๒.๔ รอยพระพุทธบาทในประเทศไทยแนวคิดเรื่องพุทธบาทลักษณะในประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับการสืบทอดมาจากคติ ๒ ทาง คือ คติทางอินเดียและคติทางศรีลังกา(-๓๔) ควบคู่มากับพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจก็คือ การบูชารอยพระพุทธบาทในสังคมที่พุทธศาสนา ได้กลายมาเป็นศาสนาหลักนั้น ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการปรับและรับวัฒนธรรมจากภายนอกให้เข้ากับพื้นถิ่นได้อย่างกลมกลืน อีกทั้งยังเป็นสื่อในการเสริมสร้างพระราชอานาจของสถาบันกษัตริย์อีกด้วย
ดังจะเห็นได้ว่า แนวคิดเรื่องพุทธบาทลักษณะ คือ รูปมงคล ๑๐๘ ประการ ในรอยพระพุทธบาทมีทั้งประเภทที่เป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ ความเจริญและความอุดมสมบูรณ์ บางประเภทก็ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องคติจักรวาล เรื่องต่างๆเหล่านี้เป็นพื้นฐานแนวคิดความเชื่อในสังคมดั้งเดิม สิ่งที่รับมาจากภายนอกนั้น จึงเข้ากันได้กับคตินิยมของสังคมพื้นถิ่นแต่ละยุคแต่ละสมัย(-๓๕)
@@@@@@@
๒.๔.๑ สมัยสุโขทัย
อาณาจักรสุโขทัยได้มีการติดต่อทางศาสนากับประเทศศรีลังกา คือมีพระสงฆ์ชาวเมืองสุโขทัยหลายองค์ โดยการนาของพระมหาเถระศรีศรัทธาราชจุฬามณี ได้ไปศึกษาด้านการศาสนาในประเทศศรีลังกา บางกลุ่มก็เดินทางไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่เขาสุมนกูฏ ซึ่งในสมัยนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก ดังมีบันทึกว่า
...ทางขึ้นเขาเป็นทางกันดารนัก แต่ล้วนชะง่อนแง่แหลม เป็นเหลี่ยม ลื่นเป็นไคล ตะไคร่น้าจับเป็นซอกเขา อนึ่งน้า ในซอกเขาแลห้วยเขานั้น เอามือจุ่ม ลงไปเย็นเสียวดังกระดูกจะแตก ถ้าบ้วนปากก็ปวดดังฟันจะหลุด ถ้ากลืนกินตกไปถึงไหนก็รู้ ไปถึงนั่น ครั้นถึงเชิงเขาแล้วขึ้นไปอีก ๑๐๐ เส้น จึงถึงมณฑปพระพุทธบาท เข้ากันเป็นทาง ๔๐๐ เส้น แลขึ้นไปนั้นที่เป็นหน้าผาขึ้นมิได้ จึงต้องเหนี่ยวสายโซ่ขึ้นไป มีอยู่ ๓ แห่ง แต่ละแห่งๆ นั้น สูง ๓ วา ๔ วาบ้าง ดูน่ากลัวนักด้วยสูงเหลือสูง และจะได้มีต้นไม้ยึดเหนี่ยวขึ้นไปหามิได้ อาศัยได้แต่โซ่นั้นสิ่งเดียว(-๓๖)
การไปสืบพระศาสนาและการไปบูชารอยพระพุทธบาทที่ลังกา จึงทำให้มีการรับคตินิยมบางอย่างในประเทศศรีลังกาเข้ามาเผยแผ่ในอาณาจักรสุโขทัย รวมถึงคติการบูชารอยพระพุทธบาทด้วย ในจารึกหลักที่ ๘ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑-๙ ได้มีการกล่าวถึงรอยพระพุทธบาท ความว่า
เขาอันนี้ชื่อสุมนกูฏบรรพต...เรียกชื่อดังอันเพื่อไปพิมพ์เอารอยตีนพระพุทธเจ้าเราอันเหยียบเหนือจอมเขาสุมนกูฏบรรพต...ในลังกาทวีปพู้นมาประดิษฐานไว้เหนือขอมเขาอันนี้ แล้วให้คนทั้งหลายได้เห็นรอยฝ่าตีนพระพุทธเป็นเจ้านี้ มีลายอันได้ร้อยแปดสีส่อง ให้ฝูงเทพดาและ...ทั้งหลายได้ไหว้นบทำบูชา...(-๓๗)
นอกจากนี้จารึกยังกล่าวถึงอานิสงส์ของการบูชารอยพระพุทธบาทว่า
“...ผู้ใดได้ขึ้นนบรอยฝ่าตีนพระพุทธเจ้าเราเถิงเหนือจอมเขาสุมนกูฏบรรพตนี้ด้วยใจอันศรัทธา อันว่าสมบัติทั้งสามอันนี้...จักได้แลมิอย่าเลย...”
รอยพระพุทธบาทที่ยอดเขาสุมนกูฏที่กรุงสุโขทัยนี้ พญาลิไทโปรดเกล้าให้ไปจำลองรอยพระพุทธบาทมาจากยอดเขาสุมนกูฏ ประเทศศรีลังกา เพื่อมาประดิษฐานบนภูเขาในกรุงสุโขทัย ดังปรากฏในจารึกวัดเขาสุมนกูฏ
ด้านที่ ๑. เป็นคำสรรเสริญรอยพระพุทธบาท ที่พระยาลือไทยธรรมราชาที่ ๑ ได้ประดิษฐานไว้บนยอดเขาสุมนกูฏ โดยมีคำจารึกไว้ว่า
“เขาอันนี้ชื่อสุมนกูฏบรรพต…เรียกชื่อดังอันเพื่อไปพิมพ์เอารอยตีนพระพุทธเจ้าเรา อันเหยียบเหนือจอมเขาสุมนกูฏบรรพต…ในลังกาทวีปพู้นมาประดิษฐานไว้เหนือจอมเขาอันนี้แล้ว ให้คนทั้งหลายได้เห็นรอยฝ่าตีนพระพุทธเป็นเจ้าเรานี้ มีลายอันได้ร้อยแปดสีส่อง”
ด้านที่ ๒. เป็นเรื่องทำการสักการบูชา ในเวลาที่ได้แห่รอยพระพุทธบาทขึ้นบนเขาสุมนกูฏ มีคำจารึกไว้ว่า
“ดับหนทางแต่เมืองสุโขทัยมาเถิงจอมเขานี้งามหนักหนาแก่กมสองขอก หนทางย่อมตั้งกัลปพฤกษ์ใส่รมยวล ดอกไม้ตามไต้เทียนประทีปเผาธูปหอมตระหลบ…ศักราช ๑๒๘๑ ปีกุน เมื่อพระศรีบาทลักษณ ขึ้นประดิษฐานไว้ในเขาสุมนกูฏบรรพต”(-๓๘)
ปัจจุบันรอยพระพุทธบาทนี้ได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดตระพังทอง กลางเมืองสุโขทัยไว้ที่เขาพระบาทใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศหรดี(ตะวันตกเฉียงใต้)ของตัวเมืองเก่า ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๓ พระราชประสิทธิคุณ อดีตเจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย ได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่เกาะกลางสระน้ำ โดยสร้างเป็นมณฑปครอบไว้ แล้วได้จัดงานนมัสการเป็นต้นมาทุกปี คือ วัน ขึ้น ๖ ค่า เดือน ๔ จนปัจจุบันนี้
นอกจากเขาสมุนกูฎที่ตั้งชื่อตามประเทศศรีลังกาแล้ว ยังให้จำลองมาไว้ที่เมืองศรีสัชชนาลัย ที่เขานาง เมืองบางพาน และบนปากเขาพระบาง เมืองนครสวรรค์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รอยพระบาทในกรุงสุโขทัยมีลักษณะเดียวกันกับรอยพระพุทธบาทที่ประเทศศรีลังกา(-๓๙)
เนื่องจากรอยพระพุทธบาทในสุโขทัยได้รับอิทธิพลมาจากลังกา โดยการไปพิมพ์เอารอยพระพุทธบาทมาจากเขาสุมนกูฏ ประเทศศรีลังกา จึงทำให้ฝ่ารอยพระพุทธบาทที่สุโขทัยมีสัญลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ ตามแบบของลังกา เนื่องจากสัญลักษณ์มงคล ๑๐๘ นี้ปรากฏเฉพาะในศิลปะของลังกา พุกามและและสุโขทัยเท่านั้น(-๔๐) ไม่มีปรากฏในประเทศอินเดีย
ในศิลาจารึกหลักที่ ๑๐๒. วัดตระพังช้างเผือก ซึ่งจารึกขึ้นประมาณ พ.ศ.๑๙๑๗ มีข้อความกล่าวถึงการสร้างมงคล ๑๐๘ ที่รอยพระพุทธบาท ความว่า
"พระมเหสี (พระพุทธ) มีจักรเกิดขึ้นในพระบาททั้งสอง ในจักรนี้แต่ละจักรมีซี่ฟันซี่พร้อมด้วยกง สมบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง มีดุมมั่นคง และในพื้นพระบาทของมเหสีนั้น มีสิ่งเหล่านี้คือ สิริวจฺโฉ นางฟ้า นนทิวฏฺฏ รูปสวัสติกะ เวียนขวา วฏงฺสก ดอกไม้กรองบนศีรษะ องฺกุโส ขอช้าง..."(-๔๑)
ลักษณะสำคัญของการวางลายลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการของสุโขทัยนั้น สามารถแบ่งได้เป็น ๒ แบบ คือ (-๔๒)
๑) รอยพระพุทธบาทชนิดที่เรียงลายลักษณ์อยู่ในตาราง ตรงกลางของรายพระพุทธบาทเป็นรูปธรรมจักรหรือดอกบัว นิ้วพระบาทเท่ากันทั้งห้านิ้ว ซึ่งรอยพระพุทธบาทที่มีการเรียงลายลักษณ์เช่นนี้เป็นแบบการสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในสมัยสุโขทัย และเป็นที่นิยมสืบเนื่องกันมาจนถึงรัชกาลพระเจ้าสุริยวงศ์บรมปาลมหาธรรมิกราชด้วย
๒) รอยพระพุทธบาทชนิดที่เรียงลายลักษณ์อยู่ในรูปวงกลม รอบตัวธรรมจักรหรือดอกบัวที่อยู่ตรงกลางรอยพระพุทธบาท ซึ่งรอยพระพุทธเจ้าชนิดนี้พบเพียงองค์เดียว คือ รอบพระพุทธบาทสำริดที่วัดเสด็จ อาเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างหลังรัชกาลของพระเจ้าลิไท แต่ไม่เป็นที่นิยมในสมัยสุโขทัย
สรุปได้ว่า การประดิษฐานรอยพระพุทธบาทในอาณาจักรสุโขทัย แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาและการสืบทอดพระพุทธศาสนามาจากลังกา พร้อมทั้งการรับเอาคติความเชื่อต่างๆ เข้ามาด้วยทางศาสนาด้วย
คติความเชื่อเหล่านั้นหยั่งรากมั่นคงในสุโขทัยเพราะบารมีของพระมหากษัตริย์ที่ปกครองทุกพระองค์ได้ให้ความสนใจและเคารพนับถือ ยอมรับเอาพระพุทธศาสนามาเป็นหลักอบรมประชาชน เพื่อการปกครองและการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน โดยเฉพาะคติเกี่ยวกับรอยพระพุทธบาทที่มีการจำลองไปไว้ที่อยุธยาด้วย เป็นเหตุให้คติความเชื่อเหล่านั้นได้สืบทอดเรื่อยมาจนถึงสมัยอยุธยา
@@@@@@@
๒.๔.๒ สมัยอยุธยา-ธนบุรี
ประวัติความเป็นมาของรอยพระพุทธบาทในสมัยอยุธยา ปรากฏในประชุมจดหมายเหตุสมัยอยุธยา ภาค ๑ กล่าวถึงการสร้างพระบาทศิลาคู่ไว้ ณ เมืองชัยนาท ในสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ความว่า
"...ให้ดำเนินการสลักรอยพระบาททั้งคู่ของสมเด็จพระกวิสรวรสุคต สัมมาสัมพุทธเจ้าเพียบพร้อมด้วยบรมมงคล ๑๐๘ แผ่ไปเต็มจักรอันวิจิตรต่างๆ เป็นที่ชื่นชูใจยิ่งนัก เช่นเดียวกับขนาดรัตนบทเจดีย์ที่พระบรมไตรโลกนารถ ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้ปรากฏบนยอดเขาสุมันตกูฏอันประเสริฐ เป็นมงกุฎแก้วของลังกาทวีป ที่ให้เกิดอภิรมย์แห่งใจบนแผ่นศิลากว้างใหญ่นี้ อันพระมหาเถระวิทยวงศ์ผู้เข้าใจในการจิตรกรรมเป็นอย่างดี นามาจากเมืองสุโขทัย โดยพระราชานุเคราะห์แห่พระมหาธรรมราชาผู้พระชนกแห่งพระบรมบาลธรรมราชนรบดี รอยพระพุทธยุคลบาทอันประดับด้วยจักร สมบูรณ์ด้วยรูปสวัสดิมงคล เป็นที่เจริญตาเจริญใจนี้ อันพระสิริสุเมธังกรสังฆนายก องค์ประธานสงฆ์ อานวยการสลัก โดยพระราชานุเคราะห์แห่งพระธีรราชธรรมราชาเจ้า"(-๔๓)
จากข้อความนี้ทาให้ทราบว่า รอยพระพุทธบาทในสมัยอยุธยานั้นได้รับอิทธิพลจากลังกา สืบเนื่องผ่านมาจากสมัยสุโขทัย มีการจำลองพระพุทธบาทที่มีลักษณะเช่นเดียวกับที่เขาสมุนกูฎเพียงแต่เป็นการจำลองผ่านสุโขทัยมาอีกทอดหนึ่งเท่านั้นเอง ในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม(พ.ศ.๒๑๕๓-๒๑๗๑) ได้มีการค้นพบรอยพระพุทธบาทที่สระบุรี ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นรอยพระพุทธบาทของจริง ๑ ใน ๕ ตามหลักฐานของลังการะบุว่า พระพุทธเจ้าประทับไว้ ๕ รอย กับทั้งมีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาที่ประเทศไทยด้วย
ส่วนมูลเหตุของการค้นหารอยพระพุทธบาท เกิดจากการที่คณะสงฆ์ไทยเดินทางจากกรุงศรีอยุธยาไปยังเกาะลังกา เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทบนยอดเขาสุมนกูฏ พระสงฆ์ลังกาจึงถามว่า เหตุใดไม่ไปสักการะที่เขาสุวรรณบรรพตในกรุงศรีอยุธยา พระสงฆ์เหล่านั้นจึงได้นำเรื่องนี้กราบทูลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม จึงทำให้มีการขุดค้นหารอยพระพุทธบาททั่วราชอาณาจักร ในที่สุดก็มีผู้ค้นพบรอยพระพุทธบาทที่เมืองสระบุรี
ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒ ว่า
"ศักราช ๙๖๘ ปีมะเมีย อัฐศก ทางพระกรุณาให้พูนดินหน้าพระวิหารแกลบไว้เป็นที่สำหรับถวายพระเพลิง ในปีนั้น เมืองสระบุรีบอกมาว่า พรานบุญ(-๔๔) พบรอยเท้าอันใหญ่บนไหล่เขาเห็นประหลาด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดีพระทัย เสด็จด้วยพระที่นั่งเรือชัยพยุหบาตร พร้อมด้วยเรือเท้าพระยาสามนตราช ดาษดาโดยชลมารคนทีธาร ประทับท่าเรือ รุ่งขึ้นเสด็จพระที่นั่งสุวรรณปฤษฎางค์ พร้อมด้วยคเชนทรเสนางคนิกรเป็นอันมาก...สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสทอดพระเนตรเห็นแท้เป็นรอยพระบรมพุทธบาท มีลายลักษณ์กรงจักรประกอบด้วยอัฏฐุตรสตมหามงคลร้อยแปดประการ สมด้วยพระบาลี แล้วต้องกับเมืองลังกาบอกเข้ามาว่า กรุงศรีอยุธยามีรอยพระพุทธบาทอยู่เหนือยอดเขาสุวรรณบรรพต"(-๔๕)
หลังจากมีการค้นพบรอยพระพุทธบาทสระบุรี (ภาพที่ ๓) และเชื่อกันว่าเป็น “ของจริง” ตามหลักฐานและคำกล่าวอ้างของพระสงฆ์ลังกา จึงทำให้รอยพระพุทธบาทสระบุรีมีความโดดเด่นและมีความสำคัญขึ้นเป็นอย่างมาก เป็นที่เคารพนับถือทั้งในระดับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ขุนนาง อามาตย์มนตรี และประชาชนทั่วไป จนทำให้เกิดประเพณี “ไปพระบาท” สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ความสำคัญของรอยพระพุทธบาทสระบุรีดังกล่าวนี้ ทำให้ความสำคัญของรอยพระพุทธบาทที่จำลองมาจากเขาสุมนกูฎผ่านอาณาจักรสุโขทัยลดลงทันที ดังจะเห็นได้จากการให้จำลองรอยพระพุทธบาทสระบุรีไปยังเมืองต่างๆ เช่น โปรดให้หลวงสิทธิมหาดเล็กและหมื่นราชสังฆการี พร้อมด้วยพระครูธรรมไตรโลกนารถ จำลองไประดิษฐานไว้ที่วัดจุฬามณี อาเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ใน พ.ศ.๒๒๒๓ (-๔๖)___________________________________________
อธิบายเพิ่มเติม : (-๔๔) มีตำนานเกี่ยวกับพรานบุญ เพิ่มเติมว่า พรานบุญได้ไปล่าเนื้อในป่าริมเชิงเขา ได้ใช้หน้าไม้ยิงถูกเนื้อตัวหนึ่งบาดเจ็บ เนื้อนั้นได้วิ่งหนีขึ้นไปบนไหล่เขาเข้าเชิงไม้ไป พอบัดเดี๋ยวก็เห็นเนื้อตัวนั้นวิ่งออกจากเชิงไม้ไปเป็นปกติดังเดิม พรานบุญแปลกใจจึงขึ้นไปดูบนไหล่เขานั้น ก็เห็นมีรอยอยู่ในศิลาเหมือนรอยเท้าคน ขนาดยาวประมาณศอกเศษ มีน้ำขังอยู่ในรอยนั้น ก็สาคัญว่าเนื้อคงหายบาดเจ็บเพราะกินน้านั้น จึงตักเอามาลองลูบตัวดู บรรดากลากเกลื้อนที่ตนเป็นอยู่มาช้านานก็หายหมดการจำลองรอยพระพุทธบาทสระบุรีไปประดิษฐานไว้ ณ เมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายเหนือที่มีบทบาทอย่างยิ่งต่อการเมืองการปกครองของกรุงศรีอยุธยา นอกจากจะแสดงให้เห็นความสำคัญของรอยพระพุทธบาทสระบุรีที่เข้ามาแทนที่รอยพระพุทธบาทจำลองจากเขาสุมนกูฏได้อย่างชัดเจนแล้ว ในด้านการเมืองการปกครองนั้นคงจะเพื่อให้เป็นเครื่องหมายประกาศแสนยานุภาพ ทั้งทางการเมืองและทางธรรมเหนือหัวเมืองฝ่ายเหนือด้วย(-๔๗)
พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยาอีกหลายพระองค์ ได้เสด็จมาทรงสักการบูชา และสมโภชพระพุทธบาทนี้เป็นนิจ บางพระองค์ก็ทรงปฏิสังขรณ์ และสถาปนาวัตถุสถานเพิ่มเติม อาทิ
พระเจ้าปราสาททองได้สร้างพระตำหนักที่ประทับขึ้นที่ธารทองแดง เพื่อใช้เวลาเสด็จมานมัสการพระพุทธบาทให้ชื่อว่า ตาหนักธารเกษม กับให้ขุดบ่อน้า พร้อมทั้งสร้างศาลาราย ตามริมถนนไปสู่พระพุทธบาท เพื่อให้ใช้เป็นที่พักของผู้ที่มานมัสการ
ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.๒๑๙๙-๒๒๓๑) ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนเป็นทางเสด็จพระราชดำเนินจากลพบุรีถึงเขาสุวรรณบรรพต ให้สร้างอ่างแก้วและกำแพงกันน้ำตามไหล่เขา เพื่อชักน้ำฝนไปลงอ่างแก้วให้ประชาชนใช้บริโภค
ในรัชสมัยสมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี หรือพระเจ้าเสือ (พ.ศ.๒๒๔๖-๒๒๕๑) ได้ทรงปฏิสังขรณ์พระมณฑปและดัดแปลงจากเดิมที่มียอดเดียวให้เป็นห้ายอด
ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระภูมินทราธิบดีหรือพระเจ้าท้ายสระ (พ.ศ.๒๒๕๑-๒๒๗๕) ได้ให้เอากระจกเงาแผ่นใหญ่ประดับฝาผนังข้างในพระมณฑปและปั้นลายปิดทองประกอบตามแนวที่ต่อกระจก
ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ ๒ หรือพระเจ้าบรมโกศ (พ.ศ.๒๒๗๕-๒๓๐๑) ได้มีการปฏิสังขรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ สร้างบานประตูของมณฑปเป็นบานประตูประดับมุก จำนวน ๘ บาน
ในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร หรือพระเจ้าเอกทัศน์ (พ.ศ.๒๓๐๑-๒๓๑๐) เมื่อพม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ.๒๔๐๙ พวกจีนอาสา จำนวน ๓๐๐ คน ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลคลองสวนพลู ได้พากันไปยังพระพุทธบาท แล้วลอกทองคำที่หุ้มพระมณฑป และแผ่นเงินที่ปูลาดพื้นพระมณฑปไป แล้วเผาพระมณฑปเสีย เพื่อปกปิดการกระทำของตน พระพุทธบาทสระบุรีจึงถูกทิ้งร้างไร้การดูแลตั้งแต่เสียกรุงเป็นต้นมา
สมัยธนบุรียังคงสืบทอดคติความเชื่อเรื่องรอยพระพุทธบาทมาจากกรุงศรีอยุธยา ปรากฏหลักฐานในสมุดภาพไตรภูมิฉบับกรุงธนบุรีที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้ช่างเขียนขึ้น เพื่อรักษาและถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องไตรภูมิ เนื้อหาในสมุดภาพไตรภูมิฉบับกรุงธนบุรีคล้ายคลึงกับสมุดภาพไตรภูมิฉบับกรุงศรีอยุธยา แม้จะแตกต่างกันในรายละเอียด
อย่างไรก็ตามสมุดภาพไตรภูมิทั้ง ๒ สมัย ล้วนปรากฏภาพวาดแผนที่โบราณซึ่งแสดงที่ตั้งของเมืองที่ประดิษฐานพระธาตุเจดีย์และรอยพระพุทธบาทสำคัญ แสดงให้เห็นว่า คติความเชื่อเรื่องพระพุทธบาทยังคงแพร่หลายและได้รับการสืบทอดอยู่ในอารยธรรมไทย พม่า ศรีลังกา เรื่อยมาโดยตลอดไม่ขาดสาย(-๔๘)
@@@@@@@
๒.๔.๓ สมัยรัตนโกสินทร์
ในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ประชาชนยังคงเลื่อมใสในรอยพระพุทธบาทที่สระบุรีตามคติเดิมของชาวกรุงศรีอยุธยา แต่ว่าทางราชสานักไม่สู้จะนิยมมากนัก ดังจะเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้ง ๓ พระองค์ไม่เสด็จ “ไปพระบาท” ด้วยพระองค์เองเลยสักครั้ง
แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จไปอำนวยการปฏิสังขรณ์พระมณฑป พระองค์ได้ทรงมีพระราชศรัทธารับแบกตัวลำยองเครื่องบนหนึ่งตัว
ส่วนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพระองค์ไม่เลื่อมใสในพระพุทธบาทสระบุรี ดังมีพระราชดำรัสเชิงหยอกเหย้ารอยพระพุทธบาทว่า พระพุทธเจ้าได้ประทานพระธรรมเทศนาในหัตถิโทปมสูตร สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ว่า
"ขนาดรอยเท้าสัตว์ทั้งหลายย่อมอยู่ในรอยเท้าช้างฉันท์ใด เหมือนกับธรรมทั้งหลายก็ย่อมอยู่ในอัปมาทธรรม ดังนี้ ถ้าพระพุทธองค์ได้ทรงเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้จริงไซร้ ก็จะทรงอุปมาว่ารอยเท้าสัตว์ทั้งหลายย่อมอยู่ในรอยเท้าตถาคต เพราะรอยพระพุทธบาทใหญ่โตกว่า ๒ เท่ารอยเท้าช้าง"(-๔๙)
พระราชดารัสดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงพระราชศรัทธาและความสนพระทัยใฝ่ศึกษาในพระพุทธศาสนา ด้วยทรงศึกษาพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน ชานาญในธรรม จึงทรงมีพระราชดารัสถึงรอยพระพุทธบาทโดยยกหลักฐานพระไตรปิฎกมาเทียบเคียง พระราชดารัสนี้แสดงออกชัดเจนว่า เป็นการขัดต่อพระพุทธพจน์โดยตรง หากรอยพระพุทธบาทนี้เป็นของจริงก็ย่อมใหญ่กว่ารอยเท้าช้าง แต่พระพุทธเจ้าได้รับรองแล้วว่า ในบรรดารอยเท้าสัตว์ทั้งหลาย รอยเท้าช้างใหญ่ที่สุด แต่รอยพระพุทธบาทนี้ใหญ่กว่ารอยเท้าช้าง เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงไม่กล่าวถึง โดยนัยนี้ ย่อมแสดงว่าพระองค์ไม่เชื่อว่าเป็นรอยพระพุทธบาทของจริง (แต่อาจทรงเคารพนับถือในฐานะที่เป็นอุเทสิกเจดีย์)
จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระวินิจฉัยว่า พระพุทธบาทสระบุรีเป็นเพียงอุเทสิกเจดีย์หรือสิ่งที่ทาจำลองขึ้นเท่านั้น มิใช่รอยพระพุทธบาทของจริงดังที่กล่าวอ้างกันมาเช่นกรุงอยุธยา แต่ก็ทรงเห็นด้วยกับการสักการบูชา เพราะเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์ และมีการเคารพกับสืบมาอย่างช้านาน ดังพระราชดารัสว่า
“ข้อเท็จจริงในเรื่องตำนานพระพุทธบาทจะเป็นอย่างไรก็ตาม พระพุทธบาทก็ได้รับความรับรองเลื่อมใส นับถือ เป็นมหาเจดียสถานจากมหาชนมามากต่อมาก นับตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว ถึงแม้จะเป็นเพียงอุเทสิกเจดีย์ก็ควรที่จะทำนุบำรุงไว้ เป็นของคู่บ้านคู่เมือง”(-๕๐)
จากพระราชดำรัสทำให้ทราบว่า แม้จะทรงเห็นว่าเป็นเพียงอุเทสิกเจดีย์ ไม่ใช่รอยพระพุทธบาทจริง แต่ก็ทรงให้การอุปถัมภ์ในฐานะที่เป็นมหาเจดียสถานที่บรรพกษัตริย์และประชาชนเคารพสักการะมาช้านาน ดังนั้น การอุปถัมภ์วัดพระพุทธบาทจึงยังคงเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ แต่การประเพณีเสด็จไปสักการะรอยพระพุทธบาทก็ไม่เป็นที่นิยมในราชสำนัก คงมีแต่เพียงแต่เจ้านายพระองค์อื่นๆ และราษฎรที่ยังเคารพเลื่อมใสและเดินทางไปสักการะรอยพระพุทธบาท
ต่อมาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมกุฏภัณฑเจดีย์ที่อยู่ใกล้พระมณฑปองค์หนึ่ง และสร้างเครื่องบนพระมณฑปใหญ่ กับสร้างพระมณฑปน้อย ทั้งให้เปลี่ยนแผ่นเงินปูพื้นพระมณฑป เป็นเสื่อเงินและได้ทรงยกยอดพระมณฑป พร้อมทั้งบรรจุพระบรมธาตุ ที่พระมกุฏภัณฑเจดีย์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๓
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาท ๔ ครั้ง ได้ทรงปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง และซ่อมผนังข้างในพระมณฑป สร้างบันไดนาคทางขึ้นพระมณฑป จากเดิมที่มีอยู่สองสายเป็นสามสาย
และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปยกยอดพระมณฑป เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๐ พระพุทธบาทสระบุรีจึงเจริญรุ่งเรืองจนถึงปัจจุบัน
@@@@@@@
โดยสรุปแล้ว พบว่า รอยพระพุทธบาทในประเทศไทยนั้น มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย (สำหรับอาณาจักรล้านนา ผู้วิจัยจะกล่าวในบทที่ ๓) โดยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศศรีลังกา จากการเชื่อมสัมพันธ์กันทางด้านพระพุทธศาสนา ได้มีการส่งสมณทูตจากกรุงสุโขทัยไปประเทศศรีลังการ พระภิกษุเหล่านั้นได้จำลองรอยพระพุทธบาทมาจากยอดเขาสุมนกูฏมาสร้างไว้ที่กรุงสุโขทัย ตั้งชื่อเขาให้สอดคล้องตรงกันว่า สมุนกูฏบรรพต ปัจจุบันย้ายมาประดิษฐานที่วัดตระพังทอง
เมื่อสุโขทัยมีความสัมพันธ์ทางการเมืองกับอยุธยา คติความเชื่อเกี่ยวกับรอยพระพุทธบาทจึงสืบทอดไปยังกรุงศรีอยุธยาด้วย โดยได้จำลองไปไว้ที่จังหวัดชัยนาท ชาวอยุธยาได้เคารพสักการะรอยพระพุทธบาทจำลองนี้เรื่อยมา หลังจากการค้นพบรอยพระพุทธบาทที่สระบุรี ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของจริง ทำให้รอยพระพุทธบาทที่จำลองมาจากเขาสมุนกูฏที่ชัยนาทลดความสาคัญลง ความเลื่อมใสศรัทธาในรอยพระพุทธบาทสระบุรีเพิ่มทวีคูณขึ้น เมื่อกษัตริย์อยุธยาทุกพระองค์ถือเป็นพระราชประเพณีในการไปสักการะรอยพระพุทธบาท จนสิ้นกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑-๓ ได้งดการเสด็จไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแต่ได้ให้ความอุปถัมภ์บำรุงในฐานะที่เป็นเจดียสถานสาคัญคู่บ้านคู่เมือง ในรัชกาลที่ ๔ ได้ลดความสำคัญของรอยพระพุทธบาทสระบุรีจากบริโภคเจดีย์เป็นอุเทสิกเจดีย์ เช่นเดียวกับรอยพระพุทธบาทที่อื่นๆ คือ ล้วนแต่เป็นองค์จำลองทั้งนั้น แต่ก็ยังทรงให้ความเคารพสักการะ บูรณปฏิสังขรณ์ในฐานะที่เป็นเจดียสถานสำคัญของประเทศ อย่างไรก็ตาม สาหรับประชาชนทั่วไปก็ยังคงมีความเชื่อและความเลื่อมใสในรอยพระพุทธบาทเหมือนเดิมไม่เสื่อมคลาย
จนถึงปัจจุบัน
...ยังมีต่อ
อ้างอิง :-
(-๓๔) กรมศิลปากร, “พุทฺธปาทลกฺขณและรอยพระพุทธบาทในประเทศไทย”, (กรุงเทพมหานคร : บริษัทพรีสเกล จำกัด, ๒๕๓๖), หน้า ๕๗.
(-๓๕) จวน คงแก้ว, “ศึกษาวิเคราะห์พุทธบาทลักษณะที่สัมพันธ์กับหลักพุทธธรรม”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๕๘), หน้า ๓๖.
(-๓๖) ศรัณย์ ทองปาน, “พระบาทลังกา”, เมืองโบราณ, ปีที่ ๒๓ ฉบับที่ ๔ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๔๐) : หน้า ๔๙.
(-๓๗) กรมศิลปากร, ประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๑ จารึกกรุงสุโขทัย, (กรุงเทพมหานคร : คุรุสภา, ๒๕๑๕),หน้า ๑๑๕.
(-๓๘) กรมศิลปากร, จารึกสมัยสุโขทัย, (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๖), หน้า ๘๐-๙๑.
(-๓๙) สันติ เล็กสุขุม, ศิลปะสุโขทัย, (กรุงเทพมหานคร : เมืองโบราณ, ๒๕๔๐), หน้า ๑๐๔-๑๐๕.
(-๔๐) สุธนา เกตุอร่าม, “การสร้างรอยพระพุทธบาทสมัยพญาลิไท”, สารนิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๓), หน้า ๓๒.
(-๔๑) คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี, ประชุมศิลาจารึกภาค
ที่ ๔ : ประมวลจารึกที่พบในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลางของประเทศไทย
อันจารึกด้วยอักษรและภาษาไทย, ขอม, บาลีสันสกฤต, (พระนคร : สานักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๓),หน้า ๑๐๔.
(-๔๒) ปัทมา เอกม่วง, “การเปรียบเทียบรูปแบบทางศิลปกรรมบนรอยพระพุทธบาทที่วัดศรีโคมคา จังหวัด
พะเยาและที่วัดพระพังทอง จังหวัดสุโขทัย”, สารนิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ,
(บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๙), หน้า ๒๐-๒๑.
(-๔๓) สำนักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๐) , ประชุมจดหมายเหตุสมัยอยุธยา ภาค ๑, (ม.ป.ท., ม,ป.ป.),หน้า ๒๗.
(-๔๔) มีตำนานเกี่ยวกับพรานบุญ เพิ่มเติมว่า พรานบุญได้ไปล่าเนื้อในป่าริมเชิงเขา ได้ใช้หน้าไม้ยิงถูกเนื้อ
ตัวหนึ่งบาดเจ็บ เนื้อนั้นได้วิ่งหนีขึ้นไปบนไหล่เขาเข้าเชิงไม้ไป พอบัดเดี๋ยวก็เห็นเนื้อตัวนั้นวิ่งออกจากเชิงไม้ไปเป็นปกติดังเดิม พรานบุญแปลกใจจึงขึ้นไปดูบนไหล่เขานั้น ก็เห็นมีรอยอยู่ในศิลาเหมือนรอยเท้าคน ขนาดยาวประมาณศอกเศษ มีน้้ำขังอยู่ในรอยนั้น ก็สาคัญว่าเนื้อคงหายบาดเจ็บเพราะกินน้ำนั้น จึงตักเอามาลองลูบตัวดู บรรดากลากเกลื้อนที่ตนเป็นอยู่มาช้านานก็หายหมด
(-๔๕) กรมศิลปากร, พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ๒, (กรุงเทพมหานคร : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๔๘ ), หน้า ๒.(-๔๖) สานักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๐) , ประชุมจดหมายเหตุสมัยอยุธยา ภาค ๑, หน้า ๓๒.
(-๔๗) นันทนา ชุติวงศ์, รอยพระพุทธบาท ในศิลปะเอเชียใต้และเอเชียอาคเนย์, หน้า ๓๒.
(-๔๘) วรรณวิวัฒน์ รัตนลัมภ์, “คติความเชื่อเรื่องพระพุทธบาทสระบุรีและประเพณี “ไปพระบาท” ในการสร้างสรรค์วรรณคดีไทย”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย, หน้า ๒๘.
(-๔๙) กรมศิลปากร, ตานานพระพุทธบาท อธิบายเรื่องพระบาท นิราศพระบาทและลิลิตทศพร,(พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๕๑๑), หน้า ๓๐.
(-๕๐) กรมศิลปากร, ตานานพระพุทธบาท อธิบายเรื่องพระบาท นิราศพระบาทและลิลิตทศพร, หน้า ๓๐.