
๔. สันโดษกับความอยู่รอดของชุมชนและพระศาสนา
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า สันโดษเป็นหลักธรรมที่ออกแบบมาเพื่อรองรับชุมชนสังฆ์เป็นการเฉพาะ ซึ่งเป็นชุมชนของผู้ไม่มีการครอบครองทรัพย์สมบัติและต้องพึ่งพาปัจจัย ๔ จากชุมชนฆราวาส ดังนั้น ชุมชนสงฆ์จะอยู่รอดหรือไม่ก็อยู่ที่ว่าสามารถรักษาอุดมการณ์แบบสันโดษของชุมชนไว้ได้หรือไม่ คำว่าอยู่รอดในที่นี้ หมายรวมถึงความอยู่รอดของหลักธรรมคำสอนและพระศาสนาโดยรวมด้วย เพราะถ้าชุมชนสงฆ์ขาดสันโดษ ก็หมายความว่าระบบความสัมพันธ์กับชุมชนฆราวาสบนฐานของคุณธรรมจะสูญหายไป และระบบการพึ่งพาอาศัยกันแบบพี่น้องภายในชุมชนสงฆ์เองจะต้องเสื่อมลงเช่นกัน นี้คือจุดอันตรายที่จะนำมาซึ่งการล่มสลายของชุมชนสงฆ์และความเสื่อมของพระศาสนาโดยรวม ดังพุทธพจน์ที่ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นแม้ธรรมอันหนึ่งอื่น ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเลือนหาย เพื่ออันตรธานแห่งพระสัทธรรมอย่างนี้ เหมือนความเป็นผู้ไม่สันโดษนี้เลย ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นผู้ไม่สันโดษ ย่อมเป็นไป เพื่อความเลือนหาย เพื่ออันตรธานแห่งพระสัทธรรม” และว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นแม้ธรรมอันหนึ่งอื่น ซึ่งจะเป็นไป เพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่เลือนหาย เพื่อไม่อันตรธานแห่งพระสัทธรรม อย่างนี้ เหมือนความเป็นผู้สันโดษนี้เลย ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นผู้สันโดษย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น ฯ ล ฯ แห่งพระสัทธรรม”
นอกจากนั้น ท่านพระสิริมังคลาจารย์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของสันโดษในคัมภีร์มังคลัตถทีปนีว่า
“ภิกษุผู้ประสงค์ความดำรงอยู่ได้นานแม้แห่งพระศาสนา พึงเป็นผู้สันโดษเถิด เพราะความเป็นผู้สันโดษ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่พินาศแห่งพระศาสนา ความเป็นผู้ไม่สันโดษ ย่อมเป็นไปเพื่อความพินาศ”
จากข้อความที่ยกมา เป็นที่น่าตั้งคำถามว่าสันโดษมีความสำคัญถึงขนาดเป็นตัวกำหนดความเจริญและความเสื่อมสูญของพระศาสนาขนาดนั้นเลยหรือ.? ถ้าเรามองในแง่หลักธรรมของปัจเจกบุคคล การที่ภิกษุรูปหนึ่งรูปใดไม่ประพฤติสันโดษ ก็ไม่น่าจะเสียหายร้ายแรงถึงขนาดนั้น ในทัศนะของผู้เขียน ข้อความตรงนี้ท่านมองสันโดษในแง่มิติทางสังคมอย่างแน่นอน นั่นคือ ถ้าชุมชนสงฆ์ไม่ได้ยึดถือคติความสัมพันธ์กับปัจจัย ๔ บนพื้นฐานของสันโดษแล้ว ก็เท่ากับว่าอุดมการณ์และระบบความสัมพันธ์ภายในชุมชนได้ถึงจุดอวสานเสียแล้ว
ดังจะเห็นได้ในเหตุการณ์ครั้งสังคายนาพระธรรมวินัยครั้ง ๒ เหตุผลจำนวนหนึ่งที่ท่านยกขึ้นมาเป็นประเด็นในการสังคายนา คือ การที่ภิกษุชาววัชชีเก็บสะสมเกลือไว้ในเขนง (กระบอกเขาสัตว์) สำหรับปรุงอาหาร และการประกาศขอรับบริจาคเงินทองจากอุบาสกอุบาสิกา ถ้าเรามองด้วยสายตาของคนปัจจุบันอาจจะเห็นว่าเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไม่น่าจะร้ายแรงจนถึงกับยกขึ้นมาเป็นประเด็นในการทำสังคายนา
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองด้วยมาตรฐานการรับรู้ของสังคมสมัยนั้น ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญและร้ายแรงมาก เพราะนี้คือสัญญาณอันตรายและเป็นพฤติกรรมที่เดินสวนทางกับอุดมการณ์แบบสันโดษของชุมชนสงฆ์
๕. สันโดษกับอุดมการณ์ของชุมชน
อุดมการณ์ในการก่อตั้งชุมชนสงฆ์ของพระพุทธเจ้า ก็คือ ต้องการให้มีศูนย์กลางรองรับบุคคลทุกชนชั้นวรรณะที่ออกบวชเพื่อค้นหาคุณค่าสูงสุดของชีวิต และต้องการให้เป็นชุมชนที่เป็นอิสระจากอิทธิพลของระบบความเชื่อแบบพราหมณ์ รวมทั้งเป็นสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เกื้อกูลต่อการพัฒนาชีวิตของสมาชิกในชุมชนด้วย สันโดษเป็นหลักธรรมอย่างหนึ่งที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับอุดมการณ์ของชุมชนอย่างใกล้ชิด กล่าวคือ เป็นหลักธรรมที่จะเข้ามาช่วยจัดระบบสังคมและจัดระบบความสัมพันธ์กับปัจจัย ๔ รูปแบบ ที่เกื้อกูลต่อการเข้าถึงเป้าหมายชีวิตได้ง่ายยิ่งขึ้น
เพราะเมื่อชุมชนสงฆ์ยึดความสันโดษในปัจจัย ๔ แล้ว ก็เท่ากับว่าระบบของชุมชนได้ช่วยทำให้สมาชิกได้สงวนเวลา แรงกำลัง และความคิดสำหรับทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ และช่วยทำให้สมาชิกแต่ละคนมีเวลาและโอกาสที่จะช่วยเหลือเอาใจใส่ในเรื่องการปฏิบัติธรรมของกันและกันมากขึ้นด้วย เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นการลดภาระด้านปัจจัย ๔ เพื่อที่จะเร่งภาระด้านการปฏิบัติธรรมและการเอาใจใส่ในการศึกษาของกันและกัน
ดังคำกล่าวของพระสิริมังคลาจารย์ที่ว่า
“ก็พระดำรัสนั่นทั้งหมด พระผู้มีพระภาคตรัสหมายเอาความเป็นผู้สันโดษ และความเป็นผู้ไม่สันโดษในปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้น อันความเป็นผู้สันโดษในธรรมอันหาโทษมิได้ มีทาน ศีล เป็นต้น ไม่ชอบ (ไม่ถูกต้อง) ความเป็นผู้ไม่สันโดษในธรรมเหล่านั้นนั่นแล ชอบ (ถูกต้อง)”
ข้อความตรงนี้แสดงให้เห็นเป้าหมายของสันโดษอย่างชัดเจน นั่นคือการลดความสนใจในวัตถุลงให้อยู่ในระดับที่พอให้ชีวิตอยู่ได้เท่านั้น แล้วให้ทุ่มเทความสนใจในเรื่องการฝึกฝนพัฒนาตนอย่างเต็มที่ การทุ่มเทความสนใจตรงนี้ ท่านเรียกว่า “ภิยฺโยกมฺยตา” แปลว่า ความใคร่ที่จะทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนกว่าจะถึงจุดหมายสูงสุด ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับภาษาสมัยใหม่ว่า “แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์” (desire for achievement) ดังข้อความที่ว่า
บุคคลบางคนในโลกนี้ เบื้องต้นเทียว ย่อมถวายปักขิกภัต (ภัตรประจำปักข์) บ้างสลากภัตบ้าง เขาเป็นผู้ไม่สันโดษด้วยการถวายนั้น จึงถวายธุวภัต (ภัตรประจำ) สังฆภัต ( ภัตรเพื่อสงฆ์ ) ผ้าจำนำพรรษา สร้างอาวาส ถวายปัจจัย ๔ เพิ่มขึ้น เป็นผู้ไม่สันโดษ แม้ในการถวายนั้น ย่อมรับสรณะ สมาทานศีล ๕ เป็นผู้ไม่สันโดษ แม้ในการกระทำนั้น ย่อมบวช ครั้นบวชแล้ว ย่อมเรียนนิกายหนึ่ง ๒ นิกาย พุทธวจนะคือพระไตรปิฎก ย่อมยังสมาบัติ ๘ ให้เกิดเจริญวิปัสสนาแล้ว ย่อมถือเอาพระอรหัต จำเดิมแต่การบรรลุพระอรหัต เขาย่อมชื่อว่าเป็นผู้สันโดษใหญ่ ก็ความใคร่โดยวิเศษในพระอรหัตดังกล่าวนี้ ชื่อว่าภิยฺโยกมฺยตา
ถามว่าแรงจูงใจแบบ “ไม่สันโดษ” หรือแบบ “ภิยฺโยกมฺยตา” เกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าตอบแบบช่วงยาวที่สุดก็ต้องบอกว่าเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่บุคคลจะเข้ามาสู่ชุมชนสงฆ์ แต่เป็นแรงจูงใจที่ค่อนข้างจะพร่ามัวพอสมควร คือแฝงมากับความปรารถนาที่จะเข้าถึงความหลุดพ้น แต่ยังไม่แสดงตัวออกมาอย่างชัดเจนนัก แต่เมื่อบุคคลเข้ามาสู่ชุมชนแล้ว บรรยากาศ สภาพแวดล้อม และระบบความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันภายในชุมชน จะเป็นตัวกระตุ้นเร้าให้แรงจูงใจดังกล่าวนี้ได้รับการพัฒนาให้มีพลังมากยิ่งขึ้น ตรงนี้เองที่ผู้เขียนมองว่าเป็นจุดที่ความสันโดษในปัจจัย ๔ ได้เข้ามาเกื้อหนุนความไม่สันโดษในการปฏิบัติธรรม หรือแรงจูงใจแบบ “ภิยฺโยกมฺยตา”
๖. สรุป
การทำความเข้าใจหลักธรรมเรื่องสันโดษในมิติเชิงปัจเจก อาจจะทำให้เข้าใจหลักการ ความหมายและจุดมุ่งหมายของสันโดษได้ในระดับหนึ่ง แต่สันโดษเป็นมิติความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและลึกซึ้งมาก กล่าวคือสันโดษกับอุดมการณ์ในการก่อตั้งชุมชนสงฆ์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดชนิดที่แยกกันไม่ออก ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอเสนอว่า วิธีที่จะทำความเข้าใจความหมายของสันโดษในระดับองค์รวมได้ เราต้องทำความเข้าใจโดยเชื่อมโยงกับอุดมการณ์ในการก่อตั้งชุมชนสงฆ์ของพระพุทธเจ้า โดยข้อสรุปที่ได้เขียนได้จากงานชิ้นนี้คือ
๑) ในแง่ความหมายเชิงสังคม : สันโดษ มีความหมายในแง่ของการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคมบนฐานของการพึ่งพาอาศัยกันด้วยปัจจัย ๔ คือต้องการให้สมาชิกในชุมชนยินดีพอใจเฉพาะปัจจัยตามที่ตนมีตามที่ตนได้ (อิตรีตรปัจจัย) ไม่ให้มีความปรารถนาเกิน (อตฺริจฺโฉ) และไม่ให้โลภเกิน (อติโลโภ) กว่าขอบเขตปัจจัยของตนนั้นไป เพราะการปรารถนาเกินหรือโลภเกิน ก็คือการปรารถนาล้ำเข้าไปในเขตแดนปัจจัยของคนอื่น ย่อมจะเป็นที่มาของปัญหาความขัดแย้งและการละเมิดสิทธิของกันและกัน นอกจากนั้น ยังจะเป็นที่มาของการเบียดเบียนและการสร้างภาระให้แก่ชุมชนฆราวาสมากยิ่งขึ้นด้วย
๒) ในแง่เจตนารมณ์ทางสังคม : ชุมชนสงฆ์ถูกออกแบบมาให้เป็นชุมชนที่ไม่มีการผลิต และไม่มีการเก็บสะสมหรือครอบครองทรัพย์สมบัติเป็นของส่วนตัว แต่ให้เลี้ยงชีวิตด้วยความสันโดษ คือ ให้พึ่งพาปัจจัย ๔ ที่ชาวโลกเขาทำบุญ (ทักษิณาทาน) การออกแบบชุมชนสงฆ์ในลักษณะอย่างนี้ มีเจตนารมณ์ที่จะให้เป็นชุมชนที่ปลอดพ้นจากอิทธิพลของความเชื่อแบบพราหมณ์ ในขณะเดียวกัน ก็ได้เปิดช่องทางเอาไว้เพื่อให้มีโอกาสติดต่อปฏิสัมพันธ์กันระหว่างชุมชน ๒ ชุมชน ช่องทางที่ว่านี้คือ การกำหนดให้ชุมชนสงฆ์พึ่งพาปัจจัย ๔ จากชุมชนฆราวาสด้วยอุดมการณ์แบบสันโดษ ในขณะเดียวกันก็ให้ชุมชนฆราวาสได้พึ่งพาในแง่ของหลักธรรมคำสอน อาจจะเรียกว่าระบบ “อามิสทาน” กับ “ธรรมทาน” ก็ได้
๓) มองในแง่ความสัมพันธ์ภายในชุมชนสงฆ์เอง : หลัก ยถาลาภสันโดษ ยถาพลสันโดษ และยถาสารุปปสันโดษ เป็นหลักการที่จะทำให้ความสัมพันธ์ภายในชุมชนสงฆ์เป็นไปในลักษณะพึ่งพาอาศัยกันฉันพี่น้องและไม่มีการแย่งชิงกันในเรื่องปัจจัย ๔ กล่าวคือ ความยินดีพอใจตามมีตามได้ (ยถาลาภสันโดษ) จะช่วยป้องกันการละเมิดปัจจัยของกันและกัน ความยินดีพอใจตามกำลัง (ยถาพลสันโดษ) จะทำให้มีการแลกเปลี่ยนปัจจัยกันตามความจำเป็น เช่น ในกรณีที่เจ็บป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพ เป็นต้น และความยินดีพอใจตามสมควร (ยถาสารุปปสันโดษ) จะทำให้มีการเคารพและให้เกียรติกันตามความเหมาะสม คือจะทำให้เกิดจิตสำนึกในการบริโภคตามความเหมาะสมแก่สถานภาพของตน ปัจจัยใดที่เห็นว่ามีความเหมาะสมกับผู้มีวัยวุฒิและคุณวุฒิเหมาะสมกว่า ก็ยินดีที่จะมอบปัจจัยนั้นแก่ท่านผู้นั้น เช่น กรณีที่สงฆ์ยินยอมมอบผ้ากฐินแก่ให้แก่ภิกษุผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นต้น
๔) ในแง่อุดมคติของชุมชน : อุดมคติของชุมชนสงฆ์ คือการจัดสรรสภาพแวดล้อมทางสังคมเพื่อให้เอื้อต่อการฝึกฝนพัฒนาชีวิตให้เข้าถึงความหลุดพ้น สันโดษจึงเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับจัดระเบียบชีวิตและระบบสังคมให้เกื้อหนุนต่ออุดมคติดังกล่าวนี้ นั่นคือ การจัดระบบความสัมพันธ์กับปัจจัย ๔ ในลักษณะที่จะทำให้ชุมชนสงฆ์ได้มีเวลาและโอกาสสำหรับทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ เรียกว่าเป็นการใช้สันโดษเพื่อส่งเสริมความไม่สันโดษ หรือส่งเสริมแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนกว่าจะถึงความหลุดพ้น (ภิยฺโยกมฺยตา)บรรณานุกรม :-
- มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี. ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ, ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕.
- มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
- มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. อรรถกถาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาอฏฺฐกถา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
- มหามกุฏราชวิทยาลัย. วิสุทฺธิมคฺคสฺส นาม ปกรณวิเสสสฺส ปฐโม ภาโค. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕.
- พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). การพัฒนาที่ยั่งยืน. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๓๙.
- พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). พุทธศาสนากับสังคมไทย. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๓๒.
- พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐.
- มหามกุฏราชวิทยาลัย. มงฺคลตฺถทีปนี (ทุติโย ภาโค). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑.
- Charles F. Keyes, “Economic Action and Buddhist Morality in A Thai Village,” Journal of Asian Studies, 42 : 4 (August 1983)
ขอขอบคุณ :-
ที่มา :
https://www.mcu.ac.th/article/detail/512บทความ : 'สันโดษกับความรับผิดชอบต่อสังคม'
ผู้แต่ง : พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร (2548)
28 มี.ค. 58 | พระพุทธศาสนา
Photo : pinterest