ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: Texting Error ระวังการสื่อสารผ่านข้อความ สร้างความบาดหมางในใจ  (อ่าน 920 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




Texting Error ระวังการสื่อสารผ่านข้อความ สร้างความบาดหมางในใจ

Summary

    • บ่อยครั้งแค่ไหน ที่เราสงสัยกับความหมายที่แฝงมาในตัวอักษรของข้อความจากฝ่ายตรงข้าม ครั้นจะถามตรงๆ ก็ไม่กล้า บางข้อความดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ก็ทำให้ตะขิดตะขวงใจแปลกๆ ความรู้สึกเหล่านี้น่าจะเคยเกิดขึ้นกับทุกคนที่ใช้การสื่อสารผ่านข้อความ เพราะขณะที่เราอ่านตัวอักษรเหล่านั้น เราไม่อาจรู้อารมณ์ ความรู้สึก น้ำเสียง หรือสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายได้เลย
    • ปัญหาที่มักพบบ่อยในการสื่อสารผ่านข้อความ ก็คือ การตีความของผู้รับสาร ที่อาจมีธงในใจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความขุ่นข้องใจ, ความกังวล, ความกลัว ฯลฯ เมื่อข้อความจากคู่สนทนา ส่งมาเป็นเพียงตัวอักษร แม้จะชัดเจนในข้อความ แต่ความหมายระหว่างบรรทัดก็อาจถูกเติมเต็มจากมุมมองของผู้รับ ซึ่งอาจผิดเพี้ยนจากเจตนาที่แท้จริงของผู้ส่งได้
    • ดังนั้น การตระหนักว่า มุมมองที่มีต่อข้อความแต่ละข้อความที่ส่งมาหาเรานั้น ไม่ได้มาจากผู้ส่งเพียงอย่างเดียว แต่มีความรู้สึกและอารมณ์ของเราปะปนอยู่ด้วย ก็น่าจะทำให้เราตอบข้อความเหล่านั้นอย่างระมัดระวังมากขึ้น



เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการสื่อสารของคนในสังคมอย่างรวดเร็ว จากที่เคยยกหูโทรศัพท์โทรหากัน ทุกวันนี้ หากไม่จำเป็นจริงๆ เราก็แทบไม่ใช้วิธีโทรหากันอีกต่อไปแล้ว และในเมื่อการติดต่อผ่านข้อความทำได้ง่ายกว่า การสื่อสารหลักของผู้คนในยุคดิจิทัล จึงมักใช้วิธีส่งข้อความ แทนการส่งเสียงไปโดยปริยาย

ข้อมูลจาก Review.org เปิดเผยการสำรวจเมื่อปี 2022 ว่า โดยเฉลี่ยชาวอเมริกัน จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูถึง 344 ครั้งต่อวัน ซึ่งในจำนวนสามร้อยกว่าครั้งนี้ น้อยมากที่พวกเขาจะรับสายเรียกเข้า หรือใช้โทรศัพท์เพื่อโทรออก แต่มักใช้โทรศัพท์เพื่อเล่นโซเชียลมีเดีย ติดตามข่าวสาร และส่งข้อความ รายงานจาก Juniper Research ระบุว่า ผู้ใช้สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ ใช้เวลาหมดไปกับการสื่อสารผ่านข้อความ หรือ Texting โดยในปี 2020 มีการติดต่อธุรกิจผ่านวิธีส่งข้อความมากถึง 2.7 ล้านล้านข้อความ

มีความเป็นไปได้ว่า การสื่อสารผ่านข้อความในเชิงธุรกิจนั้น อาจมีประโยชน์ในแง่ของการเก็บหลักฐาน และความชัดเจน แต่สำหรับการสื่อสารในชีวิตประจำวัน การส่งข้อความหากัน ช่วยทำให้ชีวิตคนเราง่ายขึ้นจริงหรือ?

“ทำไมไม่อ่านไลน์”

“อ่านแล้วทำไมไม่ตอบสักที”

“พิมพ์มาห้วนๆ แบบนี้หมายความว่าอะไรนะ”

“ลงท้ายด้วย 555 ทุกประโยค เห็นเป็นเรื่องเล่นๆ หรือไง”

บ่อยครั้งแค่ไหน ที่เราสงสัยกับความหมายที่แฝงมาในตัวอักษรของข้อความจากฝ่ายตรงข้าม ครั้นจะถามตรงๆ ก็ไม่กล้า บางข้อความดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ก็ทำให้ตะขิดตะขวงใจแปลกๆ ความรู้สึกเหล่านี้น่าจะเคยเกิดขึ้นกับทุกคนที่ใช้การสื่อสารผ่านข้อความ เพราะขณะที่เราอ่านตัวอักษรเหล่านั้น เราไม่อาจรู้อารมณ์ ความรู้สึก น้ำเสียง หรือสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายได้เลย

และนี่เองจึงเป็นที่มาของปัญหาการสื่อสารยุคใหม่ ที่อาจไม่ได้ทำให้คนเราเข้าใจกันมากกว่าเดิม

@@@@@@@

อารมณ์เลือนราง แต่ข้อความชัดเจน

การสื่อสารผ่านข้อความอาจมีข้อดีหลายอย่างที่คนส่วนใหญ่เห็นตรงกัน ทั้งการไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะได้รับข้อความหรือไม่ ไปจนถึงเราสามารถส่งข้อความ หรือโต้ตอบกันผ่านข้อความได้แทบตลอดเวลา ไม่เหมือนการส่งเสียงตามสายผ่านโทรศัพท์ ที่อาจต้องอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว เพื่อไม่ส่งเสียงรบกวนคนอื่นๆ การส่งข้อความตัวอักษรจึงได้รับความนิยม ไม่ว่าจะในแง่การสื่อสารส่วนตัว หรือเรื่องธุรกิจที่เป็นทางการ

แม้ดูเหมือนว่าการส่งข้อหากันเป็นวิธีที่สะดวกสบายกว่า แต่ในแง่ของประสิทธิภาพแล้ว การส่งข้อความอาจไม่ได้เหมาะกับการสื่อสารทุกรูปแบบ โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องสำคัญที่อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างกันได้

ข้อมูลจาก The Contemporary Psychoanalysis Group อธิบายว่า การสื่อสารผ่านข้อความ เป็นการสื่อสารที่ขาดองค์ประกอบสำคัญของการสื่อสารระหว่างบุคคล ที่ควรต้องเห็นการแสดงอารมณ์ สีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงของคู่สนทนา เมื่อขาดสิ่งเหล่านี้ไป ผู้รับสารจึงมีข้อมูลไม่เพียงพอเพื่อตีความความหมายระหว่างบรรทัดในข้อความนั้นๆ ทำให้คนเราเผลอเติมความหมายในช่องว่างที่ไม่เข้าใจนั้นด้วยสันนิษฐานของตัวเอง จนอาจทำให้เข้าใจผิดกันได้

ดังเช่นตัวอย่างข้อความต่อไปนี้ : “ช่วยซื้อน้ำดื่มหนึ่งแพ็กเข้ามาด้วยได้ไหม เมื่อเช้านี้ฉันลืม โชคดีนะที่เธอกำลังมา”

    "ปัญหาที่มักพบบ่อยในการสื่อสารผ่านข้อความ ก็คือ การตีความของผู้รับสาร ที่อาจมีธงในใจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความขุ่นข้องใจ, ความกังวล, ความกลัว ฯลฯ เมื่อข้อความจากคู่สนทนา ส่งมาเป็นเพียงตัวอักษร แม้จะชัดเจนในข้อความ แต่ความหมายระหว่างบรรทัดก็อาจถูกเติมเต็มจากมุมมองของผู้รับ ซึ่งอาจผิดเพี้ยนจากเจตนาที่แท้จริงของผู้ส่งได้"

หากอ่านผ่านๆ ข้อความนี้ชัดเจนและดูเหมือนไม่มีอะไร แต่หากข้อความนี้ถูกส่งโดยสามีหรือภรรยา ที่มักเถียงกันว่าใครจะซื้อของเข้าบ้าน และใครกลับก่อนใคร ข้อความนี้อาจถูกมองว่าเป็นการประชดประชัน หรือกล่าวโทษอีกฝ่าย แม้ว่าผู้ส่งสารอาจไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นก็ตาม

อีกด้านหนึ่ง หากข้อความเดียวกันนี้ส่งโดยเจ้านาย ไปถึงเลขาฯ ประจำตัว เลขาฯ ที่ทำงานหนักอาจรู้สึกขุ่นข้องใจ และมองว่านี่เป็นคำสั่งมากกว่าคำขอ เพราะเธอปฏิเสธไม่ได้ แม้ว่าต้องแบกน้ำขึ้นรถสาธารณะมาก็ตาม อีกทั้งประโยคสุดท้ายที่บอกว่า “โชคดีนะที่เธอกำลังมา” ก็อาจถูกตีความว่าเจ้านายกำลังเหน็บแนมที่เธอถึงออฟฟิศช้ากว่าเขา

ดังนั้น ปัญหาที่มักพบบ่อยในการสื่อสารผ่านข้อความ ก็คือ การตีความของผู้รับสาร ที่อาจมีธงในใจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความขุ่นข้องใจ, ความกังวล, ความกลัว ฯลฯ เมื่อข้อความจากคู่สนทนา ส่งมาเป็นเพียงตัวอักษร แม้จะชัดเจนในข้อความ แต่ความหมายระหว่างบรรทัดก็อาจถูกเติมเต็มจากมุมมองของผู้รับ ซึ่งอาจผิดเพี้ยนจากเจตนาที่แท้จริงของผู้ส่งได้ 

 


ข้อความแบบไหน ที่อาจทำร้ายความสัมพันธ์

การอ่านข้อความก็เหมือนการอ่านนิยาย เรื่องสั้น หรือวรรณกรรม ที่ตัวอักษรจากข้อความเดียวกัน ทำให้ผู้อ่านแต่ละคนอาจตีความต่างกันไปตามประสบการณ์และอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองในขณะนั้นๆ

หากการตีความเกิดขึ้นกับการอ่านหนังสือคงไม่เป็นไร เพราะการอ่านหนังสือเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่การตีความของเราไม่มีผลกับผู้ส่งสาร (นักเขียน) และคนอื่นๆ เท่าใดนัก แต่สำหรับการอ่านข้อความ ที่แม้จะมีรูปแบบคล้ายการอ่านหนังสือ การตีความจากผู้รับสารเพียงอย่างเดียวอาจเกิดความผิดพลาดได้ เพราะเมื่อเป็นการสื่อสารสองทาง เราจำเป็นต้องเข้าใจเจตนาและความหมายระหว่างบรรทัดของผู้ส่งอย่างถูกต้อง เพื่อให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ

เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องบางเรื่องจึงอาจไม่เหมาะที่จะส่งข้อความหากัน ต่อไปนี้คือหัวข้อที่ควรหลีกเลี่ยงการสื่อสารผ่านการส่งข้อความ

    • เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ : การส่งข้อความเพื่อบอกรัก หรือบอกเลิก ถือเป็นการกระทำที่ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย ขาดความจริงใจและไร้ความรับผิดชอบ ขณะที่การปรับความเข้าใจผ่านข้อความเมื่อเกิดความขัดแย้ง อาจทำได้บ้าง หากเป็นเรื่องไม่ใหญ่นัก แต่หากเป็นเรื่องสำคัญที่กระทบความสัมพันธ์มากๆ ควรพูดคุยกันต่อหน้า เพราะการส่งข้อความที่ต่างฝ่ายต่างไม่รับรู้โทนเสียง สีหน้าท่าทาง ความรู้สึกของกันและกัน อาจทำให้เข้าใจผิดและสร้างปัญหาใหญ่กว่าเดิม

    • แจ้งข่าวร้าย : แม้จะต้องการแจ้งข่าวร้ายอย่างการตกงาน หรือการสูญเสียคนใกล้ชิด อย่างรวดเร็วเพียงใด การส่งข้อความก็อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เพราะข้อความไม่อาจสื่อความจริงจังของเรื่องราวได้อย่างเหมาะสม ผู้รับสารไม่อาจเห็นสัญญาณจากอวัจนภาษาของผู้ส่งสาร และอาจตีความน้ำเสียงของผู้ส่งสารผิดไปจากความเป็นจริง นอกจากนี้ ขณะส่งข้อความ เรามักไม่รู้ว่าผู้รับสารกำลังทำอะไรอยู่ ณ ขณะนั้น และเขาพร้อมสำหรับรับฟังข่าวร้ายหรือไม่ เช่น บางคนกำลังเตรียมพรีเซนต์งานสำคัญ หรืออยู่ในงานมงคลของลูกหลาน สิ่งที่ควรทำแทนการแจ้งข่าวร้ายผ่านข้อความ คือ ขอนัดพบเพื่อแจ้งข่าว หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรเป็นการแจ้งผ่านการโทรศัพท์

    • แจ้งข่าวดี : คงจะดีไม่น้อยหากได้แบ่งปันเสียงหัวเราะกับคนสำคัญผ่านเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้น ดังนั้น การโทรหาเพื่อแจ้งข่าวดีและแบ่งปันเรื่องราวเหล่านั้นกับคนใกล้ชิด ไม่เพียงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับพวกเขา แต่ยังเป็นการแบ่งปันความสุขต่อกันด้วย เรื่องน่ายินดี เช่น การตั้งครรภ์, แฟนขอแต่งงาน, สอบเข้าเรียนหรือสอบเข้าทำงานในฝันได้สำเร็จ เป็นสิ่งที่ควรแบ่งปันผ่านการพูดคุย หากไม่อาจได้พบหน้า อย่างน้อยๆ การโทรหากัน ก็น่าจะดีกว่าส่งข้อความที่ทำได้เพียงส่งอีโมจิหรือสติกเกอร์แสดงความดีใจ

    • ระบายอารมณ์ : เราอาจจะเคยส่งข้อความระบายความโศกเศร้า โกรธ หงุดหงิด ผิดหวัง ไปให้เพื่อนหรือคนใกล้ตัวได้รับรู้ โดยไม่ทันระวังว่า การกระทำเช่นนี้คือการโยนระเบิดอารมณ์ไปให้อีกฝ่ายโดยที่พวกเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย เช่น หากคุณส่งข้อความร่ายยาวบ่นให้เพื่อนฟังทันทีที่ถูกเจ้านายตำหนิ คุณอาจรู้สึกดีขึ้น แต่เพื่อนของคุณอาจไม่รู้สึกเช่นนั้น จริงอยู่ที่คนใกล้ตัวอาจพร้อมที่จะรับฟังและเป็นที่ระบายให้กับเรา แต่ตัวเราเองก็ควรรับผิดชอบอารมณ์ของตนเองก่อน เพราะการโยนระเบิดอารมณ์ทางข้อความไปให้คนอื่นนั้น อาจทำร้ายความสัมพันธ์โดยไม่รู้ตัว

    • เลื่อนนัด : การส่งข้อความไปเลื่อนนัด อาจดูเหมือนไม่มีอะไร และเป็นการแสดงความรับผิดชอบระดับหนึ่งแล้ว แต่หากคุณใส่ใจความรู้สึกของอีกฝ่าย การยกโทรศัพท์โทรแจ้งสาเหตุการเลื่อนนัด อาจช่วยถนอมน้ำใจในความสัมพันธ์ได้ดีกว่า แม้จะนัดกันล่วงหน้าไว้นานแล้ว แต่บางครั้งเรื่องไม่คาดฝันในชีวิตก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้น การแสดงความรับผิดชอบด้วยการส่งเสียงโทรไปขอโทษ แทนการส่งข้อความ จะทำให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความจริงใจของเราได้ดีกว่าการส่งข้อความ

@@@@@@@

เรื่องต้องรู้ทัน เมื่อสื่อสารกันผ่านข้อความ

เพราะการสื่อสารผ่านข้อความทำให้เราไม่อาจเห็นอวัจนภาษาซึ่งกันและกัน ดังนั้น ไม่ว่าจะในฐานะผู้ส่งหรือผู้รับข้อความ ควรตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้อยู่เสมอ

ก่อนส่งข้อความออกไป ลองอ่านทบทวนอีกครั้งว่า ข้อความของเราชัดเจนหรือไม่ ผู้รับอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้หรือเปล่า หากรู้สึกว่าข้อความของเราสุ่มเสี่ยงทำให้ผู้รับเข้าใจผิด ลองค่อยๆ ปรับให้ชัดเจนขึ้น

สำหรับผู้รับข้อความ หากรู้สึกว่าข้อความที่ส่งมา มีเชิงตำหนิ หรือไม่เป็นมิตร ลองหาเหตุผลว่า ทำไมเราจึงรู้สึกเช่นนั้น เราคิดเองเพราะความกังวลหรือเปล่า หากไม่มีเหตุผลอะไรที่ผู้ส่งต้องตำหนิคิดร้าย ลองมองหาเจตนาดีในข้อความ (หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่เจตนาร้าย) บางครั้งการตีความตามตัวอักษรโดยไม่ใส่อารมณ์ความรู้สึกของเราเข้าไป ก็อาจดีกว่าเมื่อต้องสื่อสารกันผ่านข้อความ

    "แม้เราอาจมีสัญชาตญาณแม่นยำในการตีความผ่านตัวอักษร แต่ประเด็นก็คือ เราไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าสิ่งที่เราเชื่อว่า ‘ถูกต้อง’ นั้น ถูกจริงหรือเปล่า ซึ่งถึงความเชื่อของเราอาจถูกต้องจริง แต่ถึงอย่างนั้น ความถูกต้องของเรานี้จะมีประโยชน์อันใดต่อความสัมพันธ์หรือไม่ หรือการปล่อยผ่านไปอาจให้ผลดีกว่าหรือเปล่า เพราะเมื่อเป็นเรื่องของจิตใจผู้อื่น คงไม่มีใครสามารถเข้าใจได้อย่างจริงแท้ โดยเฉพาะหากการแสดงออกนั้นมาจากข้อความเพียงอย่างเดียว"

แม้เราอาจมีสัญชาตญาณแม่นยำในการตีความผ่านตัวอักษร แต่ประเด็นก็คือ เราไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าสิ่งที่เราเชื่อว่า ‘ถูกต้อง’ นั้น ถูกจริงหรือเปล่า ซึ่งถึงความเชื่อของเราอาจถูกต้องจริง แต่ถึงอย่างนั้น ความถูกต้องของเรานี้จะมีประโยชน์อันใดต่อความสัมพันธ์หรือไม่ หรือการปล่อยผ่านไปอาจให้ผลดีกว่าหรือเปล่า เพราะเมื่อเป็นเรื่องของจิตใจผู้อื่น คงไม่มีใครสามารถเข้าใจได้อย่างจริงแท้ โดยเฉพาะหากการแสดงออกนั้นมาจากข้อความเพียงอย่างเดียว

ดังนั้น การตระหนักว่า มุมมองที่มีต่อข้อความแต่ละข้อความที่ส่งมาหาเรานั้น ไม่ได้มาจากผู้ส่งเพียงอย่างเดียว แต่มีความรู้สึกและอารมณ์ของเราปะปนอยู่ด้วย ก็น่าจะทำให้เราตอบข้อความเหล่านั้นอย่างระมัดระวังมากขึ้น

เพราะหากการสื่อสารผ่านข้อความสามารถสื่อความรู้สึกแท้จริงของผู้ส่งได้อย่างชัดเจน วลีที่พิมพ์ตามหลังเสียงหัวเราะ 555 ว่า “ในเลขห้ามีน้ำตาซ่อนอยู่” คงไม่ได้รับความนิยมอย่างในทุกวันนี้




Thank to :-
อ้างอิง : quiq.com, rd.com, psychologytoday.com
URL : https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/102679
Thairath Plus › Everyday Life | 17 ม.ค. 66 | creator : สุภาวดี ไชยชลอ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ