ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิทยาศาสตร์ของความเศร้า : ใบหน้าของความโศกเศร้าในสมอง  (อ่าน 888 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



วิทยาศาสตร์ของความเศร้า : ใบหน้าของความโศกเศร้าในสมอง

Summary

    • Small Science เป็นคอลัมน์ชวนอ่านฆ่าเวลาของ โตมร ศุขปรีชา ว่าด้วยเกร็ดความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์เล็กๆ น้อยๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกสรรพสิ่งรอบตัวเรา จากสสาร สิ่งประดิษฐ์ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตในกิจวัตรประจำวันของมนุษย์

    • สำหรับสัปดาห์นี้ โตมรเล่าถึงวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลัง ‘ความเศร้า’ ที่เป็นอารมณ์หลักหนึ่งในหกอย่างของมนุษย์ ซึ่งคนที่เศร้านั้น จะมีระดับความสุภาพ (Politeness) เพิ่มขึ้น และยังไปลดแนวโน้มที่จะเป็นคน ‘ช่างตัดสิน’ คนอื่นๆ ตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรกอย่างมีนัยสำคัญ



Illustration: Nuttal-Thanatpohn Dejkunchorn

ผมชอบการขึ้นต้นบทความว่าด้วยความเศร้าของ เดบอราห์ โจแฮนสัน (Deborah Johanson) ใน cosmosmagazine.com มาก ในแง่หนึ่ง มันคือตัวอย่างการเขียนงานที่เชื่อมโยงเรื่องราวแห่งสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันคือความจริงอย่างยิ่งยวดของความเศร้า

เดบอราห์ เล่าถึงปี 2016 เมื่อ สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking) ยังมีชีวิตอยู่ และเขาไปบรรยายให้กับ Royal Institution ในลอนดอน

ใช่ - สตีเฟน ฮอว์กิง คือนักฟิสิกส์ผู้ล่วงรู้เรื่องราวของจักรวาลและกาลเวลา แล้วเขาจะมารู้อะไรเกี่ยวกับ ‘ความเศร้า’ ได้เล่า

ฮอว์กิง เล่าให้เราฟังถึงเรื่องของ ‘หลุมดำ’ ที่ทุกคนคิดว่ามันกลืนกินสรรพสิ่งแล้วกักทุกอย่างไว้ไม่ปล่อยให้มีอะไรหลุดรอดออกมาได้เลย แต่ที่จริงแล้ว ฮอว์กิงบอกว่ากระทั่งหลุมดำก็ไม่ใช่ ‘คุกแห่งนิรันดร’ ที่จะขังทุกอย่างเอาไว้ ไม่ปล่อยให้อะไรเล็ดลอดออกมาได้ ทว่าสำหรับเขา มันอาจคือ ‘ทางเข้า’ ไปสู่อีกเอกภพหนึ่งก็ได้

แล้วฮอว์กิงก็สรุปว่า ดังนั้น - หากคุณรู้สึกเศร้า หากคุณรู้สึกว่าตัวเองถูกกักอยู่ในหลุมดำ ก็จงอย่ายอมแพ้ เพราะยังมีทางออกอยู่เสมอ

@@@@@@@

ว่าแต่ว่า ‘ทางออก’ ของความเศร้าคืออะไรกันเล่า.?

พอล เอ็กแมน (Paul Ekman) ซึ่งเป็นนักวิชาการทางจิตวิทยาชาวอเมริกันที่บุกเบิกเรื่องราวของ ‘อารมณ์’ (Emotions) มาตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน เขาบอกว่าอารมณ์นั้นแบ่งออกได้มากมายหลายอย่าง จนสามารถสร้างขึ้นมาเป็น ‘กงล้ออารมณ์’ หรือ Emotion Wheel ได้ เพราะอารมณ์ก็เหมือนแม่สี มันจะมีอารมณ์หลักที่พอเอามาผสมๆ กันแล้วเกิดเป็นอารมณ์ย่อยๆ ได้อีกเพียบ

และอารมณ์เศร้า หรือ Sadness ก็คือ ‘อารมณ์หลัก’ หนึ่งในหกอย่างของมนุษย์

การเป็น ‘อารมณ์หลัก’ แปลว่ามันคืออารมณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกผู้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนในบางวัฒนธรรม ภาษา ชาติพันธุ์ หรือถิ่นที่อยู่ใดๆ ใครๆ ก็ ‘เศร้า’ ได้เหมือนกันทั้งโลก โดยความเศร้าที่ว่านี้ มันอาจไปทาบทับกับอารมณ์อื่นๆ แล้วให้เฉดของอารมณ์ที่อาจบางเบาในระดับหม่นๆ ไปจนถึงหนักหนานำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ จนบางทีเราก็ยากจะแยก ว่าอะไรกันแน่คือความเศร้าที่ว่า

    "หลายคนอาจมองว่า อารมณ์เศร้าเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ไม่รู้เหมือนกันว่าธรรมชาติติดตั้งอารมณ์เศร้าเข้ามาในความเป็นมนุษย์ทำไม แต่โควาลไม่เห็นด้วย เขาคิดว่าทุกอย่างเกิดจากกระบวนการวิวัฒนาการ และวิวัฒนาการจะไม่เก็บสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไว้ ดังนั้น ความเศร้าจะต้องมีอะไรที่เป็นประโยชน์แน่ๆ"

@@@@@@@

ปีเตอร์ โควาล (Peter Koval) นักวิจัยทางอารมณ์อีกคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น บอกว่าโดยปกติแล้ว ความเศร้าคือการประสบกับ ‘ความสูญเสีย’ ของใครบางคน หรืออะไรบางอย่าง โดยเป็นการสูญเสียที่เรารับรู้ว่า มันจะไม่อาจหวนคืนกลับมาได้ หรือเป็นการสูญเสียอย่างถาวร

มนุษย์เราเรียนรู้ถึง ‘การสูญเสีย’ ที่ว่านี้มาตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะกับกระบวนการ ‘แยกทาง’ กับพ่อแม่ที่เรียกว่า Child Separation ซึ่งในคนทั่วไปจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว คล้ายๆ การ ‘หย่านม’ ของลูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลาย การค่อยๆ แยกตัวออกของแม่ (หรือในบางกรณี สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นแม่ ก็ถึงขั้นทิ้งลูก หรือทำร้ายลูกครอกเดิมของตัวเองด้วยซ้ำ เพื่อไปมีลูกครอกใหม่) ทำให้เด็กได้เรียนรู้การสูญเสียเหล่านี้ทีละเล็กละน้อยมาตั้งแต่วัยเยาว์ เรียกว่าได้รับรู้ถึง Small Loss มาตั้งแต่เราเกิดมากันเลยทีเดียว

หลายคนอาจมองว่า อารมณ์เศร้าเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ไม่รู้เหมือนกันว่าธรรมชาติติดตั้งอารมณ์เศร้าเข้ามาในความเป็นมนุษย์ทำไม แต่โควาลไม่เห็นด้วย เขาคิดว่าทุกอย่างเกิดจากกระบวนการวิวัฒนาการ และวิวัฒนาการจะไม่เก็บสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไว้ ดังนั้น ความเศร้าจะต้องมีอะไรที่เป็นประโยชน์แน่ๆ

แต่ดูเหมือนจะมีการวิจัยหลายอย่างเกี่ยวกับความเศร้าที่ขัดแย้งกับความคิดของโควาล

ตัวอย่างเช่น มีการศึกษาหนึ่งของนักวิจัยร่วมจากเยล จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียซานดิเอโก และจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ถึง ‘อิทธิพล’ ของความเศร้าที่มีต่อการเรียนรู้ (The Influence of Sad Mood on Cognition) โดยให้ผู้เข้าร่วมโครงการลองนึกถึงการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของตัวเอง (ซึ่งส่วนที่คนเราจะ ‘เศร้า’ ได้มากที่สุด ไม่ใช่ความตายของคนที่เรารักหรอกนะครับ แต่มันคือการไม่สามารถ ‘แบ่งปัน’ ความทุกข์หรือความเจ็บปวดของคนที่เรารักมาอยู่ที่เราได้) แล้วทำให้คนเราอยู่ใน ‘สภาวะเศร้า’




การทดลองนี้พบว่า เวลาคนเราอยู่ในสภาวะเศร้า เราจะมีการรับรู้ที่ผิดแผกออกไป ตัวอย่างเช่น คนที่อยู่ในสภาวะเศร้าจะจดจำ ‘คำ’ ที่มีนัยเชิงลบได้มากกว่าคำนัยเชิงบวก และยังพบด้วยว่าคนที่อยู่ในสภาวะเศร้า จะทำกิจกรรมบางอย่างที่มีเป้าหมายในการแสดงออกทางสีหน้าได้แย่กว่าคนที่ไม่เศร้า

นอกจากนี้ ยังมีอีกการทดลองหนึ่ง ที่ทดลองโดยตรงว่าความเศร้ามีผลอย่างไรกับการแสดงออกทางสีหน้าของคนทั้งหนุ่มสาวและคนชรา ก็พบเช่นกันว่า คนที่เศร้า เวลาเห็นภาพของคนที่หน้าตาเศร้าๆ ก็จะรู้สึกว่าระดับความเศร้านั้นมีมากกว่าปกติ นั่นคือความเศร้าในตัวได้เปลี่ยน ‘วิธีรับรู้โลก’ หรือจะพูดว่าเป็น ‘วิธีมองโลก’ ของเราไปอย่างมาก

@@@@@@@

คำถามก็คือ แล้วความเศร้าไปทำอะไรกับสมองของเรา จนทำให้การรับรู้ของเราเปลี่ยนไป

มีการทดลองของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียในซานฟรานซิสโก ที่ทำกับผู้ป่วยโรคลมชัก (Epolepsy) ที่กำลังรอการผ่าตัดสมอง ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถติดตั้งอิเล็กโทรดตรวจจับกระแสไฟฟ้าในสมอง (Electroencephalography หรือ EEG) ได้โดยไม่รบกวนผู้ป่วยนัก จึงสามารถบันทึกกิจกรรมทางสมองของผู้ป่วยเหล่านี้ได้เป็นเวลา 7-10 วัน

นักวิทยาศาสตร์พบว่า อารมณ์ในแง่ลบทั้งหลาย (รวมทั้งความเศร้าด้วย) มีผลไปทำให้การสื่อสารระหว่าง ‘อะมิกดาลา’ (Amygdala) ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลอารมณ์ กับ ‘ฮิปโปแคมปัส’ (Hippocampus) ที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำ - ทำงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก

นั่นแสดงว่า ตัว ‘อารมณ์’ กับ ‘ความทรงจำ’ น่าจะทำงานประสานกันอย่างแนบแน่น โดยนักวิทยาศาสตร์คาดว่า เวลาคนเราอยู่ในอารมณ์เศร้า ความรู้สึกทางด้านลบจะไปกระตุ้นอะมิกดาลาเพื่อให้ฮิปโปแคมปัสรื้อฟื้นความรู้สึกเก่าๆ กลับมาอีก หรือในอีกทางหนึ่ง ความทรงจำที่เกิดขึ้น (เช่น เวลาเราฟังเพลงเศร้าที่มีเนื้อหากระตุ้นต่อมเศร้าในตัวเรา) ก็สามารถทำงานด้านกลับได้ด้วย คือไปกระตุ้นให้อะมิกดาลาทำงานจนเรารู้สึกเศร้าขึ้นมา

    "ความเศร้าไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัวเท่านั้น แต่มันคือเรื่องของการ ‘ส่งต่อ’ หรือถ่ายทอดต้นแบบของความเศร้าไปยังคนอื่นๆ เพื่อให้เราสามารถจัดการและปรับตัวให้เข้ากับความเศร้าได้ล่วงหน้าก่อนที่ความเศร้าจริงจะเกิดขึ้นกับตัวเรา"

ฟังดูเหมือนความเศร้าไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไร เศร้าแล้วก็จำความเศร้า จากนั้นก็เอาความทรงจำนั้นกลับมาตอกย้ำความเศร้าอีกทีด้วยวิธีต่างๆ

@@@@@@@

แต่โควาลบอกว่า นั่นเป็นความเศร้าที่เกิดขึ้น ‘ภายใน’ ของตัวเราเท่านั้น ถ้าเรามองให้กว้างออกมาอีก ความที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราจึงจำเป็นต้อง ‘แสดงออก’ ถึงความเศร้าต่างๆ ด้วย เช่น การแสดงออกทางสีหน้า รวมไปถึงการร้องไห้ด้วย

เขาบอกว่า ให้ลองคิดดูว่า ถ้าเราเดินไปเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังร้องไห้ กับกำลังหัวเราะ เราจะมีปฏิกิริยากับเด็กผู้หญิงคนนั้นแตกต่างกันอย่างไรไหม

ถ้ามองอย่างนี้ ความเศร้าจึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัวเท่านั้น แต่มันคือเรื่องของการ ‘ส่งต่อ’ หรือถ่ายทอดต้นแบบของความเศร้าไปยังคนอื่นๆ เพื่อให้เราสามารถจัดการและปรับตัวให้เข้ากับความเศร้าได้ล่วงหน้าก่อนที่ความเศร้าจริงจะเกิดขึ้นกับตัวเรา โควาลยังบอกด้วยว่า ความเศร้านั้นเกี่ยวพันกับ ‘การครุ่นคำนึง’ (Rumination) หรือการหวนย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งไม่เหมือนกับการย้ำคิดย้ำทำ แต่คือการคิดถึงการสูญเสียนั้นๆ ซ้ำๆ ซึ่งเกิดขึ้นโดยตัวเราไม่สามารถควบคุมได้ ประโยชน์ของมันก็คือทำให้เรามองเห็นสาเหตุของการสูญเสียเหล่านั้น ยอมรับมัน แล้วค่อยๆ ก้าวผ่านพร้อมกับวางแผนในอนาคตเพื่อป้องกันการสูญเสียแบบเดิมได้

ยังมีการทดลองที่บอกว่า คนที่เศร้านั้น จะมีระดับความสุภาพ (Politeness) เพิ่มขึ้น และยังไปลดแนวโน้มที่จะเป็นคน ‘ช่างตัดสิน’ คนอื่นๆ ตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรกอย่างมีนัยสำคัญด้วย เป็นไปได้ว่าความเศร้าจะทำให้เราตระหนักได้ว่า คนอื่นๆ ก็อาจจะเศร้าเหมือนที่เราเป็นเช่นเดียวกัน

ที่จริงแล้ว ความเศร้าเป็นอารมณ์ซับซ้อน และเราจะก้าวข้ามความเศร้าไปได้ ก็ด้วยการทำให้ความเศร้านั้นเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ที่กำลังจะต้องพบเผชิญความเศร้าแบบเดียวกันกับเรา

หลุมดำไม่ได้มีเจตจำนงที่จะกักขังใครไว้ตลอดกาลหรอก

คำถามก็คือ - เราจะร่วมกันมองเห็นทางออกนั้นได้อย่างไรก็เท่านั้นเอง






Thank to : https://plus.thairath.co.th/topic/spark/102797
Thairath Plus › Spark › Lifestyle | 17 ก.พ. 66 | creator : โตมร ศุขปรีชา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 24, 2023, 06:11:43 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ