ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ฟังด้วยหู ดูด้วยตา ศรัทธาก็จะเกิด  (อ่าน 1022 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ฟังด้วยหู ดูด้วยตา ศรัทธาก็จะเกิด
« เมื่อ: มีนาคม 14, 2023, 05:49:23 am »
0



คุณสายพิณ มณีศรี และผู้เขียนหน้าพระมหาเจดีย์ พุทธคยา


ฟังด้วยหู ดูด้วยตา ศรัทธาก็จะเกิด

เมื่อเรามีความศรัทธาในสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นบุคคล สิ่งของหรือสถาบัน ก็เพราะเราได้พิจารณาแล้วเห็นว่าบุคคลนั้น สิ่งของหรือสถาบันนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม หากเป็นบุคคล นอกจากจะเป็นตัวอย่างให้แก่ตนเองที่จะยึดถือและนำมาปฏิบัติตามแล้ว ยังเชื่อและทำในสิ่งที่บุคคลที่เราศรัทธาในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคำสอน คำสั่งหรือใด ๆ ก็ตาม โดยไม่มีข้อยกเว้น

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ได้ให้ความหมายของคำว่า “ศรัทธา” ว่า คือ ความเชื่อ ความเชื่อทีประกอบด้วยเหตุผล ภาษาอังกฤษ คือ faith, belief หรือ confidence

     ศรัทธามี 4 ประการ คือ
     1) กัมมสัทธา คือเชื่อในเรื่องกรรม
     2) วิปากสัทธา คือเชื่อวิบากหรือเชื่อผลของกรรม
     3) กัมมัสสกตาสัทธา คือเชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน และ
     4) ตถาคตโพธิสัทธา คือเชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

สิ่งที่อยากเน้นก็คือ “ตถาคตโพธิสัทธา” คือเชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคตว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญไว้เป็นแบบอย่าง

และนั่นอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่พระโสภณวชิราภรณ์ (ไสว โชติโก) รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มจร ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินงานอบรมพระธรรมทูต รุ่นที่ 20 ได้คาดหวังให้พระธรรมทูตมีความศรัทธาโดยเฉพาะศรัทธาในพระพุทธเจ้า เพื่อจะได้เป็นธรรมทูตมืออาชีพต่อไป


@@@@@@@

ทั้งนี้ หากเป็นพระธรรมทูต แต่ไม่มี “ตถาคตโพธิสัทธา” ที่เต็มเปี่ยมแล้ว จะเป็นพระธรรมทูตที่ดีไม่ได้ หรือคงเป็นไปได้ยาก พระธรรมทูตต้องไม่มีความสงสัยในพระพุทธองค์ เช่น สงสัยว่าพระพุทธเจ้าเมื่อประสูตินั้น สามารถเดินได้ 7 ก้าว จริงหรือไม่ เพราะหากยังมีความสงสัยในเรื่องใด ๆ ก็แสดงว่ายังมีความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าไม่เต็มเปี่ยม อย่าลืมว่าอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์ต่าง ๆ นั้น เกิดขึ้นและมีได้ ในปัจจุบันก็ยังมีให้พบเห็นกันอยู่บ่อย ๆ

การที่จะทำให้พระธรรมทูตมีตถาคตโพธิสัทธาอย่างแท้จริง จึงต้องได้ไปชมสถานที่ซึ่งเกี่ยวกับพระพุทธองค์มากที่สุดหลายต่อหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และสถานที่ปรินิพพาน รวมทั้งสถานที่อื่นที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์

สถานที่สำคัญ เช่น วัดพระเชตวันมหาวรวิหาร สถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าประทับนานที่สุดถึง 15 พรรษา ได้เห็นมูลคันธกุฏี สถานที่ประทับของสมเด็จพระพุทธองค์ กุฏีของพระสาวกต่าง ๆ และต้นอานนทโพธิ ต้นโพธิ์ที่นำเมล็ดมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา ซึ่งปัจจุบันมีอายุมากที่สุดในโลก ร่วม 2,600 ปี (ต้นโพธิ์ที่อายุรองลงมาคือต้นโพธิ์ที่ศรีลังกา) รวมทั้งได้เห็นเจดีย์ 8 อรหันต์ และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ อีกด้วย

พระธรรมทูตหลายรูปยังไม่เคยไปแดนพุทธภูมิเลยแม้แต่ครั้งเดียว และแม้ว่าพระธรรมทูตหลายต่อหลายรูปเคยไปยังแดนพุทธภูมิมาแล้ว บางรูปไปครั้งเดียวและบางรูปได้ไปหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่การเดินทางไปในครั้งนี้ไม่ได้เห็นแต่เพียงอย่างเดียว เพราะได้ฟังอดีตพระธรรมทูตผู้ทรงคุณวุฒิและพระธรรมทูตในปัจจุบัน ได้สับเปลี่ยนส่งไม้การบรรยายถึงความเป็นมาของสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ทุกที่และระหว่างการเดินทาง

นี่ยังไม่รวมถึงการบรรยายและการอภิปรายให้ความรู้จากพระธรรมทูตต่าง ๆ ภายในวัดไทยในแดนพุทธภูมิทั้งที่เดินทางไปจากประเทศไทยและวัดไทยในแดนพุทธภูมินะครับ



ดร. พระมหาอ้าย ธีรปัญฺโญ อธิบายสถานที่ต่าง ๆ ในวัดพระเชตวันมหาวรวิหาร กรุงราชคฤห์


ดร. พระมหาดวงจันทร์ คุตตสีโล อธิบายความเป็นมาของมหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์แรกในพระพุทธศาสนา

อดีตพระธรรมทูต 2 ท่าน คือ ดร. พระมหาอ้าย ธีรปัญฺโญ วัดนาคปรก และ ดร. พระมหาดวงจันทร์ คุตตสีโล ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ วิทยาเขตเชียงใหม่ มจร ส่วนพระธรรมทูตในปัจจุบันคือ พระครูนิโครธปุญญากร เจ้าอาวาสวัดไทยนิโครธาราม ทั้งสามท่านได้บรรยายซึ่งง่ายต่อการรับฟัง รวมทั้งให้ข้อมูลอย่างละเอียดละออ ทั้งนี้ ได้ตอบข้อซักถามข้อสงสัยและข้อข้องใจต่าง ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะ ดร. พระมหาดวงจันทร์ คุตตสีโล บรรยายจนผู้เขียนได้น้ำตาถึง 2 ครั้ง

ครั้งแรกในขณะที่พระธรรมทูตห้อมล้อมพระพุทธรูปปางไสยาสน์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ภายในองค์ปรินิพพานสถูป ครั้งนั้นน้ำตาคลอเบ้า ส่วนครั้งที่สองที่พระพุทธรูปองค์ดำ มหาวิทยาลัยนาลันทา คราวนี้น้ำตาไม่ทราบว่ามาจากไหน ไหลย้อยลงมาถึงค่อนแก้มทั้งสองข้าง ผู้เขียนนึกว่าเป็นคนเดียว แต่มองรอบข้างก็ได้เห็นพระธรรมทูตและคณะหลายรูป/คน น้ำตาคลอเบ้าและบางรูป/คน น้ำตาไหลอาบแก้มเช่นเดียวกับผู้เขียนด้วย

นอกจากนี้ วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวแล้วนี้ ยังได้บรรยายให้เห็นถึงพระกรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าและความลำบากในการเดินทางไปโปรดสัตว์ยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งห่างไกลออกไป การเดินทางในสมัยก่อนเป็นการเดินทางด้วยเท้า ซึ่งลำบากกว่าในปัจจุบันมากมายนัก แม้ในปัจจุบัน ถนนหนทางในประเทศอินเดียหลายแห่งยังมี “หลุมลึก” อีกเป็นอันมากก็ตาม


@@@@@@@

ตัวอย่างเช่น การเดินทางจากเมืองสารนาถ แคว้นพาราณสี เพื่อไปเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ซึ่งอยู่ในรัฐอุตตระประเทต รัฐเดียวกัน ระยะทางประมาณ 385 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมงทั้งนี้ ได้แวะดึ่มน้ำปานะและเข้าห้องน้ำเพียงครั้งเดียว เฉลี่ยแล้วใช้เวลาในการเดินทาง ด้วยความเร็ว ประมาณ 38.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

พระมหากรุณาธิคุณและพระวิริยะอุตสาหะของพระพุทธองค์นั้น ซาบซึ้งตรึงใจต่อพระธรรมทูตและคณะเป็นอย่างยิ่ง เป็นความซาบซึ้งที่เกิดจากการได้ฟังด้วยหู ได้ดูด้วยตาแบบนี้นี่แหละ ที่ทำให้เกิดศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

ทำให้พระธรรมทูตมีความเชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคตว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ดังที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ท่านได้กล่าวไว้ และพร้อมที่จะเป็นผู้ทำหน้าที่เป็นทูตหรือเป็นผู้แทนของพระพุทธเจ้าในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป

                  พุธทรัพย์ มณีศรี
              puthsup@gmail.com





Thank to : http://oldweb.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=2159&articlegroup_id=344
''ฟังด้วยหู ดูด้วยตา ศรัทธาก็จะเกิด'' | พุธทรัพย์ มณีศรี (2561)
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ