« เมื่อ: มีนาคม 25, 2023, 07:21:32 am »
0
ทำไมบางคนจึงเป็น ‘คนโปรด’ : วิทยาศาสตร์ของการเลือกที่รักมักที่ชังSummary
• Small Science เป็นคอลัมน์ชวนอ่านฆ่าเวลาของ โตมร ศุขปรีชา ว่าด้วยเกร็ดความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์เล็กๆ น้อยๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกสรรพสิ่งรอบตัวเรา จากสสาร สิ่งประดิษฐ์ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตในกิจวัตรประจำวันของมนุษย์
• สำหรับสัปดาห์นี้ โตมรเล่าถึงวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลัง ‘การเลือกที่รักมักที่ชัง’ ที่นักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่า อาจจะเป็น ‘วิธีการเอาตัวรอด’ ของมนุษย์เพื่อให้เผ่าพันธุ์ยังดำรงอยู่ได้ โดยมี ‘วัฒนธรรม’ เข้ามาเป็นส่วนเสริมสำคัญ
Illustration: Nuttal-Thanatpohn Dejkunchorn
คำว่า ‘เลือกที่รักมักที่ชัง’ นั้น หมายถึงมีอาการ ‘ลำเอียง’ หรือ ‘มีฉันทาคติ’ กับใครบางคนเป็นพิเศษ
ภาษาไทยมีหลายคำ ภาษาอังกฤษเองก็มีหลายคำเช่นเดียวกัน เช่น Nepotism, Favouritism หรือ Cronyism ซึ่งจะมีรายละเอียดแตกต่างกันไป บางอย่างก็แค่โปรดปราน บางอย่างไปไกลถึงการ ‘เอื้อประโยชน์’ ให้กับคนที่ตัวเองโปรด ซึ่งอาจเป็นได้ตั้งแต่เอื้อประโยชน์ให้กับญาติ หรือเอื้อประโยชน์มากกว่าญาติ โดยรวมไปถึงสมัครพรรคพวกเพื่อนฝูงด้วยก็มี - ซึ่งหากมีการเอื้อประโยชน์ด้วย บางทีก็เรียกกันว่า ‘ลัทธิเกื้อหนุนคนโปรด’ หรือ ‘ลัทธิเกื้อหนุนญาติมิตร’
สภาวะลำเอียงหรือเลือกที่รักมักที่ชังนั้น พบได้ทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่ในวงศาคณาญาติ พ่อแม่ที่รักลูกไม่เท่ากัน ซึ่งก็ก่อให้เกิดปัญหาในระดับปัจเจก แล้วลุกลามไปจนถึงการลำเอียงหรือการเอื้อประโยชน์ให้คนโปรดในอาชีพการงาน จนทำให้เกิดเรื่องของเส้นสาย การใช้สถาบันการศึกษามาเป็นข้ออ้างในการรับเข้าทำงาน การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง หรือแม้กระทั่งในแวดวงการเมือง ที่บ่อยครั้งสภาวะแบบนี้ถูก ‘จัดตั้ง’ ขึ้นมากึ่งทางการ จนกลายเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะยอมรับกันได้ไปเสียแล้ว ภายใต้คำเก๋ๆ อย่าง ‘บ้านใหญ่’ ซึ่งโดยเนื้อแท้ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากระบบอุปถัมภ์ที่บ่อยหนมีการฉ้อฉลฝังอยู่ข้างใต้อย่างเนียนตา
"มนุษย์โบราณสมัยที่ยังเป็น ‘ลิงต้นแบบ’ ของมนุษย์อยู่ ก็ใช้ประโยชน์จากลัทธิเกื้อหนุนคนโปรดนี่แหละ ในการ ‘เอาตัวรอด’ จนทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน"
@@@@@@@
ลัทธิเกื้อหนุนคนโปรดที่ว่านี้ บางคนมองว่าเป็นการ ‘ช่วยเหลือ’ เจือจานสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง จึงไม่ได้เป็นเรื่องอันตรายอะไรนักหนา ซึ่งต้องบอกคุณว่า มุมมองแบบนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกตินะครับ แต่มันเป็นเรื่องที่ ‘ฝังราก’ ลึกลงไปในวิวัฒนาการของมนุษย์ด้วย
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ - มนุษย์โบราณสมัยที่ยังเป็น ‘ลิงต้นแบบ’ ของมนุษย์อยู่ ก็ใช้ประโยชน์จากลัทธิเกื้อหนุนคนโปรดนี่แหละ ในการ ‘เอาตัวรอด’ จนทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน!
ถ้ามองจากมุมของวิวัฒนาการ นักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่า ลัทธิเกื้อหนุนคนโปรดอาจจะเป็น ‘การปรับตัว’ ที่วิวัฒนาการในมนุษย์เพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่รอดได้ และมีการสืบพันธุ์ที่ประสบความสำเร็จในหน่วยระดับครอบครัว (family unit) เรียกว่า Kin selection หรือการคัดเลือกหรือ ‘ช่วยเหลือ’ ญาติมิตรหรือเผ่าพันธุ์ตัวเองก่อนคนอื่น
ซึ่งโดยเนื้อแท้ก็คือการคัดเลือก ‘พันธุกรรมร่วม’ (shared genes) ที่อีกฝ่ายหนึ่งมีเหมือนกับตัวเอง เพื่อให้พันธุกรรมแบบนี้ดำเนินต่อไปได้นั่นเอง เช่น ถ้าเสือจะมาคาบมนุษย์ไปกิน คนจะเลือกช่วยเหลือญาติมิตรของตัวเองก่อนคนแปลกหน้าเสมอ และเรื่องนี้ก็ฝังอยู่ในพันธุกรรมของเรามาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง นักประสาทศาสตร์ก็ศึกษากลไกการทำงานของสมองในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเลือกท่ีรักมักที่ชัง มีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Social Neuroscience ที่ใช้การสแกนสมองแบบ fMRI (Functional Magnetic Resonance Imaging) เพื่อดูว่าสมองของคนเลือกที่รักมักที่ชัง ทำงานอย่างไร และพบว่า
ผู้เข้าร่วมการทดลองที่เลือก ‘เอื้อประโยชน์’ ให้แก่พวกพ้องหรือญาติของตัวเองนั้น จะมีการทำงานของสมองที่ถูกกระตุ้นแตกต่างไปจากคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้คนแปลกหน้าก่อนญาติมิตร โดยสมองส่วนที่จะทำงานมากกว่าก็คือสมองส่วนที่เรียกว่า Medial Prefrontal Cortex ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ทางสังคมและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ตัวตนของตัวเราเอง
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Business and Psychology ที่ศึกษาถึงบทบาทของพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจในงานและการเลือกที่รักมักที่ชังอีกงานหนึ่ง ซึ่งผู้วิจัยพบว่า คนที่มีพันธุกรรมเหมือนกันกับหัวหน้างานมากกว่า (เช่น เป็นญาติของหัวหน้างาน) มักจะถูกประเมินจากหัวหน้างานว่าทำงานได้เป็นที่พึงพอใจ มากกว่าคนที่มีพันธุกรรมแตกต่างกันมากๆ
– อย่างไรก็ตาม ต้องบอกด้วยว่างานวิจัยนี้ ศึกษาเฉพาะในกลุ่มคนที่เห็นว่าการเลือกที่รักมักที่ชังหรือการเกื้อหนุนญาติมิตรของตัวเองเป็นเรื่องที่ยุติธรรมนะครับ พูดอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ศึกษาเฉพาะในกลุ่มคนที่ไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร
@@@@@@@
มีอีกการศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจเหมือนกัน เป็นการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Management ซึ่งไปสำรวจเรื่องของ ‘วัฒนธรรมองค์กร’ กับการเลือกที่รักมักที่ชัง เขาพบว่า องค์กรที่มีวัฒนธรรมแบบ ‘รวมหมู่’ (collectivistic) มากกว่า (เช่น องค์กรใหญ่ๆ ที่ทำให้คนทำงานกลายเป็นเหมือน ‘มดงาน’ ที่ร่วมกันทำงานโดยมีตัวตนแบบปัจเจกน้อย) พบว่ามักจะมีความเห็นเชิงบวกกับการเลือกที่รักมักที่ชังมากกว่า ในขณะที่องค์กรแบบปัจเจกนิยม (individualistic) จะมีทัศนคติในการทำงานเชิงลบกับการเลือกที่รักมักที่ชังมากกว่า
"องค์กรที่มีวัฒนธรรมแบบ ‘รวมหมู่’ (collectivistic) มากกว่า (เช่น องค์กรใหญ่ๆ ที่ทำให้คนทำงานกลายเป็นเหมือน ‘มดงาน’ ที่ร่วมกันทำงานโดยมีตัวตนแบบปัจเจกน้อย) พบว่ามักจะมีความเห็นเชิงบวกกับการเลือกที่รักมักที่ชังมากกว่า ในขณะที่องค์กรแบบปัจเจกนิยม (individualistic) จะมีทัศนคติในการทำงานเชิงลบกับการเลือกที่รักมักที่ชังมากกว่า"
งานวิจัยต่างๆ เหล่านี้มีรายละเอียดยิบย่อยเยอะนะครับ ที่เอามาเล่าให้ฟังนี่เป็นแบบย่นย่อ และยังไม่สามารถนำไปใช้ ‘ตัดสิน’ ได้แบบเป๊ะๆ หรืออ้างอิงแบบที่เป็นเหตุเป็นผล (causation) ระหว่างกันได้นะครับ เพราะสิ่งที่ค้นพบนั้น ถือว่าเป็น ‘สหสัมพันธ์’ (correlation) ระหว่างกันเท่านั้น
แต่สรุปได้ว่า การเลือกที่รักมักที่ชังนั้น เป็นผลพวงของวิวัฒนาการของมนุษย์ ทำให้เกิดกลไกทางสมองของเราที่ในบางคนก็ยังรองรับวิธีคิดแบบดั้งเดิมอยู่ โดยมี ‘วัฒนธรรม’ เข้ามาเป็นส่วนเสริมสำคัญด้วย
คุณล่ะครับ - คิดอย่างไรกับการเลือกที่รักมักที่ชัง
ชอบหรือไม่ชอบ และมันเอื้อประโยชน์หรือโทษให้กับคุณและสังคมโดยรวมมากกว่ากัน
อ่านเพิ่มเติม :-
- Singh, S. K., & Rhoads, G. K. (2013). The influence of nepotism on organizational citizenship behavior, job satisfaction, and organizational commitment, Journal of Management
- Anderson, C., & Kilduff, G. J. (2009). The pursuit of status in social groups, Psychological ScienceThank to :
https://plus.thairath.co.th/topic/spark/102943Thairath Plus › Spark › Lifestyle | 24 มี.ค. 66 | creator โตมร ศุขปรีชา