ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิทยาศาสตร์ของน้ำตา : ทำไมเราจึงร้องไห้  (อ่าน 891 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
วิทยาศาสตร์ของน้ำตา : ทำไมเราจึงร้องไห้
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2023, 06:04:26 am »
0




วิทยาศาสตร์ของน้ำตา : ทำไมเราจึงร้องไห้

Summary

    Small Science เป็นคอลัมน์ชวนอ่านฆ่าเวลาของ โตมร ศุขปรีชา ว่าด้วยเกร็ดความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์เล็กๆ น้อยๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกสรรพสิ่งรอบตัวเรา จากสสาร สิ่งประดิษฐ์ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตในกิจวัตรประจำวันของมนุษย์

    สำหรับสัปดาห์นี้ โตมรเล่าถึงวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังหยาดน้ำตา และพฤติกรรมการร้องไห้ของมนุษย์เรา ที่ไม่จำเป็นต้องเกิดจากความเศร้าเสียใจเท่านั้น ทั้งยังเป็นตัวการสำคัญที่พัฒนาให้มนุษย์มีทักษะทางสังคมที่เรียกว่า Empathy ขึ้นมา ซึ่งหาได้ยากในสัตว์อื่นๆ




ปราบดา หยุ่น เคยเขียนไว้ที่ปกหลังของหนังสือเล่มหนึ่งของเขาว่า - มนุษย์ไม่เคยหยุดร้องไห้

มันเป็นประโยคที่เป็นจริงเหลือเกินสำหรับการมีชีวิตอยู่ เพราะอย่างน้อยที่สุด เมื่อเรามีชีวิต ก็ย่อมต้องมีการจากพราก ไม่ว่าจะจากเป็น หรือจากตาย และบ่อยครั้งทีเดียว ที่การจากพรากนั้นมักเป็นต้นเหตุของน้ำตา

แต่กระนั้น มนุษย์ก็ไม่ได้ร้องไห้เพราะเศร้าเสียใจเพียงอย่างเดียว เราร้องไห้ด้วยเหตุผลอื่นๆ อีกนับร้อยพันอย่าง บางคนร้องไห้เพราะน้อยเนื้อต่ำใจ บางคนร้องไห้เพราะโกรธ บางคนร้องไห้เพราะไม่ได้ดั่งใจ บางคนร้องไห้เพราะริษยา และบางคนก็ร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจ

น้ำตาจึงเป็น ‘เครื่องหมาย’ ของอะไรต่อมิอะไรได้หลายอย่างมาก

ว่าแต่ว่า – คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมมนุษย์ต้องมีน้ำตา ทำไมเราจึงต้องร้องไห้ และเอาเข้าจริงแล้ว ‘น้ำตา’ มันคืออะไรกันแน่.?

คุณเคยสงสัยไหมว่า ในแต่ละปี มนุษย์เราต้อง ‘เสียน้ำตา’ มากแค่ไหน.?

ไม่หรอก ฉันไม่มีวันเสียน้ำตาให้ใคร, หลายคนอาจจะบอกอย่างนั้น แต่คุณรู้ไหมว่า ต่อให้เป็นคนที่ไม่ยอมแสดงอารมณ์ความรู้สึก แลดูแข็งแกร่งอย่างเหลือเกิน ก็ยังผลิตน้ำตาออกมา โดยตัวเลขจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์อาจทำให้คุณต้องประหลาดใจ เพราะมนุษย์เรา ‘ผลิตน้ำตา’ ออกมาเฉลี่ยมากถึงปีละ 15-30 แกลลอน หรือราวๆ 57-114 ลิตร

นี่ไม่ใช่ปริมาณน้ำตาที่เล็กน้อยเลย.!

@@@@@@@

น้ำตามีความสำคัญต่อสุขภาพของดวงตาอย่างมาก แถมยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารทางอารมณ์และทางสังคมด้วย ซึ่งว่ากันว่า ‘ฟังก์ชัน’ ในการร้องไห้เพื่อสื่อสารนี้ แทบไม่พบในสัตว์อื่นใดนอกจากมนุษย์ ดังนั้น การร้องไห้ของมนุษย์จึงสัมพันธ์กับกระบวนการวิวัฒนาการอย่างลึกซึ้งมาก

หลายคนอาจเถียงว่า ไม่จริงหรอก แมว สุนัข หรือวัวควาย บ่อยครั้งเราก็เห็นมันร้องไห้ โดยเฉพาะเมื่อได้รับความเจ็บปวด แต่นั่นแหละครับ คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พยายามจะบอก สัตว์จะหลั่งน้ำตาเมื่อมันเจ็บ แต่ไม่ได้ใช้น้ำตาเพื่อแสดง ‘อารมณ์’ ที่หลากหลายเหมือนกับมนุษย์ นั่นทำให้เกิดทฤษฎีหนึ่งขึ้นมา เป็นทฤษฎีทางวิวัฒนาการที่เสนอว่า การร้องไห้เป็นการแสดงออกของ ‘สัญญาณ’ (Signal) แบบหนึ่ง

น้ำตาคือการปล่อยให้ความรู้สึกภายในของเราเอ่อทะลักออกมา แต่คนที่จะเห็นน้ำตาของเราได้ง่ายที่สุด ไม่ใช่ศัตรูที่อยู่ห่างไกล ทว่าเป็นคนที่อยู่ใน ‘เผ่า’ เดียวกันกับเรา ซึ่งจะสามารถรับรู้น้ำตาของเราได้ และเข้ามาช่วยเหลือเรา น้ำตายังเป็นการ ‘เตือน’ ถึงภัยคุกคามบางอย่างด้วย ดังนั้น การใส่ใจกับน้ำตาของคนที่อยู่ใกล้ชิด จึงเป็นกลไกเกื้อหนุนคนในเผ่าหรือฝูงเดียวกัน ทำให้เผ่าหรือฝูงนั้นๆ รอดชีวิตต่อไปได้

    "การที่มีน้ำตาปรากฏอยู่นั้น มันไปเพิ่มระดับความสัมพันธ์ทางอารมณ์ให้สูงขึ้นอย่างมาก น้ำตาจึงมีหน้าที่ ‘จำกัดกรอบ’ ของอารมณ์ที่หลากหลาย ทำให้เรารับรู้ได้ว่าความรู้สึกของผู้ที่กำลังร้องไห้อยู่นั้นมันคืออะไร ถ้าไม่มีน้ำตา เราอาจจะ ‘ตีความ’ สีหน้านั้นผิดไปได้มหาศาล"

@@@@@@@

รูดอล์ฟ คอร์นีเลียส (Rudolph Cornelius) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาในมหาวิทยาลัยวาสซาร์ (Vassar College) เคยทำการทดลองเพื่อดูว่าน้ำตานั้น มี ‘ข้อมูล’ อะไรอยู่บ้าง แนวคิดของการทดลองนี้ก็คือ เพื่อหา Signal Value หรือคุณค่าในการส่งสัญญาณของน้ำตา โดยเขานำภาพคนที่กำลังมีน้ำตา ไม่ว่าจะแค่คลอตาจนรื้นชื้นแฉะ หรือที่ปริ่มตาจนใกล้หยดแหมะ รวมไปถึงคนที่น้ำตาร่วงลงบนพวงแก้มมา แล้วจากนั้นก็ทำสำเนาภาพนั้น ก่อนจะ ‘ลบ’ น้ำตาออกจากภาพ

เรื่องน่าสนใจก็คือ เมื่อไม่มีน้ำตา คราบน้ำตา หรือดวงตาที่รื้นชื้นแล้ว ปรากฏว่าภาพของคนแต่ละคนที่เป็นภาพเดิม (แค่ไม่มีน้ำตาเท่านั้น) กลับ ‘ส่งสัญญาณ’ ทางสังคมออกมาคนละแบบ แม้เป็นภาพเดียวกัน แต่ภาพที่มีน้ำตาแสดงถึงความอ่อนไหว โศกเศร้า ชวนให้ผู้พบเห็นเข้าไปปลอบโยน แต่ภาพที่ปราศจากน้ำตาสื่อความหมายได้หลายอย่าง มีแม้กระทั่งโกรธ หยิ่ง เคียดแค้น หรือหัวเราะเริงร่าด้วยซ้ำ

คอร์นีเลียส บอกว่า การที่มีน้ำตาปรากฏอยู่นั้น มันไปเพิ่มระดับความสัมพันธ์ทางอารมณ์ให้สูงขึ้นอย่างมาก น้ำตาจึงมีหน้าที่ ‘จำกัดกรอบ’ ของอารมณ์ที่หลากหลาย ทำให้เรารับรู้ได้ว่าความรู้สึกของผู้ที่กำลังร้องไห้อยู่นั้นมันคืออะไร ถ้าไม่มีน้ำตา เราอาจจะ ‘ตีความ’ สีหน้านั้นผิดไปได้มหาศาล ดังนั้น น้ำตาจึงเป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ ‘สมอง’ ของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันเป็นฝูง ต้องรับส่งและตีความข้อมูล จึงน่าจะมีผลในทางวิวัฒนาการของสมองด้วย และเป็นตัวการสำคัญที่พัฒนาให้มนุษย์มีทักษะทางสังคมที่เรียกว่า Empathy ขึ้นมา ซึ่งหาได้ยากในสัตว์อื่นๆ




ที่จริงแล้ว น้ำตาเป็นสิ่งจำเป็นต่อดวงตามาก อย่างแรกสุด มันทำให้ดวงตาฉ่ำชื้นอยู่เสมอ เป็นการป้องกันดวงตาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันฝุ่น และสิ่งระคายเคืองอื่นๆ

ส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของดวงตา ก็คือ กระจกตา (Cornea) ซึ่งต่อให้เป็นคนที่บอกว่าตัวเองไม่ร้องไห้เลย ก็ยังต้องมี ‘น้ำตา’ คอยมาเคลือบกระจกตาเป็นชั้นฟิล์มบางๆ อยู่ โดยเจ้าชั้นฟิล์มที่ว่านี้ มีอยู่ด้วยกันสามชั้น คือ Mucus หรือชั้นที่เป็นเยื่อเมือก อยู่ด้านในสุด ผลิตขึ้นโดยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า Conjunctiva มันจะรักษาดวงตาให้ชื้นอยู่เสมอ เรียกได้ว่าชั้นที่เป็นเยื่อเมือกคือชั้น ‘ฐาน’ ที่คอยรองรับชั้นถัดมา คือชั้นของน้ำ ชั้นนี้ผลิตโดย ‘ต่อมน้ำตา’ (Lacrimal Gland) ซึ่งจะคอยทำความสะอาดดวงตา และถัดมาคือชั้นสุดท้าย เป็นชั้นนอกสุด จะเป็นชั้นของไขมันและน้ำมัน (Lipid) ที่ผลิตจากต่อมไขมันที่เปลือกตา (Meibomian Gland) คอยเป็นเกราะป้องกันน้ำในดวงตาอีกทีหนึ่ง

น้ำตาที่ว่ามานี้ คือน้ำตาที่เป็นเหมือน ‘ชั้นเคลือบ’ เรียกว่า ‘น้ำตาพื้นฐาน’ หรือ Basal Tear ยังไม่ใช่น้ำตาในความหมายของสายน้ำที่ร่วงเผาะๆ ลงมาจากดวงตาอย่างที่เราเรียกกันว่าการ ‘ร้องไห้’ แต่น้ำตาพื้นฐานที่ว่านี้ ก็ยังสามารถจะหลั่งไหลออกมาได้เหมือนกัน ในกรณีที่มีฝุ่นหรือเศษอะไรต่างๆ เข้าตา น้ำตาประเภทนี้จึงเป็น Protective Tears หรือน้ำตาที่ช่วยป้องกันตัว มันจึงอาจหลั่งออกมาแม้คุณไม่รู้ตัวได้

    "มีการศึกษาพบด้วยว่า การร้องไห้จะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งเอนดอร์ฟิน (Endorphins) ออกมา นี่คือฮอร์โมนที่เรารู้จักกันว่าเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข แม้ไม่ได้แปลว่าร้องไห้แล้วจะมีความสุขได้ในทันที แต่ก็จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น"

@@@@@@@

แต่น้ำตาไม่ได้มีแบบเดียว น้ำตาแบบที่สองที่หลายคนชอบนึกถึง ก็คือ ‘น้ำตาแห่งอารมณ์’ หรือ Emotional Tears ซึ่งหลายคนอาจคิดว่า น้ำตาแบบนี้จะไหลออกมาเวลา ‘เกิดอารมณ์ความรู้สึก’ บางอย่าง แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่นะครับ น้ำตาแห่งอารมณ์นั้น เกิดขึ้นเพราะเรา ‘พยายาม’ เอาชนะ (Overcome) หรือควบคุมอารมณ์เหล่านั้นต่างหาก

นักวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำตาแห่งอารมณ์มีสารเคมีแห่งความเครียดเจือปนอยู่ด้วย ซึ่งตีความได้อีกอย่างหนึ่งว่า น้ำตาแห่งอารมณ์คือการ ‘ปลดปล่อย’ หรือผ่อนคลายความเครียดออกมา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลายคนรู้สึกว่า พอได้ร้องไห้แล้วดีขึ้น ดีกว่าเกิดอาการ ‘ร้องไห้ไม่ออก’ มาก

มีการศึกษาพบด้วยว่า การร้องไห้จะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งเอนดอร์ฟิน (Endorphins) ออกมา นี่คือฮอร์โมนที่เรารู้จักกันว่าเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข แม้ไม่ได้แปลว่าร้องไห้แล้วจะมีความสุขได้ในทันที แต่ก็จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น

น้ำตาแบบสุดท้ายเป็นน้ำตาเชิงกลไก น้ำตาแบบนี้ไม่ใช่น้ำตาพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว และหลั่งเพิ่มออกมาตอบสนองต่อฝุ่น หรือสิ่งระคายเคือง แต่เป็นการไหลหลั่งของน้ำตาจำนวนมากที่มีความ ‘ใส’ กว่า ตัวอย่างเช่นเวลาแมลงบินเข้าตา บางครั้งเราก็จะน้ำตาไหลออกมาเลย เรียกน้ำตาแบบนี้ว่า ‘น้ำตารีเฟล็กซ์’ (Reflex Tears)

จะเห็นได้ว่า น้ำตานั้นซับซ้อนมาก นักวิทยาศาสตร์บางคนถึงกับบอกว่า น้ำตานั้นช่วยเผยความจริงภายในออกมาให้คนอื่นเห็น และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ทำให้มนุษย์เราต้องมีวิวัฒนาการอันซับซ้อนเพื่อที่จะ ‘ตีความ’ น้ำตาและการร้องไห้ของผู้อื่น

คำพูดที่ว่า - มนุษย์ไม่เคยหยุดร้องไห้, จึงไม่น่าจะเกินจริงเลย






Thank to : https://plus.thairath.co.th/topic/spark/102715
Thairath Plus › Spark › Science & Tech | 27 ม.ค. 66 | creator : โตมร ศุขปรีชา
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ