ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: นอนมากไปไม่ดี.!? “โคลงโลกนิติ” บอก “นอน 12 ชั่วโมงไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน”  (อ่าน 953 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


สาวชาววังนอนกอดกันแนบชิด ปรากฏในจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัตนโกสินทร์ (ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดคงคาราม จังหวัดราชบุรี)


นอนมากไปไม่ดี.!? “โคลงโลกนิติ” บอก “นอน 12 ชั่วโมงไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน”

โคลงโลกนิติ เป็นวรรณกรรมคำสอน ประพันธ์โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 มีเนื้อหากล่าวถึงสัจธรรมของโลก รวมทั้งสอนเรื่องการดำเนินชีวิต การประพฤติปฏิบัติตนที่เหมาะที่ควร ปรากฏเป็นจารึกอยู่ที่วัดโพธิ์ ตามที่รัชกาลที่ 3 ทรงโปรดฯ ให้รวบรวมสรรพวิชาไว้ที่นั่น โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมที่มีความงดงามทางภาษาอย่างยิ่งผลงานหนึ่ง

เมื่อว่าด้วยการดำเนินชีวิต โคลงโลกนิติ จึงมีเนื้อหาตอนหนึ่งว่าด้วย “การนอน” ระบุจำนวนเวลาที่คนกรุงเทพฯ สมัยจารีตควรนอนไว้ว่า

    “บรรทมยามหนึ่งไท้   ทรงฤทธิ์
     หกทุ่มหมู่บัณฑิต   ทั่วแท้
     สามยามพวกพาณิช   นรชาติ
     นอนสี่ยามนั้นแล   เที่ยงแท้เดียรฉาน”

โคลงบทนี้มีความหมายว่า กษัตริย์นอนเพียง 3 ชั่วโมง เหล่าบัณฑิตนักปราชญ์นอน 6 ชั่วโมง พวกพ่อค้าและคนธรรมดาทั่วไปนอน 9 ชั่วโมง แต่ถ้าใครนอน 12 ชั่วโมง ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน (ที่มักใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนอน)

ถึงอย่างนั้นก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับคนนอนเยอะบ้าง อย่างที่ ดี. อี. มัลล็อค (D.E. Malloch) พ่อค้าชาวอังกฤษที่เดินทางมาติดต่อค้าขายกับสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งข้อสังเกตว่า ชาวสยามคุ้นเคยกับการนอนถึง 14 ชั่วโมงต่อ 1 วัน ซึ่งข้อสังเกตของเขาอาจนับรวมเอาจำนวนชั่วโมงการนอนกลางวันเข้าไปด้วย เพราะปกติแล้ว ชาวสยามนิยมนอนกลางวันเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ แทนการออกไปเดินเล่นอย่างชาวตะวันตก


@@@@@@@

วีระยุทธ ปีสาลี ขยายความเรื่องการนอนไว้ในหนังสือ “กรุงเทพฯ ยามราตรี” (สำนักพิมพ์มติชน) ว่า เมื่อพิจารณาการนอนของคนกรุงเทพฯ สมัยจารีต พบว่าระบบเวลามาตรฐานยังไม่มีบทบาทต่อการกำหนดเวลาการเข้านอนและจำนวนชั่วโมงการนอนมากนัก ที่พบเป็นเพียงการกำหนดเวลาอย่างคร่าว ๆ ด้วยหน่วยวัดเวลาในสังคมเดิมคือ “ยาม” ไม่ใช่หน่วยนาฬิกาแบบโลกสมัยใหม่

เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าลักษณะการนอนของคนกรุงเทพฯ สัมพันธ์กับสภาพสังคมในขณะนั้นคือสังคมก่อนสมัยใหม่ ในยุคเกษตรกรรมที่ระบบเวลาในชีวิตประจำวันยังไม่เคร่งครัดอย่างในสังคมอุตสาหกรรม

    “จนเมื่อกรุงเทพฯ กลายเป็นสังคมเมืองสมัยใหม่ที่มีระบบเศรษฐกิจแบบใหม่คือระบบทุนนิยมแล้ว เวลาการเข้านอนและจำนวนชั่วโมงการนอนของคนกรุงเทพฯ จึงมีความชัดเจนขึ้นตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป”
     วีระยุทธ ระบุ

อย่างไรก็ตาม ค่านิยมและวิถีปฏิบัติย่อมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย หากเป็นยุคนี้ การนอนที่กินเวลา 12 ชั่วโมง อาจเป็นผลมาจากการทำงานหนักและวิถีชีวิตอันรีบเร่ง ที่หากมีเวลาว่างพอจะนอนเต็มอิ่มได้ หลายคนก็มักจะเลือกนอนเอาแรงเติมพลังให้เต็มที่ก่อนสู้ชีวิตกันต่อนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม :-

    - รัชกาลที่ 3 ทรงพระประชวรเมื่อเจดีย์ที่วัดโพธิ์ เกิดเอียง
    - “ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร…” การสื่อความและเจตนารมณ์ใน “โคลงโลกนิติ”
    - “พระตำหนักวาสุกรี” ตำหนักลับแห่งวัดโพธิ์ อายุเกือบ 200 ปี





ขอขอบคุณ :-
อ้างอิง : วีระยุทธ ปีสาลี. กรุงเทพฯ ยามราตรี. กรุงเทพฯ : มติชน, 2557.
ผู้เขียน   : สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2566
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 13 มีนาคม 2566
URL : https://www.silpa-mag.com/culture/article_103817
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ