ทะเลาะกันผ่านโซเชียลฯ แล้วไปไหน : ทำไมบางคนถึงจริงจังกับการ ‘เอาชนะ’ กันบนโลกออนไลน์Summary
- ใครที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นประจำ คงคุ้นเคยกับตัวเลขบอกจำนวนผู้แสดงความรู้สึก และแสดงความคิดเห็นในโพสต์นั้นๆ ซึ่งเมื่อเข้าสู่โลกออนไลน์แต่ละครั้งก็มีโอกาสมากว่า คนเราต้องพบเห็นกับความคิดที่หลากหลาย จากหลักสิบไปจนถึงหลักร้อย หลักพัน และยิ่งความคิดเห็นมากเท่าใด โอกาสที่จะพบความคิดเห็นที่ไม่ชอบใจ หรือแตกต่างจากเรา ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
- เพราะแม้ว่า ‘ความต่าง’ จะเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ และเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ดำรงอยู่ได้เพราะความต่างเหล่านี้ แต่ความต่างยังก่อให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ ที่บางคนอาจ ‘กล้า’ มากกว่าในชีวิตจริง ไม่ว่าจะกล้าแสดงตัวตนอย่างเต็มที่ แสดงความคิดเห็นอย่างสุดโต่ง ไปจนกระทั่งวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น แบบที่หากพบกันซึ่งๆ หน้าก็คงไม่มีใครกล้าทำ
- ทั้งนี้ มีการศึกษาในต่างประเทศพบว่า ผู้ที่มีบุคลิกในการใช้โลกออนไลน์ 3 รูปแบบต่อไปนี้ มีแนวโน้มที่จะโต้เถียงกับคนที่ไม่รู้จักทางโซเชียลมีเดีย คือ
1) มีความยับยั้งชั่งใจต่ำ,
2) อ่อนไหวต่ออุดมการณ์ และ
3) ทำตัวเป็นนักรบคีย์บอร์ด ซึ่งล้วนนำไปสู่ความขัดแย้งที่อาจบานปลาย
- ฉะนั้น เมื่อใดก็ตามที่คิดว่าการแสดงความคิดเห็นนำไปสู่การโต้เถียงที่รุนแรง ดุเดือด ปะทะอารมณ์มากกว่าใช้เหตุผล ควรหยุด และถอยออกมา เพราะเราควรให้ความสำคัญกับการดูแลสภาพจิตใจของตนเองมาเป็นอันดับแรก
- สุดท้ายแล้ว ก่อนปะทะอารมณ์กับใครในโลกออนไลน์ เราจึงน่าจะลองถามตัวเองว่า การโต้เถียงนี้คุ้มค่าไหม หรือควรเอาเวลาในชีวิตไปดูแลความสัมพันธ์ดีๆ ในชีวิตจริง ซึ่งอาจจะคุ้มค่ากว่า?
Illustration : Nuttal-Thanatpohn Dejkunchorn
เมื่อขึ้นชื่อว่า ‘สังคม’ ก็ย่อมหมายความว่ามีการรวมตัวของประชากรมากกว่าหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีคนจำนวนมากมาอยู่ร่วมกัน ต่างคนต่างพื้นเพ ต่างความคิด ก็มีความเป็นไปได้ที่จะกระทบกระทั่งกันเพราะความเห็นที่แตกต่าง แม้สังคมที่ว่าจะอยู่บนโลกออนไลน์ก็ตาม
แม้ว่า ‘ความต่าง’ จะเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ และเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ดำรงอยู่ได้เพราะความต่างเหล่านี้ แต่อีกมุมหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความต่างยังก่อให้เกิดปัญหา ไม่ใช่เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าคนเราแตกต่างกัน แต่เป็นเพราะความคาดหวังให้คนอื่นมีความคิดเหมือนตน หรือบางคนก็ใช้ไม้บรรทัดของตนเองคอยตรวจตราคนอื่น ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หากระหว่างความแตกต่างนั้น แต่ละฝ่ายรับฟังความคิด แลกเปลี่ยนมุมมองบนพื้นฐานของเหตุผล ก็อาจทำให้เข้าใจกันมากขึ้น แม้จะคิดเห็นไม่ตรงกันก็ตาม
อย่างไรก็ดี ไม่บ่อยนักที่ความต่างจะนำไปสู่ ‘ความเข้าใจ’ โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ที่บางคนอาจ ‘กล้า’ มากกว่าในชีวิตจริง ไม่ว่าจะกล้าแสดงตัวตนอย่างเต็มที่ แสดงความคิดเห็นอย่างสุดโต่ง ไปจนกระทั่งวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น แบบที่หากพบกันซึ่งๆ หน้าก็คงไม่มีใครกล้าทำ
เหตุใดหลายคนจึงทุ่มเทเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดในชีวิต หมดเปลืองไปกับการโต้เถียงกับคนที่ไม่รู้จัก หรือแสดงความคิดเห็นที่สร้างความขัดแย้ง
แล้วการเป็นคนที่ ‘ถูกต้อง’ หรือ ‘ชนะ’ บนโลกออนไลน์ ที่แทบไม่มีใครรู้จักเราจริงๆ นั้น เป็นเรื่องคุ้มค่า หรือเสียเวลาชีวิต – เราลองมาหาคำตอบไปพร้อมกัน
@@@@@@@
Dunbar’s Number …หรือความสัมพันธ์ดีๆ มีจำกัด.?
ใครที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นประจำ คงคุ้นเคยกับตัวเลขบอกจำนวนผู้แสดงความรู้สึก และแสดงความคิดเห็นในโพสต์นั้นๆ ซึ่งเมื่อเข้าสู่โลกออนไลน์แต่ละครั้ง ก็มีโอกาสมากว่า คนเราต้องพบเห็นกับความคิดที่หลากหลาย จากหลักสิบไปจนถึงหลักร้อย หลักพัน
และยิ่งความคิดเห็นมากเท่าใด โอกาสที่จะพบความคิดเห็นที่ไม่ชอบใจ หรือแตกต่างจากเรา ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
โรบิน ดันบาร์ (Robin Dunbar) นักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษ ทำการศึกษาเชิงสังคมวิทยา และใช้โมเดลคณิตศาสตร์เพื่อประเมินสมองส่วน Neocortex ของสิ่งมีชีวิตที่เลี้ยงลูกด้วยนม อันเกี่ยวกับทักษะการอยู่ร่วมกัน พบว่าถึงแม้มนุษย์จะฉลาดที่สุดในบรรดาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่ขนาดสมองของคนเราจะรับมือกับความสัมพันธ์ในชีวิตได้ไม่เกิน 150 คนเท่านั้น หากมากกว่านี้ ดันบาร์อธิบายว่าความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นจะเกินศักยภาพสมองของมนุษย์ที่จะรับได้
อย่างไรก็ตาม ดันบาร์อธิบายเพิ่มเติมว่า มนุษย์อาจรู้จักชื่อคนอื่นๆ ได้ถึงประมาณ 1,500 คนตลอดช่วงชีวิต แต่ก็จะมีเพียง 150 คนโดยประมาณเท่านั้น ที่จะสามารถรักษาความสัมพันธ์อันดี สนิทสนม และทักทายกันได้โดยไม่เคอะเขิน
"ขนาดสมองของคนเราจะรับมือกับความสัมพันธ์ในชีวิตได้ไม่เกิน 150 คนเท่านั้น หากมากกว่านี้ ดันบาร์อธิบายว่าความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นจะเกินศักยภาพสมองของมนุษย์ที่จะรับได้"
@@@@@@@
เมื่อทำการศึกษาย้อนไปในประวัติศาสตร์ ยังพบว่า ทหารศตวรรษที่ 16 กลุ่มชนเร่ร่อนโบราณ และทหารโรมัน ล้วนมีขนาดประมาณ 150 คน ซึ่งในปัจจุบันมีการวิจัยหลายชิ้นที่หยิบยก Dunbar’s Number มาอธิบายปรากฏการณ์ความสัมพันธ์ในโซเชียลมีเดีย
อย่างเช่น งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทย์แห่งกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ที่ใช้เกมออนไลน์ Pardus ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ พบว่า กลุ่มความสัมพันธ์ในเกมออนไลน์มีอยู่ประมาณ 136 คน นอกจากนี้ การศึกษาจาก ดร.คาเมรอน มาร์โลว์ (Dr.Cameron Marlow) ผู้ซึ่งเคยทำงานให้กับ Meta ระบุว่า ผู้ใช้ Facebook ส่วนใหญ่จะมีเพื่อนประมาณ 120 คน ซึ่งใกล้เคียงกับ Dunbar’s Number
สิ่งที่ตัวเลขนี้กำลังบอกเราก็คือ มีความเป็นไปได้ว่า นอกเหนือจาก 150 คนในชีวิตเราแล้ว คนอื่นๆ ก็อาจอยู่นอกวงโคจรชีวิตของเรา มีไลฟ์สไตล์ ความคิด และความเชื่อแตกต่างไป แต่เพราะโซเชียลมีเดียที่ย่อโลกทั้งใบให้ใกล้กัน ทำให้คนเรามีโอกาสพบเห็นความคิดเห็นจากกลุ่มคนที่กว้างขวางและหลากหลายมากขึ้น โอกาสที่จะพบความคิดที่แตกต่าง หรือไม่ถูกใจเราจึงมากขึ้น
ประกอบกับการอยู่บนโลกออนไลน์ทำให้บางคนกล้าที่จะออกความคิดเห็นที่อาจไม่กล้าทำในชีวิตจริง โดยเฉพาะกับคนที่ไม่รู้จัก โอกาสที่จะโต้เถียงปะทะอารมณ์จึงเกิดขึ้นได้ง่ายนั่นเอง

3 บุคลิกออนไลน์ ที่มักตกอยู่ในสนามอารมณ์
เราอาจใช้ Dunbar’s Number อธิบายการโต้เถียงบนในโซเชียลมีเดีย ว่าเป็นเพราะคนส่วนใหญ่บนโลกออนไลน์นั้นอยู่นอกวงกลมความสัมพันธ์ 150 คน แต่บุคลิกและลักษณะนิสัยส่วนตัวของแต่ละบุคคลก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การโต้เถียงด้วย
ทั้งนี้ มีการศึกษาในต่างประเทศพบว่า ผู้ที่มีบุคลิกในการใช้โลกออนไลน์ 3 รูปแบบต่อไปนี้ มีแนวโน้มที่จะโต้เถียงกับคนที่ไม่รู้จักทางโซเชียลมีเดีย
1) มีความยับยั้งชั่งใจต่ำ : จอห์น ซูเลอร์ (John Suler) นักจิตวิทยา อธิบายภาวะความยับยั้งชั่งใจต่ำเมื่ออยู่ในโลกออนไลน์ หรือ Online Disinhibition Effect ว่า เกิดจากความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่หน้าจอ จึงเลือกทำสิ่งที่ไม่กล้าทำ หากต้องเผชิญหน้ากับคนจริงๆ เพราะอินเทอร์เน็ตคือเกราะป้องกัน โดยที่บางครั้งแทบไม่ต้องเปิดเผยตัวตน ไม่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่พูด บางคนจึงแทบไม่ยับยั้งชั่งใจในการแสดงความคิดเห็น หรือโต้เถียงกันบนโลกออนไลน์
2) อ่อนไหวต่ออุดมการณ์ : บางคนอาจมีอุดมการณ์ หรือความเชื่อบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนา หรืออุดมการณ์ทางการเมือง ที่ไม่อาจเปิดเผยได้ในชีวิตจริง เมื่ออยู่บนโลกออนไลน์ จึงหวงแหนและปกป้องอุดมการณ์ หรือความเชื่อนี้มากเป็นพิเศษ เพราะนี่คือตัวตนของเรา เมื่อพบความคิดเห็นที่ขัดต่ออุดมการณ์จึงอ่อนไหว ขาดความยับยั้งชั่งใจ จนเกิดเป็นการปะทะอารมณ์โต้เถียงเพื่อรักษาอุดมการณ์ของตน
3) นักรบคีย์บอร์ด : คล้ายกับผู้อ่อนไหวต่ออุดมการณ์ แต่สำหรับนักรบคีย์บอร์ด สิ่งที่พวกเขาทำ ไม่ใช่เพื่อปกป้องอุดมการณ์ของตัวเอง แต่พวกเขา ‘เชื่อ’ ว่ากำลังป้องกันโลกนี้จากความชั่วร้ายและความเชื่อผิดๆ ต่างหาก สิ่งเหล่านี้ปลุกพลังซุปเปอร์ฮีโร่ให้พลุ่งพล่าน เป็นซุปเปอร์แมนในโลกดิจิทัลที่คอยแก้ไขสิ่งผิด ไม่ว่าจะผิดไปจากความเชื่อของตัวเอง หรือผิดจริงๆ ก็ตาม
@@@@@@@
เหรียญสองด้านของการทะเลาะออนไลน์
บางคนอาจมองว่า การทะเลาะกับคนแปลกหน้าออนไลน์เป็นเรื่องเสียเวลา ขณะที่บางคนอาจคิดว่านี่คือการประกาศตัวตน แสดงจุดยืน ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ตามทุกอย่างล้วนมีสองด้าน สถานการณ์นี้ก็เช่นกัน
การถกเถียงบนโลกออนไลน์ หากมากเกินไปอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต เสียเวลาและพลังงานชีวิต นำไปสู่การปะทะอารมณ์ที่ใช้ความรุนแรงทางวาจา สร้างบรรยากาศที่เป็นพิษให้กับโพสต์ หรือพื้นที่ออนไลน์นั้นๆ
"การถกเถียงบนโลกออนไลน์ หากมากเกินไปอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต เสียเวลาและพลังงานชีวิต นำไปสู่การปะทะอารมณ์ที่ใช้ความรุนแรงทางวาจา สร้างบรรยากาศที่เป็นพิษให้กับโพสต์ หรือพื้นที่ออนไลน์นั้นๆ"
ในทางกลับกัน หากเรามั่นใจว่ามีข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน มีหลักฐานอ้างอิง การโต้แย้งความคิดเห็น หรือโต้แย้งข้อมูลที่ผิดพลาด ก็จะช่วยสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง นำไปสู่การคิดวิเคราะห์ และส่งเสริมการสนทนาแลกเปลี่ยนบนพื้นฐานของเหตุผล แม้จะคิดต่างกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีองค์ประกอบการสื่อสารที่ดี
ฉะนั้น แม้เป็นการสื่อสารผ่านตัวอักษร ก็ควรเลือกใช้คำที่ให้เกียรติคู่สนทนา มีเป้าหมายในการสื่อสาร เช่น ต้องการให้อีกฝ่ายคล้อยตาม ต้องการแจ้งข้อมูลที่ถูกต้อง หรือต้องการแสดงความคิดเห็น ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้เราสื่อสารได้ตรงประเด็นยิ่งขึ้น
เมื่อใดก็ตามที่คิดว่าการแสดงความคิดเห็นนำไปสู่การโต้เถียงที่รุนแรง ดุเดือด ปะทะอารมณ์มากกว่าใช้เหตุผล ควรหยุด และถอยออกมา เพราะเราควรให้ความสำคัญกับการดูแลสภาพจิตใจของตนเองมาเป็นอันดับแรก
@@@@@@@
เถียงกันออนไลน์ บทสรุปอยู่ตรงไหน
มีคำกล่าวว่า “9 ใน 10 ของการโต้เถียง มักจบลงด้วยแต่ละฝ่ายเชื่อมั่นยิ่งกว่าเดิม ว่าความคิดของตนเองถูก” การโต้เถียงออนไลน์ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น
เราอาจทุ่มเถียงกับคนที่ไม่รู้จักเป็นชั่วโมง หาเหตุผลสารพัดเพื่อยืนยันความเชื่อของตัวเอง โดยลืมคิดไปว่าข้อมูลมากมายที่มีอยู่บนอินเทอร์เน็ตนี้มีทั้งข้อมูลที่ตรงกับความเชื่อของเรา และมีข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อของฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน
ดังนั้น ไม่ว่าต่างฝ่ายจะงัดข้อมูลหลักฐานที่น่าเชื่อถือมายืนยันมากแค่ไหน อีกฝ่ายก็สามารถทำได้ไม่ต่างกัน ตราบใดที่สิ่งที่โต้เถียงกันไม่ใช่ ‘ข้อเท็จจริง’ อย่างโลกเป็นดาวเคราะห์ หรือพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก แต่ละฝ่ายก็อาจหาข้อมูลมาสนับสนุนได้ไม่จำกัด
ข้อมูลที่หามาได้นี่เอง อาจไม่ได้ช่วยให้อีกฝ่ายเชื่อ หรือคล้อยตามเรามากขึ้น ในทางกลับกัน ข้อมูลเหล่านั้นอาจกลายเป็น Confirmation Bias ที่ตอกย้ำตัวเองว่า สิ่งที่เราเชื่อนั้น ‘จริงกว่า’ หรือแม้จะอ่านข้อมูลเดียวกัน แต่สองฝ่ายที่โต้เถียงกันก็มีแนวโน้มว่าจะสรุปใจความได้ต่างกัน เนื่องจากต้องการยืนยันในความเชื่อของตนนั่นเอง
"สุดท้ายแล้ว ก่อนปะทะอารมณ์กับใครในโลกออนไลน์ เราจึงน่าจะลองถามตัวเองว่า การโต้เถียงนี้คุ้มค่าไหม หรือควรเอาเวลาในชีวิตไปดูแลความสัมพันธ์ดีๆ จากคน 150 คนในชีวิตจริง ซึ่งอาจจะคุ้มค่ากว่า?"
@@@@@@@
บทสรุปของการโต้เถียงออนไลน์ จึงมักไม่ได้ลงเอยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะขาดด้วยเหตุผล แต่มักจบลงตรงที่แต่ละฝ่ายเหนื่อยจะเคลียร์ เพลียจะเถียง แล้วจึงแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง บางคนอาจ Log-out ออกไปพร้อมอารมณ์ที่ยังครุกรุ่น ขณะที่บางคนก็ลืมง่ายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สุดท้ายแล้ว ก่อนปะทะอารมณ์กับใครในโลกออนไลน์ เราจึงน่าจะลองถามตัวเองว่า การโต้เถียงนี้คุ้มค่าไหม หรือควรเอาเวลาในชีวิตไปดูแลความสัมพันธ์ดีๆ จากคน 150 คนในชีวิตจริง ซึ่งอาจจะคุ้มค่ากว่า?Thank to :
https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/103681Thairath Plus › Everyday Life | 4 ก.ย. 66 | creator : ภาวดี อภิบุญวัฒน์
อ้างอิง : medium.com/age-of-awareness, theatlantic.com, thinkingbat.substack.com