ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 11 ปี ย้อนหายนะโบสถ์(ทา)สีทอง ต้อง ‘ขูดทิ้ง’ ถึงพระพุทธรูปพระพักตร์แตก วัดอรุณฯ  (อ่าน 884 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




11 ปี ย้อนหายนะโบสถ์(ทา)สีทอง ต้อง ‘ขูดทิ้ง’ ถึงพระพุทธรูปพระพักตร์แตก วัดอรุณฯ

แห่แชร์อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ สำหรับภาพพระพุทธรูปพระพักตร์แตกเสียหาย ประดิษฐานในระเบียงคด ณ อารามสำคัญอย่างวัดอรุณราชวราราม โดยพระลูกวัดให้สัมภาษณ์ออกสื่อเผยว่ามาจากการบูรณะที่ ‘ผิดวิธี’ จากการ ‘ทาสี’ ทองอร่าม ทับองค์พระ เมื่อเกิดความชื้นมากเข้า จึงเกิดเหตุอย่างที่แชร์ว่อนเน็ต

แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดประเด็นดังกล่าว ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ. 2561 วัดหลายแห่งทั่วประเทศเป็นกระแสข่าวดังในโซเชียล เมื่อมีกลุ่มศรัทธาในพระศาสนา รวมตัวนำสีทองไปทาอุโบสถ วิหาร เสนาสนะในวัดวาอารามต่างๆ ซึ่งคงไม่เป็นปัญหา หากหลายวัดในนั้น คือวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นด้วยวัสดุ และเทคนิคสถาปัตยกรรมแบบโบราณ ‘ความชื้น’ ที่สะสมไม่มีที่ระบาย นำมาซึ่งความเสียหายอย่างหนักหน่วงถึงขนาด

อนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากรในขณะนั้น ต้องลงพื้นที่ ‘สั่งขูดทิ้ง’ ด้วยตัวเอง และทำการบูรณะอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะ วัดไลย์ ตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ที่ชวนช็อกตาตั้งมากที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะอุโบสถของวัด มีการทาสีทองบริเวณผนังด้านนอกทั้งหมด รวมถึงซุ้มใบเสมา



วัดแห่งนี้ เป็นโบราณสถานที่ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2479 มีสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมสำคัญ อาทิ วิหารเก้าห้อง สมัยต้นกรุงศรีอยุธยา ประดับด้วยลวดลายปูนปั้นบริเวณหน้าบันและฝาผนังเรื่องทศชาติชาดก และปฐมสมโพธิ รวมถึง รูปหล่อ ‘พระศรีอริยะ’

ด้าน ตระกูล หาญทองกูล ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปากรที่ 4 ลพบุรีในขณะนั้น ลงพื้นที่ตรวจสอบวัดต่างๆในพื้นที่ ทำเรื่องเสนอจังหวัดให้ปรับปรุงกลับสู่สภาพเดิม ซึ่งจากข้อมูลพบว่าชาวบ้านเข้ามาทาสีโบสถ์ใหม่ให้เป็นสีทอง เมื่อ พ.ศ.2555 อุโบสถเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ ในพ.ศ.2554 เมื่อมีเจ้าภาพมีความประสงค์จะบูรณะโบสถ์ให้ทางวัดจึงได้อนุญาตให้ดำเนินการ โดยไม่ทราบว่าต้องแจ้งทางกรมศิลปากรก่อน

จารึก วิไลแก้ว ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 12 นครราชสีมาในขณะนั้น ในฐานะอดีตผอ.สำนักศิลปากรที่ 4 ลพบุรี เปิดเผยกับ ‘มติชน’ ว่า ในช่วง พ.ศ.2557 เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งผอ.สำนักศิลปากรในพื้นที่ดังกล่าว พบว่ามีการทาสีอุโบสถวัดไลย์เป็นสีทองแล้ว โดยได้รับทราบข้อมูล ผอ.สำนักฯ คนก่อนหน้าตน เคยมอบหมายให้นายช่างประจำสำนักฯ เข้าแจ้งความไว้ที่สภ. ท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ใน พ.ศ.2556 เนื่องจากเป็นความผิดตาม พรบ. โบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ




ต่อมา เดินทางลงพื้นที่หลายครั้ง และได้ส่งหนังสือถึงเจ้าอาวาสขอให้ระงับการดำเนินการดังกล่าว เพราะพบว่าหลังการทาสีทองครั้งนั้น ยังมีการทาซ้ำอีกอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เป็นผลเช่นกัน ส่วนตัวอยากให้มีการดำเนินการทางกฎหมาย เนื่องจากเป็นคดีอาญา

“กลุ่มคนที่มาทาสีทอง คือ คนมีหน้ามีตาของลพบุรี เป็นอดีตส.ส. พาพรรคพวกมา วัดกับชาวบ้านเลยเกรงใจ ตอน ปี 2556 ผอ.ศิลปากรคนก่อนหน้าผม เคยให้นายช่างไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ท่าวุ้ง แต่คนกลุ่มนี้ไม่หยุด ยังทาไปเรื่อย ๆ จนเสร็จ และยังมาทาซ้ำอีกเรื่อยๆ ผมต้องคอยลงพื้นที่ไปดู และหนังสือถึงเจ้าอาวาสขอให้ระงับ พอเผลอๆ ท่านก็ให้คนมาทาสีอีก ไม่ฟังกรมศิลป์เลย สีทองที่เอามาทา เป็นสีน้ำมัน เลยลอก ต้องทาใหม่เรื่อยๆ

ในขณะที่การบูรณะอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ จะต้องทำความสะอาดผิวปูน ส่วนไหนที่ผุกร่อนต้องกะเทาะ แล้วฉาบใหม่ คนโบราณใช้สีน้ำปูน เดิมเป็นสีขาว โบสถ์หลังนี้ น่าจะสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ แต่สร้างบนพื้นที่โบสถ์เก่า ใกล้กับวิหารเก้าห้องสมัยอยุธยา วัดนี้เป็นอารามสำคัญ รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จที่นี่ด้วย” จารึกกล่าวในครั้งนั้น




กรณีที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของอีกหลายวัดทั่วไทย ที่ต้องพบความเสียหายอย่างไม่ควรเกิด กรมศิลปากรต้องใช้ภาษีประชาชนมาระดมซ่อม ยังดีที่วัดอรุณราชวรารามฯ เผยต่อสื่อว่าจะใช้งบประมาณของทางวัดดำเนินการแก้ไข โดยไม่ใช้งบกรมศิลป์ อย่างไรก็ตาม การบูรณะจะอยู่ภายใต้การดูแลของกรมศิลปากร

จาก ปี2555-2566 นับเป็นเวลา 11 ปีเต็ม สุดท้ายยังเกิดซ้ำ และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย








Thank to : https://www.matichon.co.th/education/news_4131607
วันที่ 16 สิงหาคม 2566 - 13:26 น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 17, 2023, 09:17:27 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ