ไขข้อข้องใจ “วุ้นตาเสื่อม”“วุ้นตา” เป็นส่วนประกอบในลูกตาของคนเรา ในช่วงที่ยังอายุน้อยๆ วุ้นตาก็จะมีลักษณะเป็นเจล ซึ่งมีหน้าที่ในการคงภาวะลูกตาไว้
ส่วนประกอบหลักของวุ้นตา คือ น้ำ คอลลาเจนและไฮยาลูรอนิค แอซิด แต่เมื่ออายุมากขึ้นความเป็นวุ้นก็จะลดลง มีความเป็นน้ำมากขึ้น คอลลาเจนมีการหดตัว ส่งผลให้วุ้นตาเหลว และเป็นที่มาของวุ้นตาเสื่อมนั่นเอง
สาเหตุหลักของการเกิดวุ้นตาเสื่อม คือ อายุที่เพิ่มมากขึ้น ประมาณ 50 ปีขึ้นไป วุ้นตาก็จะเริ่มมีความเสื่อม ในกลุ่มคนที่สายสั้นตามากๆ อาจจะพบวุ้นตาเสื่อมได้ตั้งแต่อายุประมาณ 30-40 ปี กลุ่มคนที่ได้รับการผ่าตัดตามาก่อน กลุ่มคนที่เคยได้รับการกระทบกระเทือนเกี่ยวกับดวงตามาก่อน ก็จะมีโอกาสวุ้นตาเสื่อมได้เร็วกว่าคนทั่วไป และกลุ่มคนที่เคยมีอาการอักเสบของดวงตาเป็นๆ หายๆ ก็จะกระตุ้นให้วุ้นตาเสื่อมได้เช่นกัน
อุบัติการณ์ของวุ้นตาเสื่อม พบได้ร้อยละ 20-25 ในกลุ่มคนอายุ 50 ปีขึ้นไป และพบเพิ่มขึ้นในคนที่อายุมากขึ้นเรื่อยๆ โดยอายุ 80 ปีขึ้นไป พบได้มากถึงร้อยละ 80-90
อาการของวุ้นตาเสื่อม คนไข้จะมองเห็นจุดดำลอยไปลอยมา หรือเห็นเป็นลักษณะใยลอยไปลอยมา คล้ายยุงหรือลูกน้ำ เวลามองไปทางไหน จุดนี้ก็จะตามไปด้วย หรือบางกลุ่มก็จะเห็นเป็นแสงฟ้าแลบ หรือแสงแฟลชของกล้องถ่ายรูปมาจากด้านข้างของภาพ เป็นทั้งเวลากลางวันและกลางคืน หรือในคนไข้บางรายก็อาจจะเกิดร่วมกันทั้ง 2 อาการ
แพทย์สามารถวินิจฉัยภาวะวุ้นตาเสื่อมได้โดยการหยอดตาขยายม่านตา เพื่อตรวจหาความผิดปกติของจอประสาทตา เนื่องจากอาการมองเห็นจุดดำหรือเห็นแสงแฟลชในตา อาจจะเป็นอาการเริ่มต้นของโรคอื่นๆ เช่น การมีเลือดออกในน้ำวุ้นตา มีรูฉีกขาดที่จอประสาทตา เป็นต้น ซึ่งหากตรวจพบภาวะที่กล่าวมานี้ จะต้องมีการรักษาเพิ่มเติม ทั้งนี้ หากคนไข้ไม่ได้มารับการวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มต้น ก็จะส่งผลให้มีภาวะจอประสาทตาลอก และสูญเสียการมองเห็นได้ในที่สุด
ส่วนตัววุ้นตาเสื่อมเอง ไม่ได้มีอันตรายที่น่ากังวล หรือทำให้สูญเสียการมองเห็น เพียงแต่สร้างความรำคาญให้คนไข้ เพราะมองเห็นจุดดำลอยไปมาอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายก็จะสามารถปรับตัว ทำให้เห็นจุดลอยไปมาน้อยลง ยกเว้นเวลาที่มองไปที่ท้องฟ้าสว่าง ๆ หรือห้องที่มีเพดานสีขาว ก็จะสังเกตเห็นจุดดำนั้นได้ชัดเจนขึ้น และเนื่องจากภาวะวุ้นตาเสื่อม เป็นโรคที่เป็นความเสื่อมของร่างกาย จึงไม่มีทางรักษาให้หายขาด และไม่สามารถป้องกันได้
คนไข้ที่ไม่เคยได้รับการตรวจตามาก่อนแล้วหากพบว่าตนเองมีอาการดังที่กล่าวไปข้างต้น ก็ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและรักษา เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของจอประสาทตาฉีกขาด ซึ่งเป็นอันตรายต่อการมองเห็นในอนาคต รวมถึงคนที่มีภาวะสายตาสั้นมากๆ และผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ก็ควรพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจตาปีละ 1 ครั้ง หากพบความผิดปกติใดๆ จะได้รักษาได้ทันกาล
ขอขอบคุณ :-
แหล่งข้อมูล : อ.พญ.ธิติพร ทองบริสุทธิ์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
URL :
https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/26903865 พ.ค. 2566 05:25 น. | คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี