ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ศุกร์ (สุข) ละวัด เที่ยวชม ‘วัดบูรพาราม’ ต้นกำเนิดสาย ‘วิปัสสนากรรมฐาน’ อีสาน  (อ่าน 1234 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




ศุกร์ (สุข) ละวัด เที่ยวชม ‘วัดบูรพาราม’ ต้นกำเนิดสาย ‘วิปัสสนากรรมฐาน’ อีสาน

วัดบูรพาราม ตั้งอยู่ที่ถนนบูรพาใน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ถือเป็นวัดต้นกำเนิดของสายวิปัสสนากรรมฐานแบบอีสาน ด้วยว่ามีพระอาจารย์สีทา ชัยเสโน ผู้เป็นพระอาจารย์ของพระสงฆ์สายนี้ มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่เป็นประจำ

ภายในวัดมีงานสถาปัตยกรรมท้องถิ่นให้เรียนรู้นั่นคือ หอไตรคู่ ซึ่งเป็นหอไม้ทรงสูง 2 หลัง ที่สร้างไว้คู่กัน ใช้สำหรับเก็บคัมภีร์ หรือพระไตรปิฎก และมีสิมเก่าที่ยังหลงเหลือไว้ให้ศึกษางานสถาปัตยกรรมท้องถิ่น และเป็นที่ประดิษฐานของพระบูรพาจารย์ 5 รูป

วัดบูรพาราม เป็นวัดที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของเมืองอุบล ด้วยว่าพระอาจารย์สีทา ชัยเสโนจากวัดศรีอุบลรัตนารามหรือวัดศรีทอง และวัดเลียบนั้นจะมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ที่ป่าทางทิศตะวันออกของเมืองเป็นประจำ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์ในสมัยนั้น ทรงมีศรัทธาในพระอาจารย์สีทา ชัยเสโน มาก จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานของเมืองอุบลไปถางป่าออก และสร้างวัดขึ้น โดยให้นามว่า วัดบูรพาราม เป็นสำนักของพระอาจารย์สีทา ชยเสโน แต่นั้นมา

พระอาจารย์สีทา ชัยเสโนนี้ เป็นพระอาจารย์ของพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล และพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ก็เป็นพระอาจารย์ ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก็เป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่ขาว หลวงปู่สิงห์ หลวงปู่แหวน หลวงปู่ดุล และพระอาจารย์ฝั่น อาจาโรวัดบูรพารามจึงเป็นวัดต้นกำเนิดสายวิปัสสนากรรมฐานแบบอีสาน




ปัจจุบันทางวัดบูรพารามได้สร้างรูปหล่อเหมือนพระอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน 5 รูปไว้ เพื่อให้ลูกหลานได้กราบไหว้บูชา เพื่อเป็นสิริมงคล ประดิษฐานอยู่ที่สิมเก่าซึ่งเป็นฝีมือการก่อสร้างของพระอาจารย์สีทา ชัยเสโน และอาจารย์เสาร์ กันตสีโล รูปหล่อพระบูรพาจารย์ที่สร้างขึ้นได้แก่ พระอาจารย์สีทา ชัยเสโน พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระญาณวิศิษย์ และพระสิทธรรมรังสีคัมภีร์เมธาจารย์ (สี ธัมมธโร)



สิมวัดบูรพาราม เป็นสิมแบบอีสานแท้ สันนิษฐานว่าจะเป็นสิมรุ่นเดียวกับสิมวัดป่าใหญ่ หรือวัดมหาวนาราม เดิมคงเป็นสิมโปร่ง แต่ต่อมาภายหลังได้ก่อผนังต่อขึ้นถึงชายคา ซึ่งดูจากความแตกต่างในการก่อสร้างคือ ฐานเดิมก่อด้วยอิฐฉาบปูนประกาย ผนังก่ออิฐเตี้ย ๆ สูงราว 60 เซนติเมตร



ต่อจากนั้นใช้ไม้ตีเป็นโครงขึ้นไปถึงชายคา แล้วใช้ดินเหนียวผสมแกลบพอกกับไม้ แล้วจึงฉาบปูนทับอีกชั้น ผนังด้านข้างเจาะเป็นหน้าต่างข้างละ 2 ช่อง (ไม่มีบานหน้าต่าง แต่ใช้ไม้โครงผนังเป็นลูกกรงแทน)

ตรงผนังหลังพระประธานเป็นช่องกลมด้านละช่อง ส่วนผนังด้านหลังก่อทึบเจาะเป็นช่องกลม 4 ช่องลักษณะที่เหลืออยู่ เป็นฐานเอวขันธ์แบบปากพาน มีบันไดขึ้นทางด้านหน้า ฐานชุกชีก่อเป็นแท่งยาวตลอดแนว โครงหลังคาเดิมหักพังลงหมดแล้ว ทางวัดจึงได้ทำหลังคาใหม่คลุมไว้




หอไตรวัดบูรพาราม เป็นหอบก หรือหอไตรที่สร้างบนบก ลักษณะอาคารเป็นเรือนไม้ 2 หลังคู่กัน แต่ละหลังเป็นเรือนแบบ 3 ห้อง ยกพื้นสูงด้วยเสากลม หลังละ 8 ต้น มีชานเชื่อมอาคารทั้ง 2 หลัง(ปัจจุบันชานได้หักพังลงหมดแล้ว)

อาคารหลังทางทิศใต้ฝีมือประณีตมาก ฝาผนังอาคารเป็นแบบก้างปลา ไม้พรึงแกะสลักเป็นลวดลายกระจังกลีบบัวรอบอาคาร และไม้ลายเท้าสิงห์รองรับกรอบหน้าต่าง หลังคาทรงจั่วมุงแป้นไม้หน้าบันกรุไม้รูปรัศมีพระอาทิตย์ เชิงชายมีไม้ฉลุโดยรอบ ส่วนอาคารหลังทิศเหนือ ฝีมือการก่อสร้างหยาบกว่าทางทิศใต้ โดยเฉพาะลวดลายผนัง และการตกแต่งกรอบหน้าต่าง




การสร้างหอไตรนี้มาจากพื้นฐานความเชื่อเรื่องการนับถือศาสนาพุทธ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการสร้างคือ เพื่อเป็นที่เก็บหนังสือใบลาน ตัวแทนของพระธรรมคำสอนเป็นของสูง ที่ต้องกราบไหว้บูชาหอไตรจึงเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ในทัศนคติของชาวบ้าน



วิหารวัดบูรพาราม เดิมสร้างเป็นศาลาการเปรียญขึ้นในปี 2458 ซึ่งบริเวณที่สร้างนี้ เคยเป็นสถานที่สร้างเมรุเผาศพของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เมื่อเผาศพเสร็จแล้ว จึงได้สร้างศาลาการเปรียญขึ้น แต่ต่อมาได้เกิดไฟไหม้ พระครูอมรวิสุทธิ์ (แดง อมโร) จึงได้สร้างวิหารหลังใหม่ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะนำรูปหล่อของบูรพาจารย์ 5 รูปมาประดิษฐานไว้









Thank to : https://www.thebangkokinsight.com/news/lifestyle/travel/1091577/
โดย PRASERT THEPSRI | 28 เมษายน 2566
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ