ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ลพบุรี เมืองสามพันปี สืบเนื่องถึงปัจจุบัน  (อ่าน 927 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




ลพบุรี เมืองสามพันปี สืบเนื่องถึงปัจจุบัน โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ


นายวชิระ เกตุพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นประธานในการประชุมวางแผนผังเมืองนโยบาย จังหวัดลพบุรี โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องต่างๆ มีองค์กรส่วนท้องถิ่น และภาครัฐต่างๆ ในจังหวัดลพบุรี เพื่อพัฒนาให้เป็นเมืองน่าอยู่ด้วยสิ่งแวดล้อม เนื่องจากจังหวัดลพบุรีมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 3,000 ปี ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน

มีเป้าหมายการพัฒนาจังหวัดในอีก 5 ปีข้างหน้าคือมีอาหารปลอดภัยและท่องเที่ยววิถีใหม่ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนลพบุรีให้ดีขึ้นในทุกด้านและอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผลิตอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษและได้มาตรฐานสากลเพื่อสุขภาพที่ดีของคนลพบุรี

ปรับรูปแบบการท่องเที่ยวให้ตอบสนองพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกำหนดการท่องเที่ยวให้มีมาตรฐานสากลให้คนลพบุรีมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้คนลพบุรีมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

[ที่มา : ข่าวสด ฉบับวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2566 (กรอบ ตจว.) หน้า 2]

@@@@@@@

ตื่นเต้น เพราะเป็นครั้งแรกได้อ่านข่าวผู้บริหารระดับสูงของจังหวัด บอกว่าลพบุรีเป็นเมืองสามพันปี ก่อนหน้านี้หลายสิบปีมาแล้วพูดซ้ำซากแค่ลพบุรีเป็นจังหวัดมีอายุเก่าแก่แค่สมัยพระนารายณ์—เชยระเบิด ขอสนับสนุนเรื่องลพบุรี เมืองสามพันปี และขอบอกเพิ่มเติมว่าลพบุรี เมืองสามพันปี ที่ไม่เคยร้าง เพราะมีคนอยู่สืบเนื่องตลอดไม่ขาดสายตราบจนทุกวันนี้

จ. ลพบุรีต้องสร้าง “มิวเซียม” แสดงประวัติศาสตร์สังคม บอกความเป็นมายาวนานสามพันปี ถึงจะแซบ อย่าโยนไปกรมศิลปากร เพราะนั่นถนัดทำ “พิพิธภัณฑ์” เก็บของเก่าตายซากด้วยเศียร พระ, แขนพระ, ขาพระ, ตีนพระ, และศิวลึงค์ โดยไม่มีคนและไม่มีชุมชนบ้านเมือง

จะขอบอกเล่าความเก่าแก่ของลพบุรีที่เกี่ยวข้องเมืองศรีเทพกับเมืองละโว้ ดังนี้

เมืองศรีเทพ-เมืองละโว้

    - เมืองศรีเทพ (เพชรบูรณ์) กับเมืองละโว้ (ลพบุรี) อยู่ลุ่มน้ำเดียวกัน คือ ลุ่มน้ำป่าสัก โดยเมืองศรีเทพอยู่ตอนบน ส่วนเมืองละโว้อยู่ตอนล่าง
    - นอกจากนั้นยังมีเครือข่ายถึงลุ่มน้ำมูล-ชี ที่เชื่อมถึงลุ่มน้ำโขง อาจมีลักษณะอย่างปัจจุบันเรียก “บ้านพี่เมืองน้อง”
    - หมู่บ้านเริ่มแรก เมืองศรีเทพกับเมืองละโว้ มีชุมชนหมู่บ้านเริ่มแรกพร้อมกัน ราว 3,000 ปีมาแล้วนับถือศาสนาผี มีความเชื่อเรื่องขวัญ
    - ชุมชนเมือง เมืองศรีเทพกับเมืองละโว้ เติบโตเป็นชุมชนเมือง บนเส้นทางการค้าทองแดงของ “สุวรรณภูมิ” ราว 2,000 ปีมาแล้ว หรือราว พ.ศ. 500
    - นับถือศาสนาผี มีความเชื่อเรื่องขวัญ มีประเพณีฝังศพครั้งที่ 2
    - มีคนจากหลายทิศทางเคลื่อนย้ายไปมาแล้วตั้งบ้านเรือนหนาแน่น

    - ค้าขายอินเดีย-จีน เมืองศรีเทพกับเมืองละโว้ มีการติดต่อค้าขายทั้งอินเดียและจีน ส่งผลให้เมืองมั่งคั่งขยายตัวเติบโต
    - นับถือศาสนาผี มีความเชื่อเรื่องขวัญร่วมกัน
    - มีคนหลายชาติพันธุ์มากกว่าเดิม
    - รับศาสนาจากอินเดีย เมืองศรีเทพกับเมืองละโว้ รับศาสนาจากอินเดีย คือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ ผสมกับศาสนาผี เริ่มผี-พราหมณ์-พุทธ หลัง พ.ศ. 1000
    - มีความเชื่อปนกัน ขวัญกับวิญญาณ
    - ชนชั้นสูงมีเผาศพและเก็บกระดูกไว้บูชา
   
    - ชื่อเมือง ศรีเทพ เป็นชื่อสมมุติใหม่ แต่เริ่มสมมุติเมื่อไร.? ไม่รู้ ส่วนชื่อจริงว่าอะไร.? ไม่พบหลักฐาน
    - ละโว้ เป็นชื่อจริงตามคำพื้นเมืองดั้งเดิม มีรากจาก ลโว หรือลูโว เป็นภาษาละว้า แปลว่า ภูเขา (จิตร ภูมิศักดิ์)
    - ทวารวดี แปลว่าเมืองที่มีประตูจำนวนมากเป็นกำแพง หมายถึงเมืองที่มั่งคั่งและมั่นคงด้วยการค้าทุกทิศทาง เป็นชื่อเมืองของพระกฤษณะ ซึ่งเป็นอวตารพระวิษณุนารายณ์ในคัมภีร์จากอินเดีย
    - เจ้าเมืองศรีเทพและเจ้าเมืองละโว้ ยกย่องทวารวดีเป็นนามขลังและศักดิ์สิทธิ์ จึงเชิญเป็นชื่อเมือง (ในพิธีกรรม) ของเครือข่ายเครือญาติทั้งศรีเทพและละโว้ว่าทวารวดี
    - บันทึกจีน “โตโลโปตี” พระถังซำจั๋งจารึกแสวงบุญไปอินเดีย แล้วมีบันทึกว่ามีดินแดน “โตโลโปตี” อยู่ติดดินแดน “อี้ซานนาปู้หลอ” (อีศานปุระ) คือกัมพูชา
    - ต่อมานักปราชญ์ตะวันตกถอดคำจีน “โตโลโปตี” ตรงกับคำสันสกฤตว่า “ทวารวดี” มีตำแหน่งอยู่บริเวณฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาต่อเนื่องกับกัมพูชา ซึ่งตรงกับลุ่มน้ำป่าสัก โดยมีเมืองสำคัญคือ ศรีเทพกับละโว้


พระกฤษณะ เจ้าเมืองทวารกา หรือทวารวดี [ปฏิมากรรมศิลา (วัฒนธรรมทวารวดี) พบที่เมืองศรีเทพ จ. เพชรบูรณ์]


ศาลพระกาฬ (อยู่กลางเมืองละโว้) ที่ประดิษฐานพระวิษณุหรือวาสุเทพ ผู้ให้กำเนิดพระกฤษณะ

พระกฤษณะ จันทรวงศ์

    - พระกฤษณะเป็นเจ้าของเมืองทวารวดีในคัมภีร์จากอินเดีย
    - เมืองศรีเทพ พบปฏิมากรรมขนาดใหญ่ สลักหิน รูปพระกฤษณะ
    - เมืองละโว้ พบจารึกระบุนาม “วาสุเทพ” บิดาพระกฤษณะ หรือหมายถึงพระวิษณุนารายณ์ก็ได้
    - พระกฤษณะอยู่ในจันทรวงศ์ (หรือโสมวงศ์) หมายถึง วงศ์พระจันทร์ (ส่วนพระรามอยู่ใน สุริยวงศ์)
    - มหากาพย์มหาภารตะระบุว่าปุรุราวัส (ปฐมกษัตริย์จันทรวงศ์) มีหลานชายชื่อ ยยาติ ซึ่งมีลูกอีก 5 คน ชื่อว่า ยทุ, ตุรวาสุ, ทรุหยุ, อนุ และปุรุ อันเป็นชื่อของชนเผ่าโบราณทั้ง 5 ที่ปรากฏในคัมภีร์พระเวท
    - ตำนานจันทรวงศ์ถูกสร้างขึ้นเพื่อผูกโยงความเป็นเครือญาติระหว่างเผ่าต่างๆ ในอินเดีย ที่เก่าก่อนพุทธกาลให้เป็นพวกเดียวกัน ในขณะเดียวกันก็สร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้กับสายตระกูลที่ถูกนับเป็นพวกเดียวกันว่ามีเชื้อสายของเทพเจ้า
    - มหาภารตะยังระบุด้วยว่า พระกฤษณะซึ่งเป็นอวตารของพระนารายณ์เกิดในราชวงศ์ยทุวงศ์ จึงถือกันว่าพระกฤษณะเป็นสาย “จันทรวงศ์”

[จากบทความเรื่อง คำว่า “พงศาวดาร” เป็นร่องรอยความเชื่อเรื่องวงศ์วานของเทพเจ้า โดย ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ ใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17-23 กุมภาพันธ์ 2566]

@@@@@@@

จันทรวงศ์ เมืองละโว้

พระราชพงศาวดารเหนือระบุว่า พระเจ้าจันทโชติได้เสวยราชสมบัติกรุงละโว้ พ.ศ. 1595 มีอัครมเหสีทรงพระนามพระนางปฏิมาสุดาดวงจันทร์ มีพระราชโอรสทรงพระนามพระนารายน์ราชกุมาร

พระเจ้าจันทโชติสิ้นพระชนม์ พระนารายน์ราชกุมารยังเยาว์อยู่ เชื้อพระวงศ์หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ (พงศวาดารเหนือเรียกมหาอำมาตย์) ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาบ้านเมืองแทนสืบมาร่วม 11 ปี สิ้นอายุลงใน พ.ศ.1623 พระนารายน์จึงได้เสวยราชสมบัติ ขณะนั้นมีพระชันษา 25 ปี ครองกรุงละโว้อยู่ระยะหนึ่ง ก็ย้ายลงมาสร้างเมืองอโยธยา

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ ตั้งข้อสังเกตถึงนามพระเจ้าจันทโชติ มีคำว่า “จันทร์” เป็นเครื่องชี้ให้รู้ว่า เมืองละโว้นับถือพระกฤษณะแห่งจันทรวงศ์ แม้นามมเหสีมีคำว่า “ดวงจันทร์” ก็จันทรวงศ์

รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล (คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง) แนะนำหลักฐานสนับสนุนเรื่องนี้ว่า ทับหลังมุขด้านใต้ของพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.ลพบุรี มีปูนปั้นรูปพระกฤษณะปราบช้างและสิงห์ เหล่านี้มาจากความทรงจำที่เป็นหลักฐานยืนยันว่า เมืองละโว้ คือ ทวารวดีของพระกฤษณะ ตั้งแต่หลัง พ.ศ.1000



พระกฤษณะปราบช้างและสิงห์ ปูนปั้น เรือน พ.ศ.1800 บนทับหลังศิลาแลงมุขด้านทิศใต้ พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.ลพบุรี เป็นความทรงจำศักดิ์สิทธิ์ของชนชั้นนำเมืองละโว้ สืบมรดกตกทอดจากชนชั้นนำทวารวดี ตั้งแต่เรือน พ.ศ.1000 (ภาพโดย รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง)

ครั้นหลัง พ.ศ.1600 มีการเปลี่ยนแปลง 2 เรื่อง คือ

    (1.) ชนชั้นนำบางกลุ่มนับถือศาสนาพุทธ เถรวาท แบบลังกา และ
    (2.) สร้างเมืองอโยธยา เป็นศูนย์กลางของพุทธ เถรวาท แบบลังกา

ส่วนละโว้ยังครองตนเป็นเมือง และประชาชนนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพุทธมหายาน แล้วถูกเรียกว่า “ขอม” ตั้งแต่นั้นมา

“ขอม” กลายตนเป็นไทย

เมื่อรัฐอโยธยาปกครองด้วยกษัตริย์พูดภาษาไทย เท่ากับภาษาไทยมีอำนาจเสมอภาษาเขมร แต่ภาษาไทยสื่อสารกับการค้าจีนได้มากกว่า ดึงดูดให้ “ขอม” กลายตนเป็นไทย เรียกตนเองว่าไทย

ละโว้ถูกเรียกลพบุรี

หลังพระนารายณ์ย้ายที่ประทับไปอยู่ละโว้ ก็ปรับเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นลพบุรี (เมืองของพระลพ-โอรสพระราม) ให้เข้ากับความเชื่อเรื่องพระราม





ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน   : สุจิตต์ วงษ์เทศ
วันที่ 6 ตุลาคม 2566 - 17:19 น.   
website : https://www.matichon.co.th/columnists/news_4218891
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ