ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิทยาศาสตร์ของ ‘ความกลัว’  (อ่าน 1008 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
วิทยาศาสตร์ของ ‘ความกลัว’
« เมื่อ: มีนาคม 26, 2023, 07:02:38 am »
0




วิทยาศาสตร์ของ ‘ความกลัว’

Summary

    - Small Science เป็นคอลัมน์ชวนอ่านฆ่าเวลาของ โตมร ศุขปรีชา ว่าด้วยเกร็ดความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์เล็กๆ น้อยๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกสรรพสิ่งรอบตัวเรา จากสสาร สิ่งประดิษฐ์ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตในกิจวัตรประจำวันของมนุษย์

    - สำหรับสัปดาห์นี้ โตมรเล่าถึงวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลัง ‘ความกลัว’ ที่เป็นเรื่องซับซ้อน แถมยังเป็นอารมณ์ที่ ‘ทรงพลัง’ อย่างแรงในตัวของมนุษย์เรา เพราะมันคืออารมณ์พื้นฐานที่ช่วยให้เรามีชีวิตรอด และวิวัฒนาการมาได้จนถึงปัจจุบัน




Illustration: Nuttal-Thanatpohn Dejkunchorn

เวลาพูดถึง ‘ความกลัว’ หลายคนอาจจะนึกว่า กลัวก็คือกลัว กลัวน่าจะมีอยู่แค่แบบเดียวไม่เกี่ยวกับใคร แต่เอาเข้าจริง ความกลัวนั้นซับซ้อนมาก มันเป็นทั้งเรื่องของ ‘อารมณ์’ (Emotion) ที่ถ้าไปนั่งดู ‘วงล้ออารมณ์’ หรือ Wheel of Emotions ของนักจิตวิทยาชื่อดังผู้เขียนเรื่องเกี่ยวกับ ‘ทฤษฎีอารมณ์’ อย่าง คุณโรเบิร์ต พลุตชิก (Robert Plutchik) แล้ว เราจะพบเลยว่า ความกลัวนั้นซับซ้อนเอามากๆ เพราะมันสามารถผสมผสานกับอารมณ์อื่นๆ จนเกิดเป็น ‘อารมณ์ย่อย’ ขึ้นมาได้มากมายหลายหลาก

บ่อยครั้งเลยที่เราสับสนระหว่าง ‘ความกลัว’ กับ ‘ความเกลียด’ จนคิดว่า สองอย่างนี้เป็นเรื่องเดียวกัน และอาจเผลอคิดด้วยซ้ำว่า ‘ความกลัว’ ไม่มีทางเป็นเรื่องเดียวกับ ‘ความรัก’ (หรืออีกคำหนึ่งที่ตรงกว่า ก็คือ ‘ความจงรัก’ หรือความซื่อสัตย์ภักดีที่เกิดจากความกลัว) ได้ เพราะมันดูเป็นขั้วตรงข้ามกันจะตายไป

แต่มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้

คุณโรเบิร์ตแบ่งอารมณ์ของเราออกเป็น ‘อารมณ์หลัก’ แปดอย่าง จะว่าไปก็คล้ายๆ กับ ‘แม่สี’ นั่นแหละครับ แล้วมันค่อยมาผสมผสานกันจนเกิดเป็นสีต่างๆ ได้หลากหลายทีหลัง

อารมณ์หลักแปดอย่างที่ว่านี้ เขาจะแบ่งเป็น ‘ขั้วตรงข้าม’ อยู่สี่คู่ ได้แก่ ความสุข (Joy) ตรงข้ามกับความเศร้า (Sadness), ความโกรธ (Anger) ตรงข้ามกับความกลัว (Fear), ความไว้วางใจ (Trust) ตรงข้ามกับความขยะแขยง (Disgust) และความประหลาดใจ (Surprise) ตรงข้ามกับการเฝ้ารอหรือคาดหมาย (Anticipation)

โดยเขาบอกว่า อารมณ์พวกนี้ มันเกิดจาก ‘การรับรู้’ หรือ Cognition ในสมองของเรา คือเรารับรู้ว่าสิ่งนั้นๆ คืออะไร แล้วเราก็จะตอบสนองออกมาเป็นอารมณ์ต่างๆ

ตัวอย่างเช่น ถ้าเรารับรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเราเป็นเรื่องที่ ‘คุกคาม’ (Threat) เรา ทำให้เราเกิดอันตรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงอาจเกิด ‘ความกลัว’ ขึ้นมา ผลที่เกิดจากความกลัวมักจะเป็นอาการ Flee หรือการหนี

@@@@@@@

ความโกรธนั้น แท้จริงเกิดการรับรู้คล้ายกันกับความกลัวมาก แต่เรารู้สึกว่าเรา ‘จัดการ’ กับมันได้ สิ่งนั้นๆ จึงไม่ได้เป็น Threat หรือมาคุกคามเรามากเท่ากับเป็นแค่ ‘อุปสรรค’ หรือสิ่งที่มาขัดขวางเรา (Obstacle) เท่านั้นเอง พอมีอะไรมาขัดขวางเรา เราก็จะโกรธ แล้วแสดงอาการ Fight หรือสู้

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอาการ Flee หรือ Fight ก็ล้วนมีที่มาจากการทำงาานของสมองคล้ายๆ กัน แต่ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ถ้าเรากลัว เราก็จะป้องกัน แต่ถ้าเราโกรธ (หรือเกลียด) เราก็จะทำลาย

    "ความกลัวเป็นอารมณ์ที่ ‘ทรงพลัง’ อย่างแรงในตัวของมนุษย์เรา เพราะมันคืออารมณ์พื้นฐานที่ช่วยให้เรามีชีวิตรอด และวิวัฒนาการมาได้จนถึงปัจจุบัน มันจึง ‘ฝัง’ อยู่ในพันธุกรรมและสมองของเราอย่างแนบแน่น ลึกลงไปในสมองส่วนที่เก่าแก่"

แล้วนี่แค่เป็นเรื่องของความกลัวกับความโกรธ (หรือเกลียด) ที่แรงๆ ในระดับ ‘แม่สี’ เท่านั้นนะครับ มันยังสามารถซับซ้อนได้มากขนาดนี้ ถ้าลองนึกดูว่าอารมณ์พวกนี้มันไปผสมปนเปกันล่ะ มันจะยิ่งซับซ้อนได้ขนาดไหน

ดังนั้น การจะ ‘แยกแยะ’ ให้ได้ว่าตอนนี้เรากำลัง ‘รู้สึก’ หรือ ‘มีอารมณ์’ อะไรอยู่ - ถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเอาเสียเลย และบ่อยครั้งยิ่งกว่า ที่เราจะ ‘ไม่รู้ตัว’ ว่าเรากำลังเกิดอารมณ์อะไร จนกระทั่งเรามีพฤติกรรมแสดงออกออกไปแล้ว และส่งผลลัพธ์สุดท้ายออกไปแล้วนั่นแหละ เราถึงเพิ่งจะมารับรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร

ด้วยเหตุนี้ ในทางพุทธศาสนาถึงได้สอนให้เรา ‘รู้ตัวทั่วพร้อม’ เอาไว้เสมอ เพราะถ้าเรารู้ตัวทั่วพร้อม เราก็จะ ‘แยกแยะ’ อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจาก ‘การรับรู้’ หรือ Cognition ของเราได้ละเอียด และเมื่อเห็นถึงตัวต้นเหตุ ตัวกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกนั้นๆ ขึ้นมาแล้ว เราก็จะ ‘รู้เท่าทัน’ ว่าเราจะมีพฤติกรรมอย่างไร และผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ซึ่งหากผลลัพธ์มันไม่พึงปรารถนา เราก็สามารถจะย้อนกลับไประงับที่ตัว ‘การรับรู้’ ตั้งต้นของเราได้นั่นเอง

@@@@@@@

ที่ว่ามานี้เป็นอารมณ์รวมๆ เปรียบเทียบความกลัวกับความโกรธนะครับ แต่ถ้าเจาะลึกลงมาถึงเฉพาะความกลัวแล้ว เราจะพบว่าแค่ความกลัวเองก็แบ่งออกได้หลายแบบมากเลย

ความกลัวเป็นอารมณ์ที่ ‘ทรงพลัง’ อย่างแรงในตัวของมนุษย์เรา เพราะมันคืออารมณ์พื้นฐานที่ช่วยให้เรามีชีวิตรอด และวิวัฒนาการมาได้จนถึงปัจจุบัน มันจึง ‘ฝัง’ อยู่ในพันธุกรรมและสมองของเราอย่างแนบแน่น ลึกลงไปในสมองส่วนที่เก่าแก่

จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเราจะกลัวแมงมุม กลัวงู หรือกลัวความสูง สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เรา ‘รอดชีวิต’ มาได้ทั้งนั้น และมันก็ค่อยๆ สั่งสมอยู่ในพันธุกรรมของเรา ความกลัวจึงมีประโยชน์ และสามารถแสดงออกมาได้หลากหลายวิธีในชีวิต




สมองส่วนหนึ่งที่รับผิดชอบเรื่องความกลัวเป็นหลัก คือสมองส่วนที่เรียกว่า ‘อะมิกดาลา’ (Amygdala) ซึ่งอยู่หลังต่อมใต้สมอง และมีอยู่ที่สองซีกของสมอง โดยกระบวนการทำงานของสมองในเรื่องความกลัวก็คล้ายๆ อารมณ์ความรู้สึกเรื่องอื่นๆ นั่นคือร่างกายจะรับรู้โลกผ่าน ‘ผัสสะ’ ต่างๆ แล้วตีความออกมาเป็น ‘ข้อมูล’ (Sensory Data) ส่งมาที่สมอง โดยธาลามัส (Thalamus) จะรวบรวมข้อมูลพวกนี้ แล้วส่งต่อไปยังสมองส่วนคอร์เท็กซ์ (Sensory Cortex) ซึ่งคอร์เท็กซ์จะจัดการข้อมูล แล้ว ‘ส่ง’ ข้อมูลไปหลายๆ ที่พร้อมๆ กัน เช่น ส่งไปยังไฮโปธาลามัส, อะมิกดาลา หรือฮิปโปแคมปัส

ซึ่งแต่ละส่วนก็จะทำงานในเรื่องต่างๆ ร่วมกัน เช่น ฮิปโปแคมปัสจะเข้าไปวุ่นวายเรื่องความทรงจำของเรา แต่ในภาพรวม อะมิกดาลาจะเป็นโครงสร้างที่ทำงานเรื่องความกลัว และมันอาจทำให้เราตอบสนองต่อความกลัวโดยการส่งสัญญาณกลับไปยังไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) แล้วไปกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเธติก (Sympathetic) ทำให้เกิด ‘แพทเทิร์น’ การตอบสนองต่อความกลัวนั้นแบบ ‘สู้หรือหนี’ ก็ได้ ความเข้มข้นของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจึงอาจแตกต่างกัน หรือเกิดได้เป็นระลอกๆ

ในระดับที่มีวิวัฒนาการสูงขึ้นมาอีกหน่อย สมองส่วนหน้าจะเข้าร่วมด้วยช่วยกัน โดยประมวลประเมินว่าเราเอาชนะได้ไหม เป็นความกลัวที่เราจัดการได้ไหม เป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงหรือเปล่า (บางทีเราอาจเห็นอะไรคล้ายๆ งูแล้วสะดุ้งกลัว แต่พอเห็นว่าไม่ใช่งูจริง ก็อาจหายกลัวได้ เป็นต้น) ถ้าไม่น่ากลัวขนาดนั้น เราก็จะสู้ แล้วความกลัวก็จะกลายเป็นความโกรธ แต่ถ้าประเมินแล้วแพ้แน่ๆ สมองก็จะส่งสัญญาณกลับมาที่อะมิกดาลาและไฮโปธาลามัส ทำให้การตอบสนองต่อความกลัวนั้นดำเนินต่อไป

เวลาเรากลัว (แบบไม่ได้โกรธ) ร่างกายจะตอบสองสองแบบใหญ่ๆ คือ ‘หนี’ หรือไม่ก็ ‘ตัวแข็งทื่อ’ ขยับตัวไม่ได้ (Immobility) ไปเลย ซึ่งทั้งสองรูปแบบส่วนสำคัญที่ทำให้ภัยคุกคามมาไม่ถึงตัวเราด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะในกรณีเผชิญกับสัตว์ผู้ล่า

@@@@@@@

คำถามก็คือ แล้วเรา ‘กลัว’ อะไรบ้าง

สิ่งที่กระตุ้นให้เรากลัว (Fear Stimuli) นั้น มีผู้แบ่งออกเป็นสามหรือสี่กลุ่มใหญ่ๆ คือ ‘ความเจ็บปวด’ (Pain), สิ่งที่แปลกประหลาดหรือแปลกใหม่ไม่คุ้นเคย (Novelty) และความรู้สึกผิดหวังขัดข้องไม่พึงพอใจ (Frustration) บางคนนับรวมสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิดด้วย เช่น จู่ๆ ก็มีอะไรปลิวหวือเข้ามาในคลองจักษุของเรา เราก็จะผงะหลบ แบบนี้เรียกว่า Intensity

ความกลัวที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เป็นความกลัวแบบ ‘พื้นฐาน’ หรือเบสิกๆ คือแทบจะเป็นความกลัวที่เป็นสากลจักรวาลเอามากๆ แต่ในมนุษย์ ยังมีอารมณ์ที่สัมพันธ์กับความกลัวอยู่อีกสองแบบ แบบหนึ่งคือความกังวลหรือกระวนกระวายใจ เรียกว่า Anxiety ซึ่งไม่เหมือนความกลัวแบบ Fear ที่ตอบสนองต่อสิ่งคุกคาม ณ เวลานั้นๆ แต่ความกังวลใจคือการตอบสนองต่อสิ่งที่เราคาดหมายเอาไว้ เชื่อว่ามันพัฒนาขึ้นมาตามความซับซ้อนของวิวัฒนาการเหมือนกัน สัตว์ที่ไม่สามารถ ‘คาดหมาย’ เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ จะไม่ค่อยกลัวอะไร แต่มนุษย์เราที่มีจิตประหวัด ขุดความทรงจำขึ้นมาเป็นตัวตั้ง บางทีก็คาดเดาไปล่วงหน้าว่า ถ้าเดินอยู่บนถนนที่คนเยอะๆ อาจถูกล้วงกระเป๋าได้ อะไรทำนองนั้น

    "สัตว์ที่ไม่สามารถ ‘คาดหมาย’ เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ จะไม่ค่อยกลัวอะไร แต่มนุษย์เราที่มีจิตประหวัด ขุดความทรงจำขึ้นมาเป็นตัวตั้ง บางทีก็คาดเดาไปล่วงหน้าว่า ถ้าเดินอยู่บนถนนที่คนเยอะๆ อาจถูกล้วงกระเป๋าได้ อะไรทำนองนั้น"

ในกรณีของความกังวลแบบ Anxiety นี้ จะเป็นความกลัวที่สมองส่วนคอร์เท็กซ์ โดยเฉพาะ Prefrontal Cortex เข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก แต่ถ้ามันทำงานมากเกินไป ก็อาจเกิดความผิดปกติจนกลายเป็น Anxiety Disorder ได้เหมือนกัน คือกังวลหรือหวาดระแวงไปหมด

ความกลัวอีกแบบหนึ่งที่เราได้ยินบ่อยๆ ในโลกสมัยใหม่ คือความกลัวแบบ ‘โฟเบีย’ (Phobia) อันนี้เป็นความกลัวที่นักวิจัยเชื่อว่าเป็นผลพวงมาจาก ‘การสร้างเงื่อนไข’ ในวัยเด็ก เช่น เคยถูกแมงมุมกัดตอนเด็กๆ แล้วกลัวมากจนฝังลึก ก็อาจเป็นโรคกลัวแมงมุม หรือ Arachnophobia ขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับความกลัวอื่นๆ เช่น กลัวแตงโม กลัวความสูง กลัวน้ำ ฯลฯ

ความกลัวจึงเป็นเรื่องซับซ้อน แถมยังเป็นอารมณ์ในแง่ลึกที่สามารถก่อตัวขึ้นได้โดยเราไม่รู้ตัว

การรู้จัก ‘แยกแยะ’ อารมณ์ของเราให้ได้ รู้ตัวว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร เพราะอะไร จึงเป็นทักษะที่สำคัญมากในการมีชีวิตอยู่ในสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้






Thank to : https://plus.thairath.co.th/topic/spark/102850
Thairath Plus › Spark › Science & Tech | 3 มี.ค. 66 | creator : โตมร ศุขปรีชา
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ