"ภูมิปัญญา" ในการดำเนินชีวิต และ การประกอบอาชีพการงาน
ชีวิตมนุษย์กว่าจะผ่านไปในแต่ละช่วงวัย ต้องเผชิญกับภาวะความเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา กฎแห่งความผันแปรนี้ ไม่มีใครมาควบคุมห้ามไว้ได้เลย บ้างก็เรียกกฎนี้ว่า กฎแห่งเหตุผล บ้างก็เรียกว่ากฎแห่งความเปลี่ยนแปลง พระพุทธธรรมเรียกว่า กฎไตรลักษณ์ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นผลมาจากเหตุปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบมากมาย
บางครั้ง บางคน ปรับตัวไม่ทัน เกิดภาวะสับสนในชีวิตอย่างรุนแรง เกิดอาการตระหนก ความทุกข์อย่างสาหัสในชีวิตของคนแต่ละคน มีผลต่อความเป็นความตายของชีวิตมนุษย์เหลือจะพรรณนาในหลาย ๆ กรณี แพทย์และการรักษาที่ทันสมัยที่สุดยังมิอาจเยียวยาบุคคลที่วิปริตไปเพราะความทุกข์ได้ การป้องกันอันตรายจากความพลิกผันของชีวิต จึงเป็นสิ่งจำเป็นแก่ทุก ๆ คนที่ตั้งมั่นอยู่บนความไม่ประมาท
พระไตรปิฎกเป็นแหล่งภูมิปัญญาสำหรับจิตวิญญาณที่รู้เท่าทันชีวิตครั้งหนึ่งขณะที่พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ได้ทรงปรารภพ่อค้ามีทรัพย์มาก ผู้เฝ้าคิดแต่จะทำมาหากิน โดยไม่รู้อันตรายแห่งชีวิตของตน
ซึ่งท่านพระอานนท์ก็ได้ปรารภว่า เป็นเรื่องยากที่คนเราจะล่วงรู้ว่า อันตราย ความตายของชีวิตจะมาเยือนเมื่อไร เว้นแต่คนคนนั้นจะเป็นผู้ไม่ประมาท คนเขลามักจะคิดว่า "เราจักอยู่ตลอดเวลานั้นเวลานี้" "คนเขลาย่อมไม่รู้อันตรายแห่งชีวิต" (จากมรรควรรควรรณนา เรื่องพ่อค้าผู้มีทรัพย์มาก)
@@@@@@@
สิ่งที่จะช่วยให้คนเราเผชิญกับปัญหาชีวิตได้เป็นอย่างดี คือ ความสงบมั่นคงแจ่มใสภายในจิตใจในมลสูตร ว่าด้วยมลทินภายใน ๓ ประการที่เปรียบเสมือนศัตรูภายในตนเอง หรือข้าศึกภายใน ๓ ประการ คือ
อกุศลกรรมบถ ๓ คือ
โลภะ ๑
โทสะ ๑
โมหะ ๑
ที่สามารถเป็นเพชฌฆาตทำให้ชีวิตล่มจมได้ ดังกล่าวไว้ว่า
"โลภะก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ โลภะทำให้จิตกำเริบ โลภะเป็นภัยที่เกิดภายในคน(ส่วนมาก)ไม่รู้จักภัยนั้น คนโลภไม่รู้จักผล คนโลภไม่รู้จักเหตุ ความโลภครอบงำนรชนเมื่อใด ความมืดบอดย่อมมีเมื่อนั้น ส่วนผู้ใดละโลภะได้ ไม่ทะยานอยากในอารมณ์ที่เป็นเหตุแห่งความโลภ โลภะจะถูกอริยมรรคละได้เด็ดขาดไปจากผู้นั้ เหมือนหยาดน้ำกลิ้งตกจากใบบัว ฉะนั้น
โทสะก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ โทสะทำให้จิตกำเริบ โทสะเป็นภัยที่เกิดภายในคน(ส่วนมาก) ไม่รู้จักภัยนั้น คนโกรธไม่รู้จักผล คนโกรธไม่รู้จักเหตุ ความโกรธครอบงำนรชนเมื่อใด ความมืดบอดย่อมมีเมื่อนั้น ส่วนผู้ใดละโทสะได้ ไม่ขัดเคืองในอารมณ์ที่เป็นเหตุแห่งความขัดเคือง โทสะจะถูกอริยมรรคละได้เด็ดขาดไปจากผู้นั้น
เหมือนผลตาลสุกหลุดจากขั้ว ฉะนั้น
โมหะก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ โมหะทำจิตให้กำเริบ โมหะเป็นภัยที่เกิดภายใน คน(ส่วนมาก)ไม่รู้จักภัยนั้น คนหลงไม่รู้จักผล คนหลงไม่รู้จักเหตุ ความหลงครอบงำนรชนเมื่อใด ความมืดบอดย่อมมีเมื่อนั้น ส่วนผู้ใดละโมหะได้ ไม่ลุ่มหลงในอารมณ์ที่เป็นเหตุแห่งความหลง ผู้นั้นย่อมกำจัดโมหะทั้งหมดได้เด็ดขาด เหมือนดวงอาทิตย์กำจัดความมืด ฉะนั้น" (ขุ.อิติ. (แปล) ๘๘/๔๕๖-๔๕๘)
ในการดำรงชีวิตที่เกี่ยวกับบุคคลอื่น มีบางครั้งที่การกระทำของเราไปกระทบในทางไม่เป็นสุขแก่เขา หรือเขากระทำต่อเราทำให้เราโกรธ อาการโกรธ เปรียบได้กับไฟที่เผาผลาญในใจของผู้โกรธ ต่อมาจะเกิดการผูกใจเจ็บต้องแก้แค้นจองเวรกันและกันไม่มีที่สิ้นสุด เรียกว่า "การจองเวรกัน"
ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า "การจองเวรกันให้เกิดทุกข์เหมือนเรื่องแม่ไก่ผูกอาฆาตนางกุมาริกา สาเหตุคือ นางแม่ไก่ ตกไข่แล้วถูกนางกุมาริกานำเอาไข่ไปเคี้ยวกิน ก็ให้รู้สึกเจ็บใจอาฆาตว่า ถ้าตายไปจะไปเกิดใหม่แล้วมากินทารกของนางทาริกาบ้าง ต่อมานางกุมาริกา ตายไปแล้วเกิดเป็น แม่ไก่ ส่วนนางแม่ไก่ตายไปแล้วเกิดใหม่เป็น นางแมว พอนางกุมาริกาที่เกิดเป็นแม่ไก่ตกไข่ นางแมวนั้นก็เอาไข่ไปเคี้ยวกิน แล้วต่างฝ่ายต่างก็อาฆาตมุ่งร้ายต่อกันไปอีกหลายชาติ เป็นที่น่าอนาถใจ
ในเรื่องท่านเองนี้พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า
"ผู้ใดปรารถนาสุขเพื่อตน ด้วยการก่อทุกข์ให้คนอื่น ผู้นั้นต้องเกี่ยวพันกับเวรไม่พ้นจากเวรไปได้"
(ขุ.ธ. (แปล) ๒๕/๒๙๑/๑๒๓)
ในการดำเนินชีวิตหลาย ๆ ครั้งที่เราต้องเลือกตัดสินใจว่า จะกระทำอย่างสุจริตหรืออย่างทุจริต เพื่อให้ได้ประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมในปริมาณที่มากที่สุด ผลประโยชย์ที่มาล่อตาล่อใจทำให้การตัดสินใจที่ถูกต้องถูกท้าทายให้ไขว้เขวไปในทางที่มิชอบได้เสมอ
@@@@@@@
มีคดีอาชญากรรมหลาย ๆ คดี เกิดขึ้นจากความรู้สึกภายในที่มองดูเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ ๆ ทีเดียว เช่น เรื่องราวของหญิงขี้หึงคนหนึ่ง ได้ยินว่า สามีของนางได้ทำความเชยชิดกับหญิงรับใช้ในบ้านคนหนึ่ง จึงไม่พอใจจับหญิงคนใช้มามัดมือมัดเท้าแล้วตัดหู ตัดจมูก นำตัวไปขังไว้ในห้องปกปิดการกระทำประทุษร้ายของตน จากนั้นก็ชวนสามีไปฟังธรรมของพระพุทธองค์ หญิงคนใช้หนีหลุดออกมาจากห้องคุมขังได้ ก็ไปที่วัดกราบทูลเนื้อความแก่พระพุทธเจ้าในท่ามกลางพุทธบริษัท ๔
พระศาสดาทรงสดับคำของหญิงรับใช้แล้ว จึงตรัสว่า
"ขึ้นชื่อว่า ทุจริตแม้เพียงเล็กน้อย บุคคลไม่ควรทำด้วยความสำคัญว่า ชนพวกอื่นย่อมไม่รู้กรรมนี้ของเรา"
ส่วนสุจริตนั่นแหละ เมื่อคนอื่นแม้ไม่รู้ ก็ควรทำ เพราะว่า ขึ้นชื่อว่าทุจริต แม้บุคคลปกปิดทำ ย่อมทำการเผาผลาญในภายหลัง ส่วนสุจริตย่อมยังความปราโมทย์อย่างเดียวให้เกิดขึ้น" ดังนี้แล้วจึงตรัสพระคาถานี้ว่า
อกตํ ทุกฺกตํ เสยฺโยปจฺฉา ตปฺปติ ทุกฺกตํ
กตญฺจ สุกตํ เสยฺโยยํ กตฺวา นานุตปฺปติ.
"ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า เพราะระลึกถึงความชั่ว บุคคลย่อมเดือดร้อนในภายหลัง
ส่วนความดี ทำไว้เถิดดีกว่า เพราะทำแล้ว ระลึกถึงภายหลัง บุคคลย่อมไม่เดือดร้อน"
@@@@@@@
ชีวิตมนุษย์มีทางออกที่ดีและถูกต้องเสมอ เมื่อบุคคลได้ศึกษาพระไตรปิฎก จะเกิดภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์ ภูมิปัญญาไทที่แท้จริง.ขอขอบคุณ :-
ภาพ : pinterest
ที่มา : ส่วนหนึ่งของบทความ "ภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์ในพระไตรปิฎก" โดย วารีญา ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 2542 หน้า 321 - 336
URL :
http://oldweb.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/Article/article_01.htm