ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คำว่า ‘พงศาวดาร’ เป็นร่องรอยความเชื่อ เรื่องวงศ์วานของเทพเจ้า  (อ่าน 876 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




คำว่า ‘พงศาวดาร’ เป็นร่องรอยความเชื่อ เรื่องวงศ์วานของเทพเจ้า

คําว่า “พงศาวดาร” นั้น ประกอบขึ้นมาจากคำว่า “พงศ์” คือ เชื้อสาย หรือสกุล กับคำว่า “อวตาร” ซึ่งหมายถึง การแบ่งภาคลงมาเกิดของพระนารายณ์ (คำว่า อวตาร ใช้เฉพาะกับพระนารายณ์เท่านั้น ถ้าเป็นเทพเจ้าองค์อื่น พ่อพราหมณ์จะอ้างว่า เป็นการแบ่งภาคลงมาเกิด)

ดังนั้น หากพิจารณาจากการเลือกใช้ศัพท์ในการผูกคำขึ้นมาอย่างเคร่งครัดแล้ว “พงศาวดาร” จึงเป็นเรื่องของวงศ์ตระกูลที่สืบมาแต่อวตารของพระนารายณ์นะครับ ไม่ใช่วงศ์ของมนุษย์ธรรมดาทั่วไปที่ไหนเสียหน่อย

และถึงแม้ว่าเราจะได้ยินเรื่องกษัตริย์ของวงศ์ต่างๆ ในประวัติศาสตร์ของอุษาคเนย์นั้น ก็คือร่างจำแลงของพระนารายณ์, พระอิศวร หรือแม้กระทั่งพระพุทธเจ้า ที่จะกลับเข้าไปรวมเข้ากับบรรดาเทพเจ้าเหล่านี้หลังสิ้นพระชนม์

แต่ความเชื่ออย่างนี้กลับไม่มีในดินแดนต้นกำเนิดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ คือในอินเดีย และพื้นที่ปริมณฑล

ไม่ใช่ว่าชนชาวชมพูทวีปจะไม่มีความเชื่อในทำนองที่ว่า กษัตริย์ ก็คือเทพเจ้าองค์หนึ่ง หรือเมื่อสิ้นพระชนม์ลงไปแล้วจะไปเป็นเทวดาที่บนสวรรค์ไม่ได้


@@@@@@@

ในอินเดียย่อมมีความคิดทำนองนี้แน่ แต่แตกต่างจากอุษาคเนย์ในรายละเอียด เพราะในอินเดียนั้น กษัตริย์จะถูกนับเป็นเทพเจ้าได้ แต่ไม่ใช่พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม หรือใครองค์อื่นที่มีรายชื่ออยู่บนสรวงสวรรค์ของพ่อพราหมณ์เขา

นักบุญบางท่านอาจจะทำคุณงามความดีไว้มาก จนพวกพราหมณ์ต้องยกให้เป็นพระภาคหนึ่งของพระอิศวร

เช่น ภรตมุนี ที่เชื่อว่าเป็นผู้แต่งตำรานาฏยศาสตร์ (บางทีเรียก ภรตนาฏยศาสตร์) แต่นั่นเป็นเรื่องของการยกย่องให้เกียรติ เพราะท่ารำทั้ง 108 ท่าในตำราที่ว่านั้น กลายมาเป็นแม่บทในการร่ายรำตามขนบวัฒนธรรมอินเดีย

และเมื่องานมันสำคัญเสียขนาดนี้ จะเป็นผลงานของใครอื่นไปได้ นอกจากงานของเทพเจ้า โดยเฉพาะเทพเจ้าแห่งการระบำรำฟ้อน อย่างพระอิศวร ที่ได้ชื่อว่าเป็น พระศิวะนาฏราช คือพระศิวะ (องค์เดียวกับพระอิศวร) ผู้เป็นราชาแห่งการฟ้อนรำ

ภรตมุนี จึงได้รับเกียรติให้กลายเป็นพระอิศวรที่แบ่งภาคลงมายังโลก เพื่อสอนท่าร่ายรำทั้ง 108 ให้กับพวกมนุษย์

พระอิศวรจะแบ่งพระภาคลงมาเป็นใคร หรือพระนารายณ์เคยอวตารลงมาตอนไหน พ่อพราหมณ์เขาจดบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์ (โดยเฉพาะคัมภีร์ประเภทปุราณะซึ่งมีนับพันฉบับ) หมดแล้ว ดังนั้น ถ้าอยู่ๆ จะมีกษัตริย์องค์ไหนอ้างว่า ตนเองคือเทพเจ้าเหล่านี้ อวตารหรือแบ่งภาคลงมา ก็ย่อมจะเป็นเรื่องที่ชวนตะขิดตะขวงใจบรรดาพ่อพราหมณ์เขาอยู่มากทีเดียว

@@@@@@@

ในอินเดียนั้น การสร้างความเกี่ยวพันระหว่าง “กษัตริย์” กับ “เทพเจ้า” ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ เป็นไปในลักษณะของการอ้างสายสกุลมากกว่า ดังปรากฏมีความเชื่อเรื่อง “สุริยวงศ์” กับ “จันทรวงศ์” ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ โดยเฉพาะคัมภีร์ประเภทปุราณะ และมหากาพย์ ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

แต่ทั้งชื่อ และความศักดิ์สิทธิ์ ของทั้งสองราชวงศ์นี้ก็ปรากฏอยู่ในปกรณ์ของศาสนาในชมพูทวีป ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ หรือศาสนาเชนด้วย

“สุริยวงศ์” นั้น ก่อตั้งโดยพระเจ้าอิกษวากุ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ราชวงศ์อิกษวากุ”

ตามตำนานว่า หลังจากน้ำท่วมโลกแล้ว ลูกชายของพระมนู ไววัศวัต คืออิกษวากุ ได้ก่อตั้งราชวงศ์อิกษวากุขึ้น พร้อมกับสร้างเมืองที่แคว้นโกศล

แต่บางตำนานก็เล่าต่างออกไปว่า พระมนูได้สร้างเมือง “อโยธยา” ขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำสรยุ ซึ่งก็คือเมืองเดียวกับที่ “พระราม” ปกครองตามท้องเรื่องในรามายณะ และก็แน่นอนโดยว่า ความเชื่อว่าเมืองอโยธยาเป็นเมืองของฝ่าย “สุริยวงศ์” นั้น เป็นความเชื่อที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากกว่า

ส่วนชื่อของราชวงศ์นั้นได้มาจากการที่ปรัมปราคติของพราหมณ์ระบุว่า พระมนูนั้นเป็นบุตรชายของพระสุริยะ ดังนั้น จึงเรียกราชวงศ์นี้ว่า “สุริยวงศ์”


@@@@@@@

ในคัมภีร์พุทธวงศ์ ซึ่งก็คือหนังสือว่าด้วยวงศ์ของพระพุทธเจ้า และมหาวงศ์พงศาวดารลังกาทวีปนั้น ระบุว่า ศากยวงศ์ของพระพุทธเจ้า สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโอกากะ ซึ่งก็คือพระเจ้าอิกษวากุ ในชื่อเรียกแบบบาลี ดังนั้น ชาวพุทธจึงถือว่าพระพุทธเจ้าเกิดในสุริยวงศ์ด้วยเช่นกัน

ส่วน “จันทรวงศ์” นั้นเป็นวงศ์ที่มีปฐมกษัตริย์ชื่อ ปุรุราวัส ซึ่งเป็นบุตรของพุธ และมีพระโสมะ (พระจันทร์) เป็นปู่ ราชวงศ์นี้จึงได้ชื่อว่าเป็น “จันทรวงศ์” หรือ “โสมะวงศ์” คือ “วงศ์ของพระจันทร์”

ในคัมภีร์ฤคเวทระบุว่า ปุรุราวัสเป็นลูกของนางอิลา ส่วนในมหาภารตะอ้างว่า นางอิลาเป็นทั้งพ่อและแม่ของปุรุราวัส (ต้นเค้าของเรื่อง อิลราชคำฉันท์ ที่พระยาศรีสุนทรโวหาร [ผัน สาลักษณ์] แต่งขึ้นเมื่อครั้งยังมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสารประเสริฐ เมื่อ พ.ศ.2456 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6) บางครั้งจึงมีการเรียกราชวงศ์นี้ว่า “อิลาวงศ์”

ที่น่าสนใจก็คือหลายครั้งเลยทีเดียวที่จะมีการอ้างกันว่า นางอิลานั้นเป็นลูกของพระมนู นางในเทพปกรณ์คนนี้จึงเป็นพี่น้องกับอิกษวากุ ผู้ก่อตั้งสุริยวงศ์ด้วย เรียกได้ว่าทั้ง 2 ราชวงศ์นี้มีความเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกันอยู่



พระรามและพระกฤษณะ

ในมหากาพย์มหาภารตะระบุเอาไว้ว่า ปุรุราวัสมีหลานชายชื่อ ยยาติ ซึ่งมีลูกอีก 5 คนชื่อว่า ยทุ, ตุรวาสุ, ทรุหยุ, อนุ และปุรุ อันเป็นชื่อของชนเผ่าโบราณทั้ง 5 ที่ปรากฏในคัมภีร์พระเวท

ถึงผมจะไม่บอก แต่ก็คงจะสังเกตกันได้นะครับว่า ตำนานเรื่องสายจันทรวงศ์นี้ ถูกสร้างขึ้นเผื่อผูกโยงสร้างความเป็นเครือญาติระหว่างเผ่าต่างๆ ในอินเดีย ที่มาเก่าก่อนพุทธกาล ให้เป็นพวกเดียวกัน ในขณะเดียวกับที่สร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้กับสายตระกูลที่ถูกนับว่าเป็นพวกเดียวกัน ว่ามีเชื้อสายของเทพเจ้า พร้อมๆ กับที่บรรจงถีบผู้คนกลุ่มอื่นๆ ให้ต้อยต่ำกว่าพวกของตน

ที่สำคัญก็คือ ความใน “มหาภารตะ” นั้น ยังได้ระบุด้วยว่า “พระกฤษณะ” ซึ่งเป็นอวตารของพระนารายณ์เกิดในราชวงศ์ยทุวงศ์ จึงถือกันว่า พระกฤษณะเป็นสาย “จันทรวงศ์”

ดังนั้น มหากาพย์ที่สำคัญที่สุด 2 เรื่องของอินเดียคือ “รามายณะ” และ “มหาภารตะ” จึงเป็นเรื่องของ “สุริยวงศ์” และ “จันทรวงศ์” เพราะมี “พระราม” และ “พระกฤษณะ” ซึ่งก็คืออวตารของ “พระนารายณ์” ร่วมอยู่ในวงศ์นั้นตามลำดับด้วยเช่นกัน


@@@@@@@

บรรดากษัตริย์ในอินเดียโบราณจึงมักจะอ้างว่า ราชวงศ์ของตนเองสืบสายมาจากสุริยวงศ์ หรือไม่ก็จันทรวงศ์ เพื่ออ้างว่าสืบสายมาจากพระราม หรือไม่ก็พระกฤษณะ (น่าสังเกตว่าไม่ยักจะอ้างว่าสืบมาจากพระสุริยะ หรือพระจันทร์)

ที่สำคัญก็คือ ตามธรรมเนียมของอินเดียทั้ง “รามายณะ” และ “มหาภารตะ” นั้น จะถูกเรียกว่าเป็นคัมภีร์ประเภท “อิติหาสะ” คือ “พงศาวดาร” หมายความว่า บรรดาราชวงศ์ในอินเดียเมื่อครั้งกระโน้น ต่างก็สมาทานเอาเทพปกรณ์เรื่องสุริยวงศ์ และจันทรวงศ์ มาใช้เพื่อให้ตัวเองมีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติกับเทพเจ้าจริงๆ

(ส่วนที่มีการเรียกรามายณะ และมหาภารตะว่า “มหากาพย์” ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า “ร้อยกรองที่ยิ่งใหญ่” นั้นก็ไม่ผิด เพียงแต่เป็นเลือกใช้คำในความหมายที่ตรงกับคำว่า “epic” ในภาษาอังกฤษ)

แต่ผู้ที่อ้างตนว่าสืบสายมาจากพระราม หรือพระกฤษณะ ไม่ได้มีอยู่เฉพาะในอินเดีย และอาณาปริมณฑลทางวัฒนธรรมโดยรอบเท่านั้นนะครับ เพราะเมื่อกลุ่มวัฒนธรรมต่างๆ ในอุษาคเนย์ยุคหลัง พ.ศ.1000 ยอมรับเอาศาสนาพุทธ และพราหมณ์-ฮินดู เข้ามา ก็รับเอาแนวคิดเรื่องนี้เข้ามาพร้อมๆ กันด้วย

ดังปรากฏการกล่าวอ้างอยู่ในศิลาจารึกต่างๆ ของทั้งพวกขอม จาม และชวา

@@@@@@@

น่าสนใจด้วยว่า กษัตริย์ในโลกอุษาคเนย์ยุคโบราณเหล่านี้ หลายองค์เลยทีเดียว ที่เลือกใช้คำว่า “วรมัน” (ที่จริงแล้วสะกดว่า “วรรมัน” แต่ในโลกภาษาไทยปัจจุบันมักเขียนว่า วรมัน) ต่อท้ายที่พระนามของตนเอง เพราะเจ้าพ่อของภารตวิทยาในไทยคนปัจจุบันอย่าง อ.คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง นั้น เคยอธิบายให้ผมฟังว่า ในตำราทำพิธีของพราหมณ์ที่ชื่อ นิตยกรรมปธติ กำหนดไว้ว่า ในการประกอบพิธีกรรมนั้น แต่ละวรรณะจะต้องใช้นามสกุลต่างกัน โดยวรรณะกษัตริย์ให้ใช้นามสกุลว่า “วรมัน” หรือ “วรมา” นี่แหละ (ส่วนวรรณะอื่นคือ พราหมณ์ใช้ “ศรมัน/ศรมา” แพศย์ใช้ “คุปตะ” ส่วนศูทรใช้ “ทาส”)

อะไรที่เรียกว่า “ศิลาจารึก” นั้น ก็คือเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม เรื่องราวที่ถูกจดจารลงไปนั้นก็คือข้อความที่ต้องการสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

หมายความว่า กษัตริย์ในโลกอุษาคเนย์โบราณเหล่านี้ นอกจากที่จะอ้างว่าตนสืบเชื้อสายมาจากพระราม หรือพระกฤษณะแล้ว ในเชิงพิธีกรรมยังประกาศตนด้วยว่า สังกัดอยู่ในวรรณะกษัตริย์ ทั้งๆ ที่อุษาคเนย์นั้นไม่เคยนำเอาระบบวรรณะของอินเดียมาใช้จริงเสียด้วยซ้ำ

(อย่างไรก็ตาม ต่อมาชนชาวอุษาคเนย์ได้หลอมรวมเอาแนวคิดเกี่ยวกับเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในปรัมปราคติของพุทธ และพราหมณ์ เข้ากับแนวคิดเรื่อง “ขวัญ” ซึ่งเชื่อว่าเมื่อคนตาย ขวัญจะกลับไปรวมเข้ากับ “แถน” คือพลังงานของบรรพชน กษัตริย์ของอุษาคเนย์เมื่อสิ้นพระชนม์ลงจึงกลับไปรวมเข้ากับพระนารายณ์ พระอิศวร ได้อย่างไม่เคอะเขินเหมือนในอินเดีย)

คำว่า “พงศาวดาร” ซึ่งแปลตรงตัวว่า วงศ์ตระกูลซึ่งสืบสายมาจากอวตารของพระนารายณ์ (ในที่นี้คือ พระราม และพระกฤษณะ) จึงเป็นร่องรอยสำคัญของการรับเอาความเชื่อ เรื่องการเป็นวงศ์วานว่านเครือของเทพเจ้าจากอินเดียมาใช้ในอุษาคเนย์ในยุคเริ่มแรก เมื่อราว พ.ศ.1000


 

ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 กุมภาพันธ์ 2566
คอลัมน์ : On History
ผู้เขียน : ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2566
URL : https://www.matichonweekly.com/culture/article_649613
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ