ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จริตของคน 6 อย่าง : การประยุกต์พุทธธรรม มาใช้กับการบริหาร  (อ่าน 905 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




จริตของคน 6 อย่าง : การประยุกต์พุทธธรรม มาใช้กับการบริหาร

การประยุกต์พุทธธรรม มาใช้กับการบริหาร (3)

จริตของคน 6 อย่าง : จริต คือ แนวโน้มของคนที่แสดงออกมาแต่ละคนอาจจะมีจริตรวมกัน ผสมผสานจนกระทั่งดูไม่ออก แต่ต้องดูว่าอันไหนมาก คือ

    1. ราคจริต คือ มีความประพฤติไปในทางรักสวยรักงาม ดูจากการกินอาหาร เช่น การสั่งก๋วยเตี๋ยว ตามปกติเขาปรุงมาอย่างดีแล้วคนที่มีราคจริตจะต้องใส่พริกนิดหน่อย หยอดน้ำปลานิดหน่อย ทั้งๆ ที่รสกลมกล่อมดีแล้ว
    2. โทสจริต มีความประพฤติหรือแสดงออกในทางใจ ร้อนหงุดหงิด ถ้าดูจากการกินอาหารเขาจะกินได้โดยจะปรุงหรือไม่ปรุงก็ตาม แต่ถ้าปรุงก็ต้องใส่รสเข้ม เช่น เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด หวานจัด
    3. โมหจริต มีความประพฤติไปทางเขลา เหงาซึม งมงาย หลงๆ ลืมๆ ถ้าดูจากการกินอาหารรสนิยมไม่แน่นอน บางครั้งกินเผ็ด บางครั้งกินเค็ม
    4. สัทธาจริต มีความประพฤติหนักไปในทางมีจิตซาบซึ้งชื่นบานน้อมใจให้เชื่อง่าย
    5. พุทธิจริต มีความประพฤติหนักไปในทางใช้ความคิดพิจารณา
    6. วิตกจริต มีความประพฤติหนักไปในทางนึกคิดจับจดฟุ้งซ่าน

อย่างไรก็ตาม การสังเกตจริตของแต่ละคนดูยาก เช่น โมหจริต บางครั้งคล้ายกับโทสจริต และบางทีก็คล้ายๆ กับพุทธิจริต ซึ่งมันปนกัน แต่สังเกตได้จากนิสัย

    เช่น ผู้หญิงทุกคนต้องมีผ้าเช็ดหน้า อย่างน้อยก็ต้องมีกระดาษทิชชู ถ้าผู้หญิงคนใดไม่มีทั้งผ้าเช็ดหน้าและกระดาษทิชชู เป็นโมหจริต ถ้ามีกระดาษทิชชูอย่างเดียวยังไม่จัดเป็นโมหจริต
    หรือจะดูการเขียนหนังสือก็รู้ว่ามีจริตชนิดไหน คนมีโมหจริตเซ็นชื่อไม่คงที่ เซ็นชื่อบางทีรับเงินไม่ได้เพราะเขาคิดว่าเป็นคนละคน อย่างนี้เป็นต้น ต้องดูหลายอย่าง

@@@@@@@

ทำไมต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ ก็เพราะในฐานะเป็นผู้นำคนต้องดูคนให้เป็นแล้วจะได้ใช้งานให้มันถูก ใช้คนให้ถูก เรื่องนี้สำคัญมาก

ในครั้งพุทธกาลมีเรื่องๆ หนึ่ง คือมีพราหมณ์คนหนึ่งอยากได้พระพุทธเจ้าเป็นลูกเขย พราหมณ์คนนี้มีลูกสาวสวยมากไม่ยอมยกให้ใคร พอพบพระพุทธเจ้าผู้มีรูปหล่อ จึงบอกจะยกลูกสาวให้ กลับไปบ้านตะโกนบอกเมียให้แต่งตัวให้ลูกสาวเพราะพบคนที่เหมาะสมกับลูกสาวแล้ว

ชาวบ้านจึงตามมาด้วยเพราะพราหมณ์คนนี้ใครๆ มาขอไม่ยอมยกให้ พอวันนี้พบคนที่เหมาะสมต้องการดูว่าหล่อขนาดไหน ชาวบ้านจึงตามมาดูกันเต็ม

พระพุทธเจ้าไม่ประทับยืนตรงนั้นแล้วพระองค์ไปประทับยืนที่อื่น แต่พระองค์ประทับรอยพระบาทไว้ พราหมณ์จึงชี้ให้ดูรอยพระบาทด้วยคิดว่าพระองค์ประทับอยู่แถวๆ นี้ นางพราหมณีเป็นหมอดูลายเท้า เมื่อเห็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าจึงรู้ได้ทันทีว่าไม่มีหวัง เพราะรอยเท้านี้เป็นรอยเท้าของคนหมดเรื่องโลกียวิสัยแล้ว

พราหมณ์ถามนางพราหมณีว่าเธอรู้ได้อย่างไร นางพราหมณีบอกว่าฉันเป็นหมอดูลายเท้า ดูลักษณะของคน ฉันจะอธิบายให้ฟัง ว่าแล้วนางก็ร่ายโศลกว่า

    รตฺตสฺส หิ อุกฺกุฏิกํ ปทํ ภเว
    ทุฏฐสฺส โหติ สหสานุปีฬิตํ
    มูฬฺหสฺส โหติ อวกฑฺฒิตํ ปทํ
    วิวฏจฺฉทสฺส อิทมึทิสํ ปทํ

    คนราคจริต เท้าเว้ากลาง
    คนโทสจริต เท้าหนักส้น
    คนโมหจริต เท้าจิกปลาย
    คนหมดกิเลสรอยเท้าจะเป็นเช่นนี้ (ราบเสมอกันหมด)


@@@@@@@

การดูคนเพื่อจะใช้คนให้เหมาะสมกับงาน มันก็มาเข้าหลักสัปปุริสธรรม คือ รู้คน รู้งาน การใช้คนให้เป็นสำคัญที่สุด เช่น ท่านขงจื๊อมีลูกศิษย์ 3-4 คน คนหนึ่งพูดเก่ง คนหนึ่งสง่างาม อีกคนหนึ่งกล้าหาญ จึงมีคำถามขึ้นมาว่า เมื่อเขาเก่งแล้วทำไมมาเป็นลูกศิษย์ของท่านอีก

ขงจื๊อบอกว่า “ฉันมีในสิ่งที่เขาไม่มี ฉันมีในสิ่งที่เขาขาด” เพราะฉะนั้น พระเมธีธรรมาภรณ์กล่าวว่า การบริหารก็คือ การปฏิบัติงานโดยอาศัยคนอื่นคือความสำเร็จของการงานก็โดยอาศัยผู้อื่น

มีตัวอย่างเรื่องการใช้คนให้เหมาะกับงานที่สำคัญเรื่องหนึ่ง คือ พระเจ้าเสือ พระองค์ใช้คนได้เหมาะ คนหนึ่งพระองค์ให้แจวเรือพระที่นั่ง อีกคนหนึ่งพระองค์ไม่ให้ทำอะไรเลย ให้เป็นมหาดเล็กคนสนิท คอยตามเสด็จไปจังหวัดสระบุรีเพื่อไหว้พระพุทธบาท

     คนฝีพายก็พายเรือจนเหงื่อแตก เมื่อหันไปมองมหาดเล็กนั่นก็นั่งหลับอยู่หน้าพระที่นั่ง จึงเกิดความอิจฉาก็บ่นเบาๆ ว่า “ก็คนเหมือนกันนี่หว่า”
     เขาพายไปสักพักหนึ่งหันกลับมามองมหาดเล็กอีกทีก็ยังหลับอยู่ ฝีพายชักไม่พอใจ พูดดังกว่าเดิมว่า “ก็คนเหมือนกันนี่หว่า”




พระเจ้าเสือทรงทราบว่า ฝีพายกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเสด็จไปประทับแรม ณ พลับพลาชั่วคราว มีสุนัขมาออกลูกอยู่ข้างล่าง พระองค์ต้องการจะสอนฝีพายจึงเรียกมาตรัสถามฝีพาย

พระราชา : เอ็งไปดูซิ ข้างล่างเป็นเสียงอะไร
ฝีพาย : คลานเข้าไป แล้วกลับออกมากราบทูลว่า สุนัขออกลูกพระเจ้าค่ะ
พระราชา : แล้วกี่ตัวล่ะ
ฝีพาย : คลานเข้าไปครั้งที่ 2 แล้วกลับออกมากราบทูลว่า 4 ตัวพระเจ้าค่ะ

พระราชา : แล้วตัวผู้กี่ตัว ตัวเมียกี่ตัวล่ะ
ฝีพาย : คลานเข้าไปครั้งที่ 3 แล้วออกมากราบทูลว่า ตัวผู้ 2 ตัวเมีย 2 พระเจ้าค่ะ
พระราชา : แล้วมีสีอะไรบ้างล่ะ
ฝีพาย : คลานเข้าไปครั้งที่ 4 แล้วออกมากราบทูลว่า สีดำ 2 สีน้ำตาล 2 พระเจ้าค่ะ

พระราชา : แล้วแม่มันสีอะไรล่ะ
ฝีพาย : คลานเข้าไปครั้งที่ 5 แล้วออกมากราบทูลว่า แม่สีนวลพระเจ้าค่ะ

หลังจากนั้นพระองค์รับสั่งให้เรียกมหาดเล็กคนสนิทมาตรัสว่า เอ็งลงไปดูซิว่าข้างล่างมีอะไร เมื่อเข้าไปดู มหาดเล็กกลับมาถวายรายงานกราบทูลได้หมดทุกเรื่อง โดยไม่ต้องคลานเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนคนแรก

พระองค์ตรัสว่า เอ็งบอกว่าเป็นคนเหมือนกันแล้ว ทำไมไม่เหมือนกัน เอ็งคลานเข้าไปกี่ครั้ง แล้วคนนี้เข้าไปกี่ครั้งนี้คือ เทคนิคของการบริหารอย่างหนึ่ง

@@@@@@@

การมีศิลปะในการบริหาร คือรู้จักใช้คนให้เป็น สัปปุริสธรรม ก็เข้าในเรื่องของปัญญาในส่วนของฆราวาสธรรม 4 ท่านจัดเอา สัจจะ ทมะ ขันติ และจาคะ ตีความให้เป็นเรื่องสนับสนุนความเพียร

แต่ความเพียรอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความฉลาดด้วย เช่น ความขยันก็ต้องขยัน แต่จะขยันอย่างไรถ้าใช้ความขยันไม่ถูกก็จะเป็นโทษ คือ ขยันโกง ขยันลักเล็กขโมยน้อย ขยันเบียดเบียนคนอื่น จึงกล่าวว่า ความขยันต้องมีเงื่อนไขว่า เมื่อขยันต้องฉลาดด้วย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากต้องควบคู่กันเสมอ

พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า บรรดาทั้งหลายไม่ว่าจะนำหัวข้อใดๆ ก็ตาม ต้องสมดุลกัน เมื่อตั้งเป้าหมายไว้แล้วต้องปฏิบัติให้ตรงเป้าหมาย เมื่อรู้เป้าหมาย เราปฏิบัติให้ไปสู่เป้าหมายนั้น แต่ว่ามันสมดุลหรือไม่ต้องดูที่ความพอเหมาะสมดี ปัญญามากมักจะไม่เชื่อฟังใครง่ายๆ คิดว่าตัวเองเก่งอยู่เสมอไม่เชื่อใคร จึงต้องมีตัวคุมเพื่อให้เกิดความสมดุลกัน

ความเพียรเป็นเรื่องดี แต่ถ้ามีความเพียรมากเกินไปก็ไม่ดี เพราะจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน การทำความเพียรอย่างเดียวไม่พอ ยิ่งมากเกินไปยิ่งไม่ดี


    @@@@@@@

    มีพระภิกษุรูปหนึ่งนั่งกรรมฐานบนต้นไม้ 7 วัน 7 คืน
    อาจารย์เซนมาพบเข้าจึงถามว่า คุณทำอะไร
    ได้รับคำตอบว่า ฉันกำลังนั่งสมาธิเพื่อให้เป็นพระพุทธเจ้า
    อาจารย์เซนไม่ได้ว่าอะไร ท่านกลับเอาก้อนอิฐมาถูกับมือ ถูจนเลือดไหลซิบๆ
    พระภิกษุจึงถามว่า ท่านกำลังทำอะไร
    อาจารย์เซนตอบว่า ฉันกำลังทำให้เป็นกระจกใส
    พระภิกษุกล่าวว่า ท่านจะบ้าหรืออย่างไร ท่านเอาก้อนอิฐมาถูจนมือขาดก็เป็นกระจกไปไม่ได้
    อาจารย์เซนจึงตะโกนบอกว่า แล้วคุณไม่บ้าหรืออย่างไร คุณนั่งอยู่บนต้นไม้เหมือนลิงก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้

นี่แสดงให้เห็นว่าการมีวิริยะมากเกินไปก็ไม่ดี และถ้าทำความเพียรไม่ถูกหลักก็ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องปฏิบัติให้พอเหมาะ พอดี
    ศรัทธามากก็ไม่ดี จะทำให้หลงใหล เชื่อคนง่าย
    สมาธิมากก็ไม่ดี จะทำให้เฉื่อยชา และมีข้อเสียอยู่ด้วยอย่างหนึ่ง เพราะว่าเมื่อจิตเป็นสมาธิก็จะขับสารตัวหนึ่งออกมาเรียกว่า เอ็นโดฟิน จะทำให้ติดอยู่ในความสุข

อาจารย์ของผมท่านสอนกัมมัฏฐานไปนรกไปสวรรค์ได้ ผมก็ไปได้ ซึ่งเคยไปติดหรือหลงอยู่พักหนึ่งเหมือนกันการนั่งสมาธินั้น ถ้านั่งจนน้ำตาหรือน้ำลายไหล มันมีความสุขจริงๆ

เวลาจิตสงบ สารตัวนั้นจะถูกขับออกมา ทำให้เกิดความสุขแล้วไม่อยากจะออกจากสมาธิ ในที่สุดกลายเป็นคนขี้เกียจ เฉื่อยชา ไม่รับรู้การเปลี่ยนแปลงของโลก มีความสุขส่วนตัว แต่สังคมลำบาก เช่น ในหน่วยงานหนึ่งๆ ถ้าหัวหน้ามัวแต่นั่งสมาธิอยู่ ผู้ใต้บังคับบัญชาทะเลาะกัน งานก็จะได้รับความเสียหายโดยไม่มีผู้ใดสนใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สมาธิมากเกินไปทำให้ขี้เกียจ ต้องสมดุลกัน

อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่มากแล้วดี สิ่งนั้นคือสติ สติมากยิ่งดี ด้วยสติเป็นสิ่งจำเป็นทุกเมื่อ สติเป็นตัวคุมในหลักการปฏิบัติในการดำเนินชีวิต เพราะฉะนั้น นักวิชาการถึงจะมีปัญญา แต่ถ้าไม่มีสติก็ถือว่าเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 พฤศจิกายน 2561
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2561
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_145971
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ