ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กรมศิลปากร คุมงานบูรณะ องค์พระ หลวงพ่อโต พบรอยร้าวหลายจุด เร่งซ่อมแซมหวั่นพัง  (อ่าน 914 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



กรมศิลปากร คุมงานบูรณะ องค์พระ หลวงพ่อโต พบรอยร้าวหลายจุด เร่งซ่อมแซมหวั่นพัง


สุพรรณบุรี หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ พุทธศาสนิกชนเห็นองค์พระชำรุด พบรอยร้าวหลายจุด หวั่นพัง กรมศิลปากร เร่งคุมบูรณะซ่อมแซม

1 มี.ค. 66 – ที่วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร วัดเก่าแก่ ตั้งอยู่ที่ถนนมาลัยแมน ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นวัดที่ประชาชนชาวจังหวัดสุพรรณบุรี และประชาชนทั่วประเทศ ให้ความเคารพนับถือ เดินทางมากราบไหว้ขอพร ห่มผ้าหลวงพ่อโตอย่างไม่ขาดสาย กระทั่ง ประชาชนพบเห็นร่องรอยของการชำรุดขององค์พระ ที่มีรอยร้าวหลายจุด ทำให้หวั่นเกิดรอยร้าวมากขึ้นกว่านี้และจะซ่อมแซมไม่ได้ เพราะมีการบูรณะซ่อมแซมมาหลายครั้งแล้ว

ด้าน พระครูโสภณวีรานุวัตร ผศ.ดร.ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร รองเจ้าคณะอำเภอเมืองสุพรรณบุรี กล่าวว่า ประวัติชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า วัดป่า ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตปางป่าเลไลยก์ เดิมหลวงพ่อโตเป็นพระพุทธรูปปางประทานปฐมเทศนา เช่นเดียวกับพระพุทธรูปศิลาขาว หรือหลวงพ่อประทานพร วัดพระปฐมเจดีย์ ต่อมาได้มีการบูรณะและทำเป็นปางป่าเลไลยก์ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

พระครูโสภณวีรานุวัตร กล่าวต่อว่า เมื่อปี 1724 มีการบูรณะครั้งแรกโดยพระเจ้ากาแต จากนั้นได้ตั้งเมืองชื่อว่า สองพันบุรี โดยครั้งนั้นมีการบวชพระ 2,000 รูป ต่อมาช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ได้มีการบูรณะเป็นครั้งที่ 2 ยุครัตนโกสินทร์ก็มีการบูรณะในช่วงรัชกาลที่ 4 ยุคของรัชการที่ 9 เมื่อปี 2539 ได้มีการบูรณะครั้งใหญ่ พอมาปี 2540 – 2542 มีการปิดทองคำขององค์หลวงพ่อโต จนปัจจุบัน

สำหรับสาเหตุของการบูรณะในครั้งนี้ เนื่องจากมีประชาชนเห็นรอยแตกร้าวในบางจุด ทางวัดไม่สามารถรู้ได้ว่า ชำรุดแค่ไหน กรมศิลปากรจึงแนะนำว่า ต้องรอกทองออกก่อน เพื่อการบูรณะ หลังจากบูรณะก็จำเป็นที่จะต้องปิดทองคำใหม่อีกครั้ง การรอกทองออกในครั้งนี้ใช้เวลา 14 วัน จากนั้นคือการซ่อมองค์พระที่มีร้อยร้าว เช่น แตกร้าวตรงรักแร้ ตามจีวร นิ้วพระหัตแตก มีการกะเทาะทั้งองค์หนักบ้างน้อยบ้าง ช่วงรักแร้ คือเห็นด้วยตาเปล่า ทางกรมศิลปากรจะเข้ามาควบคุมซ่อมแซมให้ทั้งหมด ส่วนบริเวณวิหาร ซึ่งเป็นไม้ที่มีการผุกร่อน ก็จะมีการบูรณะ เช่นเดียวกับวิหารหลวงพ่อดำที่อยู่ด้านหลังของหลวงพ่อโต ก็จะบูรณะเหมือนกัน







สำหรับ ค่าใช้จ่ายในครั้งนี้ มีผู้ใจบุญมีจิตศรัทธาได้มาร่วมทำบุญกับทางวัด หรือ ผู้ใดอยากร่วมทำบุญปิดทององค์หลวงพ่อโตในครั้งนี้ ก็มาร่วมบุญกันได้ที่วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ได้ทุกวัน

กล่าวกันเสมอมาว่า ถ้ามา เมืองสุพรรณบุรี แล้วไม่ได้แวะมากราบไหว้หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ ก็เหมือนมาไม่ถึงเมืองสุพรรณ ด้วยที่วัดป่าเลไลยก์เป็นวัดสำคัญ คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัด วัดป่าเลไลยก์วรวิหารเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ระดับวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่หน้าบันของวิหารวัดป่าเลไลยก์มีเครื่องหมายพระมหามกุฎอยู่ระหว่างฉัตรคู่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จธุดงค์มาพบสมัยยังผนวชอยู่ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วจึงทรงมาปฏิสังขรณ์ นอกจากนั้นบริเวณด้านหลังอุโบสถที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต ยังมี ศาลาเล็กๆ ที่ประดิษฐานหลวงพ่อดำ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในพื้นที่อีกด้วย

วัดป่าเลไลยก์วรวิหารสร้างในสมัยที่เมืองสุพรรณบุรีรุ่งเรือง ในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้ากาแต ทรงให้มอญน้อยมาบูรณะวัดป่าเลไลยก์ ภายหลัง พ.ศ. 1724 ประชาชนมานมัสการ “หลวงพ่อโต” ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารสูงเด่นเห็นแต่ไกล เป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ศิลปะสมัยอู่ทองสุพรรณภูมิ องค์พระสร้างด้วยการก่ออิฐถือปูน ลงรักดำและปิดด้วยทองคำบริสุทธิ์ องค์พระสูง 23.46 เมตร รอบองค์ 11.20 เมตร ภายในองค์พระพุทธรูปนี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากพระมหาเถรไลยลาย จำนวน 36 องค์ ที่ได้มาจากพระมหาเถรไลยลาย

วัดป่าเลไลยก์ มีความเกี่ยวข้องกับวรรณคดีอันลือชื่อของไทย คือ เสภาขุนช้างขุนแผน นิราศเมืองสุพรรณของสุนทรภู่ ปัจจุบัน วัดป่าเลไลยก์ มีสถานะเป็น พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร




















thank to : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7536660
1 มี.ค. 2566 - 11:59 น.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ