ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ศรัทธาครูการต่อเรือ ความเชื่อบูชาตะเคียน  (อ่าน 925 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




ศรัทธาครูการต่อเรือ ความเชื่อบูชาตะเคียน

บันทึกชื่อ “ประวัติศาสตร์เมืองระยอง” เขียนและเรียบเรียงโดยเฉียว ราชบุรี กล่าวไว้ว่า... “อุตสาหกรรมต่อเรือสำเภาของราชอาณาจักรสยาม สันนิษฐานว่ามีมาแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เนื่องจากในปี พ.ศ.2329 มีการออกกฎหมายว่าด้วยค่า ธรรมเนียมต่อเรือและซ่อมแซม

ซึ่งเท่ากับการผลิต “เรือสำเภา” เพื่อการค้า มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายแล้ว”

ชิ้นส่วนเรือสำเภา เช่น สมอเรือ หางเสือ ไม้ค้ำ ไม้เนื้อแข็งต่างๆ ล้วนเป็นไม้ตะเคียนซึ่งมีมากสุดที่ระยองและถูกส่งไปจำหน่ายยังตลาดจีน จึงมีชาวจีนอพยพมากสุดในอุตสาหกรรมต่อเรือสำเภาจากไทยสมัยนั้น




อีกทั้งแหล่งช่างต่อเรือที่มีความสามารถจากเกาะไหหลำมีอยู่คนหนึ่งได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญสูงสุดคือ “เจ๊กหงี” เป็นช่างต่อเรือยุคบุกเบิกของระยองและอยู่นานจนได้สัญชาติเป็นไทย น่าสนใจว่าเจ๊กหงีไม่เคยมีครูสอน...นอกจากอาศัย สมองและความจำต่อเรือได้สวยงาม ประณีต แข็งแรงจนมีชื่อเสียงและฐานะ

แต่พอสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้น “เรือสำเภา”...ก็ถึงกาลต่อแล้วขายไม่ได้ จึงเดินทางไปศึกษาวิธีการต่อเรือประมงใส่เครื่องท้ายที่มหาชัย ซึ่งเริ่มนิยมกันมาก ใช้เวลาแค่ 2 วันจึงกลับระยองทำการดัดแปลงเรือสำเภาที่ขายไม่ออก เป็นเรือประมงติดเครื่องยนต์ลำแรกของจังหวัด...คราวนี้ชื่อเสียงเจ๊กหงีกลับมากระฉ่อนอีกครั้ง




จนปลายสงครามขุนศรีอุทัยเขตร (ขุนศรีป๊ง) คหบดีต้นสกุล “สัตย์อุดม” แห่งถนนยมจินดา สนับสนุนให้เจ๊กหงีตั้งอู่ต่อเรือประมงทะเลชื่อ “ศรีประดิษฐ์” ใช้ชีวิตเป็นต้นสกุล “นาวาประดิษฐ์” เรื่อยมา...กระทั่ง อู่ต่อเรือเข้าสู่ยุคหมดความหมายกลายเป็นคานซ่อมแซมส่วนใหญ่นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

กระนั้น...งานประมงก็ยังคงเป็นอาชีพหลักดั้งเดิมชาวระยอง ซึ่งมีพื้นที่ทะเลให้ทำกิน 1.5 ล้านไร่ จากจำนวนเรือประมงทุกชุมชนราว 3,000 ลำ ทั้งประมงน้ำลึกและพื้นบ้าน สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากทะเลได้ปี 2561 ถึง 1.39 พันล้านตัน คิดเป็นมูลค่าได้อย่างไม่น่าเชื่อจะมากมายมหาศาล 62 หมื่นล้านบาทต่อปีในปีเดียวกัน...เป็นผลให้กระจายสู่ตลาดการค้าเป็นวัตถุดิบสู่ร้านอาหารทั่วเมืองระยองขายให้แก่ผู้บริโภค

รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาเยือน 8.9 ล้านคนปีที่เพิ่งผ่านมา ทำรายได้โดยภาพรวม 45.19 ล้านบาท สถานการณ์เช่นนี้ วัชรพล สารสอน ผอ.ททท.ระยอง จึงกำหนดแผนจะชวนคนมาเที่ยวระยองเพิ่มขึ้น...ด้วยแพ็กเกจแม่เหล็กดึงดูด กินอาหารทะเลตามแหล่งชุมชน เพื่อกระจายรายได้ สู่ท้องถิ่นมากขึ้นจากภาคท่องเที่ยว

0 0 0 0




ตำนานเรือประมงระยองทายาทสกุล “นาวาประดิษฐ์” บอกกล่าวเล่าขานไว้อีกว่า สิ่งหนึ่ง...ซึ่งผู้ต่อเรือเล่าว่าทุกคนจะลืมไม่ได้ทุกครั้งก็คือ “ครูการต่อเรือ” ถ้าบุคคลใดละเว้นเหมือนจงใจไม่เคารพมักจะไม่สำเร็จ และย่อมเกิดอาเพศภัยแก่ตนเองหรือคนในครอบครัวได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ส่วนพิธีกรรมความเชื่อนั้นมีตำรากล่าวถึงกันมากมาย แต่ที่ละม้ายก็คือการตัดไม้ “ตะเคียน” จักต้องทำพิธีขออนุญาตเมื่อเสร็จก็ต้องทำขวัญ ตัวอย่างบทกลอน 1 ใน 3 บทที่ใช้...“โอ้ระเหย วันนี้จะเย็บบายศรีทั้งซ้ายขวา ล้วนแต่พวกนางฟ้า ลงมาทำขวัญ แสงเงินขึ้นเรืองรอง แสงทองก็ขึ้นมาเรียงรับ ผ้าม่านลายกนก ผ้ายกและเครือวัลย์ นางฟ้าบูชาขวัญ แต่เพียงเท่านั้นเจ้าพ่อนาฯ”




ความเชื่อศรัทธาการต่อเรือที่ว่านี้ยังคงสืบสานเป็นประเพณีไม่รู้คลายเพื่อความเป็นสิริมงคลในการประกอบอาชีพ ทั้งคติความเชื่อในพิธีกรรมและไสยศาสตร์ที่มองไม่เห็น แต่พิสูจน์ได้ในกลุ่มนักต่อเรือที่ก่อให้เกิดความปลอดภัยและทำมาค้าขายคล่องตัว เช่น แม้ แต่การจะซื้อเรือเพื่อทำประมงก็ต้องยังอาศัยดูวันที่สมควรซื้อ โดยยึดถือว่า...วันอาทิตย์ เรือนั้นมิดชิด ทั่วทุกประการ อย่าได้ซื้อไว้ จะมีภัยรำคาญ เร่าร้อนโศกศัลย์ฯ

วันจันทร์ เรือนั้นโฉมตรู เจ้าชู้เหลือหลาย ขี่ซื้อขี่ขายไปแห่งใดๆมีลาภทุกประการฯ...วันอังคาร เรือนั้นจะผลาญทรัพย์สินฉิบหายไปสิ้น มีข้าข้าหนี มีลูกลูกตาย แม้ชีวิตก็จะปลิดปลงฯ...วันพุธ เรือนั้นมุดคุดปลาย แร้งทำรังเป็นไส้งูเหลือมไฟไหม้กลางต้น ดูให้ชอบกล อย่าซื้อเอาไว้ฯ...วันพฤหัสบดี เรือนั้นสันทัด มีตาหลุบ หลู่ขี่ซื้อขี่ขาย กำไรพรั่งพรู เจ้าชู้เสน่หาฯ...วันศุกร์ ซื้อไว้หายทุกข์ มีสุขสำราญ ชั่วลูกชั่วหลานให้เร่งซื้อเอาฯ...วันเสาร์ หัวกุดท้ายเน่าเป็นสาธารณ์ ชอบแต่ขุนนางขี่ตามเสด็จ จะได้บำเหน็จประทาน เสื้อผ้าแพรพรรณอันงามโสภาฯ

0 0 0 0



นอกจากนี้แล้วยังได้มีการระบุถึงวันลงเรือใหม่ไว้ด้วยว่า...ถ้าเป็น เดือนอ้าย ไม่ดีตัวจะตาย จะเสียทรัพย์สิ่งของ เดือนยี่ จะมีสมบัติมาก อายุยืนยาว เดือนสาม ไฟจะไหม้วู่วาม ไม่ดีทุกประการ เดือนสี่ ทุกข์ที่มีก็จะหาย เที่ยวซื้อเที่ยวขายสวัสดีมีชัย เดือนห้า จะร้อนอกร้อนใจ โรคภัยเบียดเบียน เดือนหก ท่านว่าดีจะมีทรัพย์สินเงินทอง เดือนเจ็ด จะต้องตาย ทรัพย์สินจะฉิบหาย เดือนแปด จะเสียสิ่งของและสัตว์ 2 เท้า 4 เท้า เดือนเก้า ยศศักดิ์เจ้าจะยื่นยง ทรัพย์สินอันจำนงยืนยาว เดือนสิบ จะไข้เจ็บไม่ดี ครั้น เดือนสิบเอ็ด ทุกข์เท่าฟ้าจะมาถึงตน

และ...พอเดือนสิบสอง ทรัพย์สินเงินทองไหลมาเทมา จงเร่งอยู่เถิดประเสริฐนักแล

อีกสาระสำคัญที่ควรรู้ “หัวเรือ” คือที่สิงสถิตของสิริมงคลเปรียบได้ดัง “แม่ย่านาง” ของเรือทุกลำจะต้องมี ดังนั้นจะต้องไหว้บูชาเมื่อซ่อมเรือใหม่หรือจะออกเรือไปค้าไปขาย ให้กระทำคือ...“ปูผ้าขาวที่ดาดฟ้าใกล้แอกเรือ วางบายศรีปากชาม 1 สำรับ ไข่ต้ม 1 ฟอง ขนมต้มแดงต้มขาว กล้วย อ้อย มะพร้าวอ่อน แป้ง น้ำหอม” แล้วปักธูปเทียนไว้หัวเรือ ก่อนบริกรรมคาถา...“โอม มหารุกขัง สูปพยัญชนัง ปริภุนชติ มหาภัง ปิยังมานะ” (3 จบ)...เมื่อจบแล้วให้เจิมด้วยของหอม เวลาพรมน้ำมนต์หัวเรือต้องท่องคาถา...



“สีสังนาวัง อุปัชชะติฯ” เสร็จพรมที่ท้ายเรือด้วยคาถา “กายะรุกขัง สัพพะลาภัง อาคัตฉายะ อาคัตฉาหิฯ” และเมื่อเรือจะออกทะเลว่าคาถา “สมุทคำภีรา อะโจระภยัง คัดชะอะมุมหิ โอกาเสติ ตถาหิฯ” จากนั้นวักน้ำสาดหัวเรือ 3 หน จึงออกเรือไปอย่างมั่นใจจะปราศจากภัย

...พ้นจากหลักตอ หินผาใต้ท้องน้ำ ประสบโชค ซื้อง่ายขายคล่องดีนักแล

ทั้งหมดเหล่านี้คือคำสอนของนักต่อเรือระยองที่ตกทอดมาแต่โบร่ำโบราณ ก่อนจะนำหัวเรือออกทำประมงกลางทะเลอ่าวไทยด้วยเรือคู่ชีพ พร้อมเครื่องมือสื่อสารทันสมัย เรดาร์ และโซนาร์จับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล โดยไม่ลืมพกพาสิ่งบูชาไว้ในจิตใจด้วยความยึดมั่นเกินคำว่า “ปาฏิหาริย์” ซึ่งไม่ควร “ลบหลู่”

เพื่อสร้างงานสู่ความสำเร็จให้พ่อแม่พี่น้องชาวระยองสืบไปจากรุ่นสู่รุ่น...ทุกครั้งคราไป

“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.

                      รัก–ยม






Thank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/2627166
12 ก.พ. 2566 06:55 น. | รัก-ยม
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ