ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เมืองอโยธยา ต้นกำเนิดภาษาไทย มีรากเหง้า 3,000 ปีมาแล้ว โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ  (อ่าน 965 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ภาษาไทยและคนไทยมีกำเนิดในเมืองอโยธยาบริเวณสถานีรถไฟอยุธยา ที่จะสร้างรถไฟความเร็วสูง [แผนที่พระนครศรีอยุธยาปัจจุบัน แสดงบริเวณเกาะเมืองและพื้นที่นอกเกาะเมืองโดยรอบ ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองโบราณ 2 เมือง ทับซ้อนกัน ได้แก่ (ขวา) อโยธยา (เมืองเก่า) สถาปนาราว พ.ศ. 1600 และ (ซ้าย) อยุธยา (เมืองใหม่) สถาปนาราว พ.ศ. 1893 (แผนที่ฯ ของกรมศิลปากร พ.ศ. 2558)]


เมืองอโยธยา ต้นกำเนิดภาษาไทย มีรากเหง้า 3,000 ปีมาแล้ว

ภาษาไทยมีรากเหง้าเก่าแก่ 3,000 ปีมาแล้ว เรื่องนี้มีผู้ติดตามความเป็นไทยจำนวนหนึ่งข้องใจ-ไม่น่าเชื่อ

ก่อนอื่น ต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่าภาษาไทย หมายถึงภาษาพูด (ไม่ใช่ภาษาเขียน) เป็นภาษาตระกูลไท-กะได หรือไท-ไต ที่ผสมกลมกลืนภาษาตระกูลต่างๆ ในรัฐอโยธยา บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ มอญ-เขมร, ชวา-มลายู, ลาว, บาลี-สันสกฤต ฯลฯ เช่น

ทองคำ เป็นภาษาไทย มาจาก ทอง เป็นภาษามอญ-เขมร ส่วน คำ เป็นภาษาลาว

โจรสลัด เป็นภาษาไทย มาจาก โจร เป็นภาษาบาลี-สันสกฤต ส่วนคำ สลัด เป็นภาษามลายู

โขนละคร เป็นภาษาไทย มาจาก โขล เป็นภาษาทมิฬ (อินเดียใต้) ส่วน ละคร  เป็นภาษามลายู

ก่อนสมัยรัฐอโยธยาไม่เรียกภาษาไทย แต่เรียกตามชื่อชาติพันธุ์นั้นๆ เช่น ภาษาลาวของกลุ่มลาว, ภาษาลื้อของกลุ่มลื้อเป็นต้น ดังนั้นจะรวบรวมหลักฐานอย่างรวบรัด ดังนี้

@@@@@@@

​(1.) ภาษาไทยที่เป็นภาษาพูด (ไม่ใช่ภาษาเขียน) มีถิ่นกำเนิดบริเวณพื้นที่ต่อเนื่องข้ามเส้นเขตแดนระหว่างมณฑลกวางสีของจีน และเมืองเดียนเบียนฟู (เมืองแถน) ของเวียดนาม ตามงานวิจัยค้นคว้าของ วิลเลียม เกดนีย์ ปรมาจารย์ทางภาษาศาสตร์นานาชาติที่เชี่ยวชาญภาษาตระกูลไท-กะได หรือไท-ไต เป็นที่ยอมรับนับถือทั่วโลก (อ้างในบทความเรื่อง “ประวัติศาสตร์สมัยก่อนไทยเข้ามาในเอเซียอาคเนย์” ของ ศ. ดร. ประเสริฐ ณ นคร ในหนังสือ คนไทยอยู่ที่ไหนบ้าง? สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2530)

มณฑลกวางสีของจีนกับเมืองเดียนเบียนฟู (เมืองแถน) ของเวียดนาม เป็นพื้นที่ต่อเนื่องกัน เพิ่งมีเส้นเขตแดนเมื่อเป็นรัฐสมัยใหม่ แต่สมัยโบราณนับพันปีมาแล้วเป็นดินแดนเดียวกัน และกลุ่มชนเป็นพวกเดียวกัน พูดภาษาตระกูลเดียวกัน

(2.) มณฑลกวางสีของจีนเป็นถิ่นฐานของคนหลายชาติพันธุ์ พูดหลายชาติภาษา และมีจ้วงพูดภาษาตระกูลไท-กะได หรือไท-ไต

เมืองเดียนเบียนฟู (เมืองแถน) ของเวียดนาม เป็นถิ่นฐานของผู้ไท (ประกอบด้วยไทดำ, ไทแดง, ไทขาว) พูดภาษาตระกูลไท-กะได หรือไท-ไต

(3.) มณฑลกวางสีของจีนเป็นแหล่งผลิตขนาดใหญ่ในเครื่องมือสำริด เรียกกลองทอง (ไทยเรียกมโหระทึก) อายุ 3,000ปีมาแล้ว ดังนั้นภาษาไท-กะได หรือไท-ไตของชาวจ้วงก็มีอายุ 3,000 ปีมาแล้ว (หนังสือ จ้วง : พี่น้องเผ่าไทยเก่าแก่มากที่สุดของ ศรีศักร วัลลิโภดม มหาวิทยาลัยศิลปากร พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2536)

ภาคเหนือของเวียดนาม (พื้นที่ต่อเนื่องกับมณฑลกวางสีของจีน) เป็นแหล่งผลิตขนาดใหญ่เครื่องมือสำริดวัฒนธรรมดงเซิน (ดองซอน) เรียกกลองทอง (มโหระทึก) อายุ 3,000 ปีมาแล้ว ดังนั้นภาษาตระกูลไท-กะได หรือไท-ไตของชาวผู้ไทก็มีอายุ 3,000ปีมาแล้ว

(4.) ชาวจ้วง (ปัจจุบัน) เรียกตนเองด้วยชื่อรวมว่าจ้วง แต่ในอดีตเรียกตนเองตามชื่อชาติพันธุ์ ได้แก่ ผู้หลวง, ผู้ไต, ผู้นุง, ผู้บ้าน, ผู้หล่าว, ผู้ต้ง, ผู้โท้ และผู้ไท (เฉพาะผู้ไทกระจายถึงภาคเหนือของเวียดนาม) คนเหล่านี้ไม่เรียกตนเองว่าไทย, คนไทย

ดังนั้นจ้วงไม่ใช่คนไทย เหมือน “คนไทย” ในประเทศไทยที่เข้าใจทั่วไปปัจจุบัน ซึ่งมีรายละเอียดเรื่องนี้ในหนังสือซึ่งพิมพ์หลายปีแล้วชื่อ คนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์ ของ      สุจิตต์ วงษ์เทศ (มหาวิทยาลัยศิลปากร พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2537)


@@@@@@@

(5.) ภาษาตระกูลไท-กะได หรือไท-ไต มีอักขรวิธีง่ายกว่าภาษาตระกูลอื่นๆ จึงถูกใช้เป็น “ภาษากลาง” ทางการค้าของดินแดนภายในภาคพื้นทวีปตั้งแต่ราว 2,000 ปีมาแล้ว หรือเรือน พ.ศ. 500

สมัยนั้นมีการค้าระยะไกลทางทะเลสมุทร เมื่อพ่อค้าอินเดียมาซื้อ “ทองแดง” (ไม่ใช่ทองคำ) จาก “สุวรรณภูมิ” ซึ่งมีแหล่งใหญ่ทองแดงบริเวณลุ่มน้ำโขง ครั้งนั้นภาษาไท-กะได หรือไท-ไตเป็นภาษากลางของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ขนย้ายทองแดงและ “ของป่า” จากลุ่มน้ำโขงลงลุ่มน้ำเจ้าพระยาตามต้องการของบ้านเมืองที่มีอำนาจควบคุมเส้นทางการค้าบริเวณคาบสมุทรและลุ่มน้ำเจ้าพระยา นับแต่นั้นภาษาไท-กะได หรือไท-ไต เริ่มมีในลุ่มน้ำเจ้าพระยา

(6.) ภาษาไท-กะได หรือไท-ไต ฟักตัวอยู่บริเวณ “สยาม” (จีนเรียกเสียน, เสียม) ลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง-น้ำเพชร เพราะเป็นบ้านเมืองมีอำนาจคุมเส้นทางข้ามคาบสมุทร และค้าทองแดงกับอินเดียจนบ้านเมืองเติบโตเป็นรัฐสุพรรณภูมิ (ขณะนั้นมีรัฐละโว้ พูดภาษาเขมรเป็น “ขอม” อยู่ทางลุ่มน้ำลพบุรี-ป่าสัก)

(7.) รัฐสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) ร่วมกับรัฐละโว้ (ลพบุรี) สถาปนารัฐอโยธยาศรีรามเทพ (จ. พระนครศรีอยุธยา) บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ราวหลัง พ.ศ. 1600 ประชากรเมืองอโยธยามีหลายกลุ่ม เช่น มอญ, เขมร, มลายู ฯลฯ แต่อย่างน้อย 2 กลุ่มใหญ่มีอำนาจ ได้แก่

หนึ่ง กลุ่มพูดภาษาเขมร เป็นขอม มีอักษรเขมร เรียกอักษรขอม

สอง กลุ่มพูดภาษาไท-กะได หรือไท-ไต เป็นสยาม ไม่มีอักษร เมื่อจะเขียนบนสมุดข่อยก็ยืมอักษรเขมร เขียนภาษาไท-กะได หรือไท-ไต (สมัยเรียกประเพณีนี้ว่า “ขอมไทย”)

นอกจากนั้นยังมีกลุ่มมอญ นับถือพุทธ ใช้ภาษาบาลี และกลุ่มเขมร นับถือพราหมณ์ ใช้ภาษาสันสกฤต

(8.) ภาษาไท-กะได หรือไท-ไต มีอำนาจการเมืองมากขึ้นเหนือภาษาเขมร ดึงดูดให้คนหลายชาติพันธุ์พูดภาษาไท-กะได หรือไท-ไต ในชีวิตประจำวัน กระทั่งกลายตนเรียกตนเองว่า “ไทย” หรือ “คนไทย” เรียกภาษาพูดว่า “ภาษาไทย” บรรดาคนที่เคยพูดภาษาเขมรเป็นขอมก็ยอมรับอำนาจภาษาไทย แล้วพูดภาษาไทย กลายตนเป็นไทย ได้ประโยชน์จากการเป็นไทย

(9.) รัฐสุพรรณภูมิ-รัฐละโว้-รัฐอโยธยา ร่วมกันหนุนให้มี รัฐสุโขทัย พูดภาษาไทย เป็นเครือข่ายเครือญาติบริเวณลุ่มน้ำยม-น่าน เพื่อควบคุมเส้นทางการค้าข้ามภูมิภาคระหว่างอ่าวตังเกี๋ย (ทางตะวันออก) กับอ่าวเมาะตะมะ (ทางตะวันตก)

ฉะนั้นกรุงสุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรก และไม่ใช่แหล่งกำเนิดภาษาไทย-อักษรไทย ส่วนศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงทำขึ้นสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นวรรณกรรมกรุงรัตนโกสินทร์ [มีรายละเอียดมากในงานวิจัยของ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ อดีตอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]

@@@@@@@

(10.) เรื่องปลีกย่อยที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ สืบเนื่องจากที่ผมเขียนเรื่อง “ภาษาไทย มีกำเนิดที่เมืองอโยธยา”แล้วมีปฏิกิริยา จะแยกเป็นข้อๆ ดังนี้

[หนึ่ง] “ไอ้แก่นี่อีกแล้ว คาดเดาไปเรื่อย แล้วบอกเป็นนักวิชการ!! หลักการก็โคตรมั่วเลย”

ที่ว่า “แล้วบอกเป็นนักวิชาการ” นี่เป็นเฟกนิวส์ ผมยืนยันตลอดมาว่าเป็นคนเขียนหนังสือและคนทำหนังสือพิมพ์ เป็นสื่อ—ไม่เคยบอกเป็นนักวิชาการ เพราะไม่เคยรับราชการเป็นครูบาอาจารย์ และไม่เคยรับเป็นศิลปินแห่งชาติของราชการ จึงไม่เคยรับเงินค่าตอบแทนจากงบประมาณของชาติ ส่วนความเห็นอื่นสนุกดี ขอบคุณ

[สอง] “อีตาลุงที่ชอบยัดเยียดความเป็นเขมรให้ไทย บอกว่าไทยเป็นเมืองเขมร วัดวาอารามในไทยเป็นของเขมร”

“อีตาลุงนี่ชอบอวยเขมร ว่าภาษาไทยมาจากเขมร วัฒนธรรมไทยขโมยมาจากเขมร ไม่ใช่รึ?”

(ก.) ไม่เคยยัดเยียดความเป็นเขมรให้ไทย ผมบอกแต่ว่าคนไทยลูกผสม “ร้อยพ่อพันแม่” จึงมีวัฒนธรรมร่วม เช่น มอญ, เขมร, มลายู, ลาว ฯลฯ

(ข.) ไม่เคยบอกว่าไทยเป็นเมืองเขมร ผมบอกแต่ว่าบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นหลักแหล่งดั้งเดิมของมอญและเขมร สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงทรงนิพนธ์ไว้อย่างนี้ ส่วนตำราประวัติศาสตร์ก็ว่าอย่างนี้

(ค.) ไม่เคยบอกว่าวัดวาอารามเป็นของเขมร ผมบอกแต่ว่าศิลปกรรมบางอย่างไทยได้แบบจากเขมร เช่น พระปรางค์ในอยุธยาได้ต้นแบบจากปราสาทในเขมร ซึ่งผมไม่ใช่บอกเป็นคนแรก แต่ผมบอกตามพระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในหนังสือตำนานพุทธเจดีย์ และตำราประวัติศาสตร์ศิลปะของอาจารย์ในคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร รวมทั้งเอกสารวิชาการของกรมศิลปากร

(ง.) ไม่เคยบอกว่าภาษาไทยมาจากเขมร ผมบอกแต่ว่าอักษรไทยมาจากอักษรเขมร

(จ.) ไม่เคยบอกว่าวัฒนธรรมไทยขโมยจากเขมร ผมบอกแต่ว่าวัฒนธรรมไทยเป็น “วัฒนธรรมร่วม” ผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ได้แก่ เขมร, มอญ, ลาว, จีน และมีของชนกลุ่มนานาชาติด้วย เช่น แขก (ทั้งอินเดียและมลายู), เปอร์เซีย (อิหร่าน) และฝรั่ง

ส่วนวัฒนธรรมเขมรอยู่ในวัฒนธรรมไทยมีมาก ตั้งแต่ราชสำนักถึงราษฎร เช่น ราชาศัพท์ เริ่มต้นจากภาษาเขมร ซึ่งเป็นภาษาเทวราช เป็นต้น

ขอบคุณที่ติดตาม แต่ขอความกรุณาอย่าสร้าง “เฟกนิวส์”


@@@@@@@

(11.) มีความเห็นเกี่ยวกับภาษาไทย และเมืองอโยธยา ดังนี้

Eakpong Aussawamasbunlue ก่อนหน้าจะสร้าง HST ไม่เห็นมีข่าวมีใครพูดเรื่องนี้เลย พอจะสร้างเท่านั้นแหละ ภาษาไทยก็มาจากเมืองนี้ ถ้าจะอนุรักษ์ก็ขุดขึ้นมา ขุดมาพร้อมสร้างนี่แหละ เห็นสายสีน้ำเงินก็ทำ แต่ถ้าปล่อยไว้เฉยๆ แล้วห้ามทำอะไร มึงทุบๆ ทิ้งเอารถบดมาบดไปให้หมดเลยดีกว่า อยู่ใต้ดินก็เป็นแค่ขยะเท่านั้นหละ

(ก.) เมืองอโยธยาถูกด้อยค่าจากรัฐราชการรวมศูนย์ทั้งกรมศิลปากร (กระทรวงวัฒนธรรม) และมหาวิทยาลัยศิลปากร (กระทรวงอุดมศึกษาฯ) แม้นักวิชาการจำนวนหนึ่งเสนองานวิชาการเรื่องเมืองอโยธยาอย่างเป็นระบบหลายสิบปีมาแล้ว แต่หน่วยงานของรัฐไม่ใส่ใจ ขณะที่หน่วยงานพวกนี้มักตีปี๊บเรียกร้องประชาชนเชิดชูประวัติศาสตร์และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมกับโบราณศิลปวัตถุสถาน แต่ด้อยค่าวิชาการ

โบราณคดีไทยของกรมศิลปากรและมหาวิทยาลัยศิลปากร ยังติดกับดักขลุกขลักอยู่ในสมัยอาณานิคม และสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทำให้ประวัติศาสตร์ไทยไม่ “อัพเดต”เมืองอโยธยาเลยหายหรือเจือจางอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เป็นไปแล้วอย่างที่เห็นขณะนี้

(ข.) หลักฐานภาษาไทย วรรณกรรมไทย มีอยู่แล้ว (ก่อนผมเกิด) ในหอสมุดแห่งชาติ แต่กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงอุดมศึกษาฯ ไม่เหลียวแล มีแต่ทอดทิ้ง เมื่อจะสร้าง HST ผมเลยต้องยกหลักฐานมาโพนทะนาเพื่อสาธารณชนรับรู้ไว้ว่า “ของดีมีอยู่” แต่รัฐบาลไม่รู้จักและปล่อยทำลาย ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข่าวความเคลื่อนไหวอะไรจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงอุดมศึกษาฯ

(ค.) หลักฐานโบราณคดีในไทยและในโลก ถ้ารัฐบาลมั่งคั่งก็ขุดค้นเป็นระบบออกมา แต่ถ้ารัฐบาลไม่มั่งคั่ง (แล้วยังคอร์รัปชั่นมาก) ก็อย่าเพิ่งขุด เพราะขุดขึ้นมาแล้วไม่ดูแลรักษาก็เสียหาย ดังนั้นเก็บไว้ใต้ดินยังดีกว่า เพราะดินช่วยรักษา “ไม่เป็นขยะ”ถ้าพร้อมเมื่อไรก็ลงมือขุดค้นได้ไม่เสียหาย หรือเสียหายน้อย ถ้ารถไฟความเร็วสูงไม่ขุดหลุมทำตอม่อ

กรณีเมืองอโยธยา กรมศิลปากรขุดค้นขุดแต่งไว้มาก มีพยานเยอะแยะย่านวัดกุฎีดาว, วัดอโยธยา, วัดมเหยงคณ์, วัดใหญ่ชัยมงคล, วัดพนัญเชิง ฯลฯ ส่วนที่ยังไม่ได้ขุดก็รอบๆ สถานีรถไฟอยุธยา ซึ่งทางรถไฟผ่าเมืองอโยธยาทับโบราณสถานมาตั้งแต่สมัยร.5 เลยไม่ได้ขุดทางโบราณคดี แต่อยู่ในดินมีดินรักษา “ไม่เป็นขยะ”

(ง.) เมืองอโยธยาตามหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดี เป็นต้นกำเนิดภาษาไทย, คนไทย, ประเทศไทย แต่หน่วยงานเกี่ยวข้องเรื่องนี้ไม่ใส่ใจ ปล่อยให้มีโครงการรถไฟความเร็วสูงผ่าเมือง ซึ่งต้องทำลายซากทั้งเมือง

ผมเป็นสื่อ หรือ “หมาเฝ้ายาม” ก็เห่าหอนออกมาเพื่อส่งสัญญาณให้ประชาชนรับรู้เท่านั้น เมื่อรู้แล้วจะทำยังไงต่อไปเป็นเรื่องของสังคมพิจารณาร่วมกัน ถ้าไม่ร่วมกันรักษาเมืองต้นกำเนิดภาษาไทย, คนไทย, ประเทศไทย ก็ตามใจ ต่อไปใครอย่า “เสือก” เรียกร้องให้รักษาอะไรอีก

ขอบคุณที่วิพากษ์วิจารณ์ ทำให้ผมได้คิดแล้วได้เขียนบอกมาคราวนี้





ขอขอบตุณ :-
ผู้เขียน : สุจิตต์ วงษ์เทศ
วันที่ 27 กรกฎาคม 2566 - 19:13 น.   
URL : https://www.matichon.co.th/columnists/news_4102652
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ