคำตอบเป็นอย่างยิ่ง

๐๐๐๐๐๐๐๐๐

เดิมชื่อ “วัดโบสถ” หันหน้าไปทิศเหนือ

ก่อนที่จะเจาะลึกถึงเรื่องตัวอักขระระบุ พ.ศ.1909 ว่าพบตรงจุดไหนอย่างไรขององค์พระเจ้าหลีกเคราะห์นั้น เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปพูดถึงสภาพดั้งเดิมของพระพุทธปฏิมาองค์นี้ก่อนที่จะได้รับการบูรณะ

เดิมนั้น วัดพระเจ้าหลีกเคราะห์อยู่ในสภาพกึ่งวัดร้าง สมัยก่อนไม่ได้มีชื่อว่าวัดพระเจ้าหลีกเคราะห์หรือวัดพระเจ้าตนหลวงแต่อย่างใด ชาวบ้านเรียกกันว่า “วัดโบสถ” เพราะเหลืออุโบสถอยู่หลังหนึ่ง สร้างราว 150-200 ปี ยุคที่มีการตั้งถิ่นฐานของชาวยองในลำพูน (หมายเหตุ อุโบสถหลังปัจจุบันที่เห็นเป็นการสร้างขึ้นใหม่ทับที่เดิมหลังที่สองแล้ว)

สิ่งที่น่าสนใจคือ อุโบสถหลังนี้หันหน้าไปทิศเหนือ เพื่อรำลึกถึง “เมืองยอง-มหิยังคณะ” ในรัฐฉาน พม่า เมืองที่ชาวยองต้องจากมา ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือขึ้นไปเลยเมืองเชียงใหม่ เชียงแสน เชียงตุง

ถือว่า การหันหน้าอุโบสถไปทางทิศเหนือนั้นพบไม่มากนักในการสร้างวัดแถบอุษาคเนย์ ส่วนใหญ่มักหันไปทิศตะวันออกเพราถือเป็นทิศมงคล หรือไม่ก็เอาเส้นทางน้ำที่ไหลผ่านหน้าวัดเพื่อการคมนาคมเป็นหลัก

เป็นอุโบสถที่ยังสามารถใช้ทำสังฆกรรมได้ แม้ว่าไม่มีเสนาสนะหลังอื่นใดในวัด นอกเหนือไปจากชิ้นส่วนของ “องค์พระเจ้าหลีกเคราะห์” ซึ่งพังทลายลงมา

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ส่วนพระเศียรหลุดจากพระวรกายที่จมดิน เมื่อครูบาเจ้าศรีวิชัยเกือบได้บูรณะ

พระภิกษุหลายรูปที่ผ่านมาวัดโบสถรู้สึกสลดใจ มีความปรารถนาที่จะบูรณะองค์พระให้สมบูรณ์ดุจเดิมหลายต่อหลายครั้ง นับแต่ครั้งแรกปี 2465 ดำริโดย “ครูบายาสมุทร” แห่งวัดเหล่ายาว เตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ แต่แล้วท่านเกิดอาพาธและมรณภาพลงไปเสียก่อน

ครั้งที่สอง พ.ศ.2476 คณะศรัทธาได้นิมนต์ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” มาเป็นประธานนั่งหนัก เตรียมอิฐ ปูน ไม้ ทุกอย่างพร้อมแล้วอีกเช่นกัน แต่แนวคิดของครูบาฯ ครั้งนั้นตั้งใจจะทำองค์ใหม่ขึ้นมาแทนที่องค์เดิมโดยไม่บูรณะองค์เก่า ทำให้พระครูอินทนนท์ วัดบ้านก้อง เจ้าคณะแขวงปากบ่อง (ต่อมาคือ อ.ป่าซาง) เมื่อทราบเรื่อง ต้องขอร้องให้ครูบาเจ้าศรีวิชัยระงับโครงการนั้นไป

อาจเป็นเพราะช่วงนั้นทางคณะสงฆ์ส่วนกลางมีคำสั่งให้จับตาเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวของครูบาเจ้าศรีวิชัยอีกทางหนึ่งด้วยว่า หากจะไปเปลี่ยนแปลงรูปแบบเสนาสนะวัดใด ขอให้เจ้าคณะในพื้นที่ยับยั้งไว้




ครูบาสองเมือง คือ เนื้อนาบุญผู้มาบูรณะ

ในที่สุด พ.ศ.2488 ครูบาสองเมือง หรือพระครูอินทรัตนคุณ เจ้าอาวาสวัดหล่ายแก้ว ซึ่งมีหน้าที่ดูแลสาธารณูปการแถบบ้านโฮ่ง ทุกครั้งที่แวะมาวัดโบสถมักเกิดความสลดใจ เมื่อได้เห็นสภาพของพระเศียรไปทาง พระวรกายไปทาง จึงดำริโครงการที่จักต้องบูรณะองค์พระปฏิมานี้อีกครั้งให้จงได้

ขณะที่ครูบาสองเมืองนั่งภาวนากัมมัฏฐานที่วัดโบสถ ท่านได้เห็นนิมิตสองประการเป็นลางบอกเหตุให้เดินหน้า

นิมิตแรก คือ เห็นกังสดาลหินสีดำแผ่นหนึ่งที่เจาะรูสำหรับแขวน แผ่นหินกว้างเพียง 3 นิ้ว หนา 1 นิ้ว จึงใคร่ครวญว่า “กังสดาลนี้หากคนตีไม่เป็นก็จะทำให้หินแตกพัง แต่หากตีเป็นจะเกิดเสียงกังวาน” อุปมาดั่งการบูรณะพระพุทธปฏิมานั่งเอง

นิมิตที่สอง คือ ท่านหลับฝันเห็นงูใหญ่ที่คอยเฝ้าเวียนวนอยู่ใต้ฐานพระนี้อยู่ โดยไม่ยอมไปผุดไปเกิดใหม่ ด้วยยังมีความกังวลผูกพัน งูใหญ่ได้ฝากฝังขอให้ครูบาสองเมืองช่วยบูรณะพระปฏิมาองค์นี้ให้สำเร็จด้วย

นับจากปี 2488 เป็นต้นมาถึงปี 2503 นานถึง 15 ปีทีเดียว กว่าที่ครูบาสองเมืองจักทำการรวบรวมงบประมาณ กำลังคน กำลังใจ และกำลังปัญญา

กระบวนการทำงานไม่ง่ายนัก เพราะจำเป็นต้องทราบเสียก่อนว่า องค์พระปฏิมาขนาดมหึมาที่ล้มฝังจมดิน ณ วัดโบสถแห่งนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร สร้างขึ้นสมัยไหน องค์ดั้งเดิมมีรูปแบบพุทธศิลป์เช่นไร ทั้งหมดนี้ ทำให้ต้องมีการประสานขอความรู้ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในยุคนั้นในระหว่างการบูรณะ

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

กรมศิลปากรและ อ.สงวน โชติสุขรัตน์ ตีความว่าเป็นพระพุทธรูปเชียงแสน

ในที่สุด ครูบาสองเมืองได้คำตอบจากกรมศิลปากรและปราชญ์ใหญ่ด้านล้านนาขณะนั้นคือ อาจารย์สงวน โชติสุขรัตน์ ว่าพระพุทธรูปองค์นี้เป็นศิลปะล้านนารูปแบบเชียงแสน

หลังจากที่ขุดพระเศียรขึ้นมาจากดินแล้ว พบว่าบริเวณพระเกศามีเม็ดพระศกสามชิ้น ที่มีตัวอักขระจารึก (ทางวัดไม่ได้บันทึกว่าเป็นอักษรประเภทใด เพราะอักษรล้านนามี 2 ประเภทคือ อักษรฝักขาม-ไทล้านนา กับอักษรที่เรียกว่าตั๋วเมือง-ธัมม์ล้านนา?)

ชิ้นหนึ่ง ส่งให้อาจารย์สงวนช่วยอ่านได้ความว่า “พระยาจอมปู่เรือนมูลได้ริสร้างแป๋งพระพุทธรูปเจ้าคำองค์นี้ เมื่อปีสง้า แรม 7 ค่ำ ฤกษ์ 3 เดือนสารทระ”

กับอีกชิ้นหนึ่ง ได้ส่งให้คณะครูโรงเรียนประชาบาลบ้านเวียงยอง ในเมืองลำพูนช่วยอ่านได้ความว่า “พระพุทธรูปเจ้าคำองค์นี้ ได้ริรังสร้างขึ้นเมื่อจุลศักราช 728” ซึ่งเมื่อเอา 1181 ไปบวก จะเท่ากับ พ.ศ.1909

ต่อมาครูบาสองเมืองมอบหมายให้ลูกศิษย์เอกชื่อ พระดวงดี พรหฺมโชโต จำพรรษาอยู่วัดดอยแดน ต่อมาเป็นพระครูสุนทรธรรมานุรักษ์ อดีตเจ้าอาวาสรูปที่สองหลังจากฟื้นวัดพระเจ้าตนหลวง (ถือว่าครูบาสองเมือง หรือพระครูอินทรัตนคุณ เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก) เดินทางไปสืบค้นข้อมูลที่เมืองเชียงแสน เนื่องจากขณะนั้น หน่วยศิลปากรที่ 4 ตั้งอยู่ที่เมืองโบราณเชียงแสน จ.เชียงราย ยังไม่มีหน่วยที่เชียงใหม่

๐๐๐๐๐๐๐๐๐

พระสิริราชวังโสสมัยพระญาแสนภู เป็นผู้สร้าง “พระเจ้าหลีกเคราะห์”.?

จากรหัสจุลศักราช 728 กับคำว่า “พระเจ้าคำ” นี้เอง เมื่อพระดวงดีได้ไปสอบถามผู้รู้ชื่อ “อาจารย์เมืองอินทร์ วัดผ้าขาวป้าน” ที่เชียงแสน กอปรกับการประมวลองค์ความรู้จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ของหน่วยศิลปากรและจากการพูดคุยกับอาจารย์สงวน โชติสุขรัตน์ ทำให้พอจะสรุปที่มาที่ไปของพระองค์นี้ได้ว่า

ผู้สร้างพระเจ้าตนหลวงหรือพระเจ้าหลีกเคราะห์องค์นี้คือ “พระสิริราชวังโส” (สิริราชวํโส) ผู้เป็นพระมหาราชครูอยู่ที่วัดพระแก้ว เมืองเชียงแสน ตรงกับรัชกาลของพระญาแสนภู?

ซึ่งก่อนหน้านั้น เคยสร้าง “พระเจ้าล้านตื้อ” มาก่อนแล้วองค์หนึ่ง (?) เป็นพระพุทธปฏิมาองค์ใหญ่มาก แค่เฉพาะพระเกตุโมลีก็มีขนาดมหึมา

พระสิริราชวังโส เป็นผู้เคร่งครัดในธรรม วันหนึ่งขณะเดินบิณฑบาต ได้พบทาริกาน้อยนอนแบเบาะภายในเรือนที่ท่านกำลังรับบาตร เพ่งเห็นโดยญาณว่าทาริกาผู้นี้เคยเป็นเนื้อคู่ของท่านมาก่อน และชาตินี้ก็ตามมา จึงพิจารณาว่าหากท่านยังคงอยู่ในเมืองนี้ต่อไป ก็อาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียทางพรหมจรรย์ได้

จึงตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองเชียงแสน หนีมาไกลจนถึงบ้านโฮ่ง แล้วสร้างพระพุทธรูปขึ้นองค์หนึ่งให้ใหญ่โตเหมือนครั้งที่เคยสร้างไว้ที่เชียงแสน เพื่อเป็นการ “หลีกเคราะห์กรรม” หรือหลบหลีกจากการที่ไม่ต้องสึกออกไปครองเรือนในอนาคต

๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ทั้งหมดคือ “การประมวลเนื้อหา” ถึงความน่าจะเป็น โดยที่จารึกเขียนไว้แค่ “พระยาจอมปู่เรือนมูล” เป็นผู้สร้างพระองค์นี้ ไม่มีคำว่า พระสิริราชวังโส แต่อย่างใด

อะไรเป็นมูลเหตุทำให้ท่านอาจารย์เมืองอินทร์ แห่งวัดผ้าขาวป้าน ที่เชียงแสน ช่วยผูกโยงเรื่องราวของพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์หนึ่งที่ถูกทิ้งร้าง ณ วัดโบสถ บ้านโฮ่ง ไปได้ไกลมากถึงสมัยพระญาแสนภู โดยมีตัวละคร พระสิริราชวังโส เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย.?


โปรดติดตามอ่านต่อฉบับหน้า •




 
ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 ธันวาคม 2565
คอลัมน์ : ปริศนาโบราณคดี
ผู้เขียน : เพ็ญสุภา สุขคตะ
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2565
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_635278
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 31, 2022, 06:47:30 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 :25: :25: :25:

พระเจ้าหลีกเคราะห์ เก่าถึงสมัยพระญาแสนภู จริงหรือ.? (จบ)



พระสิริราชวังโสชาตะสมัยพระญากือนา

ประเด็นเรื่องการโยงเอา “พระสิริราชวังโส” มหาราชครูแห่งล้านนามาให้เป็นผู้สร้างพระเจ้าตนหลวง หรือพระเจ้าหลีกเคราะห์ แห่งบ้านโฮ่งนั้น

อาจกล่าวได้ว่าเป็นข้อมูลที่ไม่น่าจะถูกต้องนัก กล่าวคือ หากจารึกที่ระบุบนพระเกศโมลีของพระเจ้าหลีกเคราะห์ตรงกับจุลศักราช 728 หรือ พ.ศ.1909 จริง ตัวเลขนี้ย่อมไม่ใช่รัชสมัยของพระญาแสนภูแล้ว เพราะพระญาแสนภูกษัตริย์ล้านนาลำดับที่ 3 ผู้เป็นหลานปู่ของพระญามังราย ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1868-1877

ส่วนปี 1909 จะตรงกับสมัยพระญากือนา กษัตริย์ล้านนาลำดับที่ 6 ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1898-1928




พระสิริวังโสสร้างพระแก้ว-พระคำ

นาม “พระสิริวังโส” (ยังไม่มี ‘ราช’) ปรากฏครั้งแรกในตำนานพื้นเมืองเชียงแสน พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน และประชุมพงศาวดารภาคที่ 61 กล่าวว่าปี จ.ศ.744 หรือ พ.ศ.1925 ท่านมีบทบาทในการนำ “พระแก้ว” กับ “พระคำ” จากเมือง “ช้าพร้าว/ชาคราว” (แจ้พร้าว?) มาทำพิธีที่เกาะดอนแท่น กลางลำน้ำโขงที่เชียงแสน

“… มหาเถรเจ้าตนหนึ่งชื่อ สิริวังโส นำเอาพระพุทธรูปสององค์ คือว่าพระแก้วแลพระคำ มหาธาตุเจ้ามาแต่ช้าพราว มาถึงแล้วยามนั้น ท่านเล็งเห็นเกาะดอนแท่นที่นั้น เป็นเพิงใจนัก จักใคร่สร้างวัดสองหลังนี้ จึงให้คนเมื้อเมตตามหากษัตริย์เจ้ากือนายังเชียงใหม่โพ้น”

นัยยะแห่งเนื้อหานี้บอกอะไรเราได้บ้าง

1. อย่างน้อยที่สุดปี 1925 สมัยพระญากือนา พระสิริวังโส (ไม่มีคำว่า ‘ราช’) เป็นพระจากเมืองแจ้พร้าว เดินทางมาที่เชียงแสน ซึ่งผิดไปจากข้อมูลที่กล่าวว่า ท่านอัปเปหิตัวเองไปอยู่ที่บ้านโฮ่งตั้งแต่ปี 1909 แล้ว

2. การพบจารึกคำว่า “พระคำ” บนเกตุมาลา (หรือเม็ดพระศก?) ของพระเจ้าหลีกเคราะห์ที่บ้านโฮ่งนี่เองใช่ไหม ที่ได้กลายเป็นกุญแจศัพท์สำคัญ ทำให้ปราชญ์วัดผ้าขาวป้าน คือท่านอาจารย์เมืองอินทร์ (เอกสารไม่ได้ระบุนามสกุล) พยายามช่วย พระดวงดี พรหฺมโชโต (ต่อมาคือพระครูสุนทรธรรมานุรักษ์) วิเคราะห์ว่า พระสิริราชวังโสน่าจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสร้างพระพุทธรูปที่บ้านโฮ่งด้วย เหตุที่ท่านเคยสร้าง “พระคำ” องค์มหึมามาก่อนแล้วที่เชียงแสน

พระสิริวังโสหรือสิริราชวังโส เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ หลังจากเหตุการณ์เรื่องท่านได้นำ “พระแก้ว-พระคำ” มาทำพิธีอภิเษกที่เกาะดอนแท่นนำไปสู่การสร้างวัดพระแก้ว-พระคำที่เชียงแสนแล้ว ชื่อของท่านก็ปรากฏอีกหลายครั้งในสมัยพระญาสามฝั่งแกน ผู้เป็นนัดดา (หลาน) ของพระญากือนา

เช่น เหตุการณ์ ปี จ.ศ.769 (พ.ศ.1950) “ศึกห้อ (ฮ่อ)” หมายถึงจีนตอนใต้ ยกมารบกับล้านนา พระสิริวังโสทำพิธีเสกให้ฟ้าผ่าใส่ชาวห้อตาย พระญาสามฝั่งแกนจึงยกให้เป็น “มหาราชครู”

และนามของท่านก็ปรากฏอีกเป็นครั้งสุดท้ายในสมัยพระเจ้าติโลกราช ว่ายังดำรงตำแหน่งเป็นมหาราชครูอย่างน้อยในปี จ.ศ.784 (พ.ศ.1965) ซึ่งก็ถือว่ายาวนานมากแล้วสำหรับมหาเถระรูปหนึ่ง ที่มีอายุตั้งแต่สมัยพระญากือนาจนถึงติโลกราช 4 รัชกาลทีเดียว

อันที่จริงชื่อของ พระสิริราชวังโส มิได้ปรากฏในจารึกบนพระเศียรพระเจ้าหลีกเคราะห์แต่อย่างใด หรือมาตรแม้นสมมติว่าปรากฏนามของท่าน ชีวิตของพระมหาเถระรูปนี้ก็อยู่ในช่วงพระญากือนาลงมาจนถึงพระเจ้าติโลกราชเท่านั้น ย่อมไม่เก่าไปถึงสมัยพระญาแสนภู

อีกทั้งกรณี “พระคำ” ที่เชียงแสน ครั้งหนึ่งเคยเชื่อกันว่า หมายถึง “พระเจ้าล้านตื้อ” พระพุทธรูปขนาดมหึมาที่พระวรกายหายไป เหลือแค่พระเกตุมาลาชิ้นใหญ่ จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสนนั้น ปัจจุบันนักวิชาการรุ่นใหม่ “อภิชิต ศิริชัย” ก็ทำการศึกษาค้นหาหลักฐานอย่างละเอียดแล้วได้ข้อสรุปว่า “พระคำ” ในตำนานช่วงนั้น ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับพระเกศโมลีองค์ใหญ่

ปมปริศนาทั้งหมดนี้ ดิฉันได้รับปากกับ “พระไพโรจน์ ปญฺญาวชิโร” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเจ้าตนหลวงที่บ้านโฮ่ง ในช่วงลงพื้นที่วัดครั้งล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา (ส่วนภาพประกอบที่มีเจ้าป้าชวนคิด ณ ลำพูนด้วยนี้ ถ่ายตั้งแต่ปี 2556 แล้ว) ว่าจะขอเข้ามาช่วยสอบชำระ ปรับปรุงเรื่องราวประวัติความเป็นมาของพระเจ้าหลีกเคราะห์ (พระเจ้าตนหลวง) องค์นี้ให้ถูกต้อง

โดยได้เรียนชี้แจงแก่ทางวัดแล้วว่า มิได้มีเจตนามาจับผิด หรือประณามผู้วิเคราะห์ข้อมูลในอดีตแต่อย่างใด เพราะทราบดีถึงข้อจำกัดหลายประการในการศึกษาพระพุทธรูป เริ่มจากยุคครูบาสองเมืองได้บุกเบิกเริ่มต้นกันมาตั้งแต่ปี 2488 ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการสืบค้นหาหลักฐานด้านต่างๆ ให้ลงตัว




จารึกบนเกศโมลีนั้นอยู่ที่ไหน

เราคงต้องกลับมาสู่จุดเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ที่ “จารึกบนพระเศียรของพระเจ้าหลีกเคราะห์” กันอีกครั้ง แค่มาตั้งคำถาม 3-4 ข้อ

ข้อแรก ตกลงตัวจารึกนั้นจารตรงส่วนไหนกันแน่ ระหว่างตัวพระเกศโมลี (จิกโมลี) ซึ่งศัพท์ทางโบราณคดีเรียก “พระรัศมีเปลว” ที่เป็นแท่งยาวสูง หรือว่าอยู่ในเม็ดพระศก? เพราะคำว่า “พบจารึกบนพระเศียร 3 ชิ้น” นั้น เป็นคำที่ค่อนข้างกว้างกำกวม สามารถตีความว่าเป็นไปได้ทั้งเม็ดพระศกและเกศโมลี

ข้อสอง “พระยาจอมปู่เรือนมูล” ที่อาจารย์สงวน โชติสุขรัตน์ แปล ปรากฏในจารึกว่าเป็นผู้สร้าง “พระพุทธรูปคำ” คือใคร คงต้องนำชื่อบุคคลท่านนี้ไปเปรียบเทียบกับเอกสารอื่นๆ ที่ร่วมสมัยเดียวกันด้วย เพื่อสอบค้นว่าในห้วงเวลาที่ท่านสร้างพระปฏิมาองค์นี้ ช่วงนั้นบ้านโฮ่งมีชื่อเดิมและสถานะอย่างไร ทำไมจึงมีแนวคิดรวมทั้งศักยภาพที่สามารถสร้างพระองค์ใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งชื่อของ จอมปู่เรือนมูล เคยปรากฏที่ใดอีกบ้าง ประเด็นนี้จะเกิดประโยชน์มหาศาลต่อประวัติความเป็นมาของอำเภอบ้านโฮ่งเลยทีเดียว

ข้อสาม การที่ทางวัดบอกว่า ได้นำเอาตัวจารึกมอบให้ปราชญ์ผู้รู้ด้านอักขระล้านนาช่วยอ่านปริวรรตแล้วนั้น ไม่ว่าอาจารย์สงวน โชติสุขรัตน์ ก็ดี กลุ่มอาจารย์จากโรงเรียนบ้านเวียงยอง ก็ดี เมื่ออ่านเสร็จแล้วมีการส่งวัตถุที่มีจารึกคืนวัดโบสถหรือไม่ (วัดโบสถคือชื่อเดิมของวัดพระเจ้าตนหลวง) เหตุการณ์ช่วงนี้ทางวัดไม่ได้บันทึกปี พ.ศ.ไว้ แต่ดิฉันพอจะอนุมานได้ว่าน่าจะเกิดขึ้นราว พ.ศ.2500-2504 อันเป็นช่วงที่อาจารย์สงวนเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในฐานะนักประวัติศาสตร์ล้านนา และเป็นช่วงที่ทางวัดโบสถเริ่มไปประสานหน่วยศิลปากรที่ 4 เชียงแสน อย่างเป็นกิจจะลักษณะ

ฉะนี้แล้ว หากต้องการความกระจ่างชัดขึ้น เราคงต้องสอบถามชาวบ้านแถววัดโบสถที่มีอายุเกิน 80 ปี (เพราะ 65 ปีที่แล้วบุคคลเหล่านี้ยังเป็นวัยรุ่นอายุราว 10 กว่าปีเป็นอย่างต่ำ น่าจะพอจำความได้บ้าง)

หรือหากมีการส่งคืนวัตถุแล้ว ทางวัดได้นำไปบรรจุให้เป็นส่วนหนึ่งของเศียรพระพุทธปฏิมาช่วงที่กรมศิลปากรมาช่วยบูรณะด้วยแล้วหรือไม่ ทำให้ทุกวันนี้เราไม่พบตัวจารึกดังกล่าว ไม่มีแม้แต่ภาพถ่ายตัวอักขระ

ประเด็นสุดท้าย แน่นอนว่าหนีไม่พ้นเรื่อง “ศักราช จ.ศ.728” อันตรงกับ พ.ศ.1909 ปัญหาคือคนรุ่นหลังไม่มีใครสามารถเห็นตัวอักขระต้นฉบับ ย่อมทำให้สงสัยว่า จ.ศ.728 ในจารึกบนพระเศียรนั้น เป็นการอ่านที่ถูกต้องหรือไม่




ล้านนาใช้ตัวอักษรอะไรก่อนจารึกวัดพระยืน

ดิฉันสนใจประเด็นนี้อย่างมาก ดังที่เรียนให้ทราบตั้งแต่ฉบับก่อนแล้วว่า หากศักราช 1909 ในจารึกนี้คือความจริง ก็เท่ากับว่า จารึกบนเศียรพระเจ้าหลีกเคราะห์ สามารถล้มแชมป์ “จารึกวัดพระยืน” ได้เลย

ประเด็นนี้สำคัญอย่างไร ดิฉันคิดว่าสำคัญยิ่งกว่าการที่เราจะต้องไปเชื่อมโยงว่าผู้สร้างคือ พระสิริราชวังโส หรือเก่าถึงสมัยพระญาแสนภูแห่งเมืองเชียงแสนหรือไม่ เสียอีก แต่เราควรพิสูจน์ให้ได้ว่า

จารึก จ.ศ.728 นั้น เขียนด้วยตัวอักษรประเภทใด เป็นตัวอักขระธัมม์ล้านนา (ตั๋วเมือง) หรือว่าอักษรฝักขาม (ไทล้านนาแบบสุโขทัย) แบบจารึกวัดพระยืน ดังที่ดิฉันได้ตั้งคำถามมาแล้วในฉบับก่อน

ไม่ว่าจะเขียนด้วยตัวอักษรใดอักษรหนึ่ง ก็ล้วนแล้วแต่น่าตื่นเต้นทั้งสิ้น

เพราะหากเป็นตัวอักษรธัมม์ล้านนา จารึกพระเจ้าหลีกเคราะห์ก็จะมีอายุเก่าแก่กว่า จารึกลานทองสมเด็จพระมกาเถรจุฑามุณิ ถึง 10 ปี

จารึกลานทองคือเลขทะเบียน สท.52 พบที่ฐานอุโบสถวัดมหาธาตุ สุโขทัย จารเมื่อ พ.ศ.1919 เป็นจารึกหลักแรกในประเทศไทยที่พบว่ามีการใช้ตัวอักษรธัมม์ล้านนา

หรือยิ่งหากเขียนด้วยตัวอักษรฝักขาม ไทล้านนาแบบสุโขทัย ก็จักยิ่งน่าตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก เพราะตามที่เราทราบกันดีว่า พระสุมนเถระเป็นบุคคลแรกที่นำเอาตัวอักษรไทสุโขทัยมาสถาปนาในดินแดนล้านนาที่วัดพระยืนในปี 1912 ตามคำอาราธนาของพระญากือนา

แต่จารึกบนเศียรพระเจ้าหลีกเคราะห์ (ซึ่งไม่ทราบว่าใช้ตัวอักษรประเภทใดจาร) ระบุศักราช 1909 เก่ากว่าจารึกฝักขามวัดพระยืน 3 ปี และเก่ากว่าจารึกลานทองมหาธาตุสุโขทัยถึง 10 ปี




สมมุติว่าการอ่านศักราชไม่ผิดพลาด และอักษรนั้นเป็นฝักขาม แสดงว่ามีพระภิกษุสายสุโขทัยได้เดินทางขึ้นมาเขตตอนใต้ของลำพูน (คือบ้านโฮ่ง) ก่อนการมาถึงของพระมหาสุมนเถระในปี 1912 ถึง 3 ปีแล้ว

ดิฉันคิดว่าข้อมูลทั้งหมดนี้เราไม่ควรมองข้าม ขอฝากไว้ให้ช่วยกันพินิจพิจารณา โดยตัดประเด็น พระสิริราชวังโส กับพระญาแสนภูออกไปก่อน เพราะไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง

สิ่งที่น่าสนใจคือชื่อ “พระยาปู่จอมเรือนมูล” กับ พุทธศักราช 1909 นี้เท่านั้น

ส่วนคำว่า “พระเจ้าหลีกเคราะห์” จะเอายังไงต่อดี ในเมื่อพระสิริราชวังโสไม่ได้หลีกภัยจากนารีหนีจากเชียงแสนมาอยู่บ้านโฮ่งจริงตามข้อสันนิษฐานของอาจารย์เมืองอินทร์ วัดผ้าขาวป้าน (เพราะศักราช 1909 พระสิริวังโส ยังอยู่เมืองแจ้พร้าว) หากไม่มีเหตุการณ์นี้ ดังนั้น พระเจ้าหลีกเคราะห์ก็ต้องเป็นโมฆะตามไปด้วยใช่หรือไม่

อาจไม่จำเป็นเสมอไป ในเมื่อทางวัดโบสถมีความตั้งใจจะบูรณะพระพุทธปฏิมาองค์มหึมาจนสำเร็จแล้ว เพียงเท่านี้ดิฉันถือว่าเจตจำนงอันยิ่งใหญ่และงดงามของ “ครูบาสองเมือง” สืบทอดมาถึงพระดวงดีหรือ “พระครูสุนทรธรรมานุรักษ์” ก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้สาธุชนในละแวกบ้านโฮ่งได้ “หลีกเคราะห์หลีกกรรม” ในระดับหนึ่งแล้ว

นั่นคือ การไปไม่ปล่อยให้พระพุทธปฏิมาองค์ใหญ่องค์หลวง ซึ่งสร้างมานานกว่า 5-600 ปีต้องอยู่ในสภาพน่าสลดหดหู่ใจ ย่อมถือว่าโบราณาจารย์ทุกท่านได้กระทำการ “หลีกเคราะห์” ปลดเปลื้องความไม่สบายอกไม่สบายใจให้แก่ผู้พบเห็นแล้ว •


 



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 ธันวาคม 2565 - 5 มกราคม 2566
คอลัมน์ : ปริศนาโบราณคดี
ผู้เขียน : เพ็ญสุภา สุขคตะ
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2565
website : https://www.matichonweekly.com/culture/article_637211
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 31, 2022, 06:47:56 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ