ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "ตะกรุด"…ของขลังนักรบ ศรัทธาอยู่ยงคงกระพัน  (อ่าน 972 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



"ตะกรุด"…ของขลังนักรบ ศรัทธาอยู่ยงคงกระพัน

การคิดสร้างเครื่องรางของขลัง เกิดขึ้นด้วยเหตุผลหลายประการ ป้องกันตัวเอง สร้างเสริม หรืออำนวยประโยชน์ในอาชีพการงาน ศรัทธาความเชื่อในอดีตโบราณนานมา ผู้ออกรบจะพกพาพระเครื่อง และสวมเสื้อยันต์เพื่อป้องกันอันตราย ผู้ทำอาชีพเกษตรกรรม ทำนา จะหาวัวธนู ควายธนู...

เพื่อป้องกันอาเพศไม่ให้มาสู่ไร่นาพืชผลของตนเอง อีกทั้ง...นักแสดงก็จะสรรหาสาลิกาลิ้นทองมาพกขณะทำงาน เพื่อให้ผู้คนรักใคร่เมตตาปรานี เครื่องรางของขลังเหล่านี้ ถูกส่งต่อให้คนในสังคมเดียวกัน ครู...อาจารย์...มอบให้ศิษย์ พ่อแม่...มอบให้ลูกหลาน

อีกทั้งผู้ใดมีความรู้ความสามารถ สร้างเครื่องรางของขลัง ก็จักต้องเป็นผู้มีความสำคัญ มีวัตรปฏิบัติดีงาม เป็นที่ยอมรับในสังคม

OOOO

“ตะกรุด” ถือเป็นเครื่องรางที่อยู่คู่กับสังคมไทย โดยมีรากความเชื่ออิงหลักศาสนา ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้นวัตถุประสงค์ในการจัดทำขึ้นเพื่อให้กำลังใจกับ “นักรบ” ที่ต้องออกไปแลกชีวิตป้องกันบ้านเมือง

ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร บอกว่า ความเชื่อเรื่องตะกรุด ไม่มีที่มาที่ไปที่ชัดเจนนัก แต่จากการค้นคว้าของนักวิชาการมีความเชื่อว่ามีอายุมานับพันปี จากหลักฐานบนหินสลักที่นครวัด ประเทศกัมพูชา




...จะเห็นเหล่าทหารหาญของ “พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2” ห้อยเครื่องรางที่มีลักษณะเป็นแท่งยาวคล้ายกับ “ตะกรุด”

ปัจจุบันนี้คำว่า “ตะกรุด” ก็ยังไม่แน่ชัดว่ามาจากคำว่าอะไร...แต่ก็มีข้อสันนิษฐานหลายๆอย่างให้ชวนคิด ในภาษาเขมรเรียกตะกรุดว่า “กถา” ส่วนภาษาอีสานเรียกว่า “กตุด” (กะตุด)

นี่อาจจะเป็นคำร่วมที่ใช้เรียกกัน แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด

ถึงวันนี้ยังหาต้นแบบตะกรุดไม่ได้ว่ามาจากไหน แต่มีหลักฐานว่ามีปราสาทโบราณในยุคเดียวกับนครวัดหรือก่อนนครวัดกว่า 100 ปี...มีแผ่นหินสลักเครื่องหมาย “อุณาโลม” ซึ่งอุณาโลมก็เป็นลักษณะคือ “ยันต์”...สิ่งที่เขียนในสมัยนั้นคืออักขระที่คล้ายกับปัจจุบัน แต่มีลักษณะตัวย่อหลายตัว




...มีการตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะมีรากมาจากศาสนาพราหมณ์ เพราะสมัยนั้น มีการนับถือศาสนาพราหมณ์อย่างแพร่หลาย ต่อมาเมื่อศาสนาพุทธเข้ามาคนจึงเริ่มนับถือศาสนาพุทธ แต่รากความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ยังคงอยู่จึงมีความเป็นไปได้ว่าที่มาของตะกรุดจะได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์

ตามพงศาวดารสมัยเจ้าสามพระยา พ.ศ.1974-1975 มีการยกทัพไปตีนครธมแตก และมีการกวาดต้อนผู้คนเข้ามาที่อยุธยา ช่วงนี้เองที่ความรู้เกี่ยวกับ เขมรโบราณจะถูกถ่ายทอดมาที่อยุธยา โดยเห็นได้จากหลักฐานต่างๆ อาทิ วรรณกรรม วรรณคดี หรือคำราชาศัพท์ จะมีความเป็นเขมรค่อนข้างเข้มข้น




และ...ความเชื่อเรื่อง “เครื่องราง” จึงถูกถ่ายทอดมาให้กับอยุธยาในช่วงนี้

หนึ่งในเรื่องความเชื่อของคนเขมรมีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งคือ “พระแก้ว พระโค” ว่ากันว่า “พระโค” เป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ภายในท้องของ “พระโค” มีคัมภีร์มากมาย ซึ่งเปรียบเสมือนคลังสมบัติความรู้ ศิลปะ และอื่นๆ หากได้ครอบครองพระโคก็จะสามารถนำความรู้ต่างๆมาพัฒนาประเทศได้

เมื่ออยุธยายกทัพไปตีนครธมได้สำเร็จ จึงได้นำ “พระโค” มาเก็บไว้ที่อยุธยา จากนั้นจึงใช้ความรู้ต่างๆเหล่านี้สร้างบ้านแปงเมืองจนเจริญรุ่งเรือง ในขณะที่ทางเขมรเองก็ตกต่ำลงเพราะไม่มีพระโค

OOOO




ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นที่ทราบกันดีว่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย ก็ได้ประจักษ์ถึงความอภินิหารของหลวงปู่ศุข จนถึงกับขอถวายพระองค์เป็นศิษย์ของ “หลวงปู่ศุข” และจากนั้นมาก็มีความผูกพันกันมาโดยตลอดเสมือนเป็นบิดากับบุตร เมื่อเสด็จในกรมสิ้นพระชนม์ ท่านได้มอบ “ตะกรุด” ของหลวงปู่ศุขให้กับพระโอรสองค์โปรด คือ “หม่อมเจ้ารังษิยากร”

จนมีเรื่องเล่าขานต่อมาอีกว่า เมื่อเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาในขณะนั้น หม่อมเจ้ารังษิยากรประทับอยู่ใกล้กับวัดคอกหมู มีฝูงบินฝ่ายสัมพันธมิตรบินมาทิ้งระเบิดฐานทัพญี่ปุ่น เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวอยู่ใกล้ๆที่ประทับ...มิได้ทรงวิ่งหนีไปไหน จนทหารต้องถามว่า “ฝ่าบาทไม่กลัวลูกระเบิดหรือ”

หม่อมเจ้ารังษิยากรก็ควักเอาตะกรุดออกจากกระเป๋าเสื้อชูให้ดูแล้วพูดว่า “จะต้องกลัวอะไร เรามีของดีที่เสด็จพ่อให้ไว้” และระเบิดก็ไม่ได้ลงถูกที่ประทับเลย




ในยันต์หรือตะกรุดส่วนใหญ่ จะเขียนว่า “นะโมพุทธธายะ” คาถาพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ หากจะแปลตรงตัวก็คือ “ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระพุทธเจ้า”

“ความจริงตะกรุดก็เปรียบเสมือนผ้ายันต์จะแตกต่างในการใช้งาน เช่น หากสักยันต์ที่ตัว ก็อาจจะมีข้อห้ามบางอย่างที่ต้องยึดถือไว้ตลอด หรือถ้าเป็นเสื้อยันต์ ผ้ายันต์ ก็อาจจะเปื่อยยุ่ยหรือเสียหายได้ง่าย จึงมีอีกวิธีคือการเขียนยันต์บนแผ่นโลหะแล้วม้วนๆห้อยติดตัว จะห้อยคอหรือทำเชือกคาดเป็นเข็มขัด”

เรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังทั้งหมดนี้สืบทอดต่อกันมากว่าพันปีแล้ว...หากแต่สิ่งที่ซ่อนอยู่หรือสิ่งที่ครูบาอาจารย์ส่งต่อมาคือการมีสติตั้งมั่นในคุณงามความดี ไม่ใช่มองแต่เรื่องไร้สาระ

“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.

                                    รัก–ยม



คลิกอ่านคอลัมน์ “เหนือฟ้าใต้บาดาล” เพิ่มเติม




Thank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/2732826
15 ต.ค. 2566 06:55 น. | ไลฟ์สไตล์ > วัฒนธรรม > รัก-ยม
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ